ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 187 เสวียนจื้อกับต่งไทเฮา

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 187 เสวียนจื้อกับต่งไทเฮา at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 187 เสวียนจื้อกับต่งไทเฮา

“ฮึ! ไม่รู้ว่าทั้งสามคนนั่นได้วิชาอะไรมาจากเฒ่าประหลาดในราชสำนักเหล่านั้น ถึงได้เก็บตัวฝึกฝนพร้อมกันทั้งสามคน ตัวคนอยู่ข้างใน แต่กลับแทรกแทรงเรื่องราวภายนอก ไหนเลยจะมีเรื่องที่ถูกเอาเปรียบบนโลกเช่นนี้ เรื่องที่ข้าเรียกพวกเขามาหารือในก่อนหน้า พวกเจ้าไม่ต้องจริงจังมากนัก ขณะนี้เสวียนจิงนับวันยิ่งซับซ้อน ในสถานการณ์เช่นนี้ ข้าจะกล้ายุแหย่ศัตรูที่แข็งแกร่งได้อย่างไร แต่ถ้าเชื่อมสัมพันธ์กับเขาล่ะก็ ไม่แน่อาจจะมีประโยชน์ในภายภาคหน้าก็ได้” ชิวหลงจื่อทำเสียงฮึดฮัดก่อนตอบกลับไป

“ที่แท้ท่านก็วางแผนไว้เช่นนี้ แต่คนผู้นี้มีที่มาไม่ชัดเจน ทั้งยังเป็นแขกของอ๋องสามอีก มันจะไม่มีปัญหาอะไรใช่ไหม?” ชายชุดดำอีกคนถามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เขาเป็นแค่แขกของเรือนร้อยวิญญาณ เรือนน้อยวิญญาณร่วมมือกับท่านอ๋องสามเป็นหลัก เขาไม่นับว่าเป็นคนของจวนอ๋องสาม แต่หลังกลับไปแล้ว เจ้ารีบให้คนไปตรวจสอบดูว่าเรือนร้อยวิญญาณได้รับแขกคนใหม่ที่ชื่อเฉียนหมิงไหม” ชิงหลงจื่อสั่งอย่างราบเรียบ

“ทราบ! กลับไปข้าจะรีบสั่งการลงไป” ชายชุดดำทั้งสอบตอบรับพร้อมกัน

“เมื่อครู่เจ้าพูดถึงอ๋องสาม ทำให้ข้าคิดอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ สายลับที่เราส่งเข้าไปเมื่อไม่นานนี้เป็นอย่างไรบ้าง มีข่าวส่งอะไรส่งมาบ้างไหม?” ชิวหลงจื่อนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงถามออกไป

“พี่ใหญ่ สายลับเหล่านั้นไม่ได้ติดต่อมาครึ่งเดือนแล้ว ดูท่าจะเหมือนกับคนอื่นๆ ที่ส่งไปก่อนหน้า ส่วนมากจะถูกฆ่าปิดปากไปจนหมด” ชายชุดดำคนหนึ่งหัวเราะอย่างขมขื่นแล้วกล่าวออกมา

“ฮึ! อ๋องสามผู้นี้รอบคอบเป็นอย่างมาก เราส่งสายลับไปเจ็ดแปดคนได้ แต่คนที่อยู่ได้นานที่สุดก็แค่ครึ่งปีเท่านั้น จากนั้นก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย” พอชิวหลงจื่อได้ยินก็มีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา

“พี่ใหญ่ หลายปีมานี้อ๋องสามลดระดับตัวเองมาค่อนข้างมาก และปรากฏตัวออกมาน้อยเช่นกัน ทำไมพวกเราต้องสนใจอ๋องผู้ทรงคุณธรรมผู้นี้ ก็รู้กันดีว่าเขาช่วยให้จักรพรรดิได้ครองราชย์ในปีนั้น ทำให้เขาได้ผลงานไปไม่น้อย หากมีคนทราบทูลจักรพรรดิในเรื่องนี้ ถึงแม้พวกเราจะไม่กลัว แต่เกรงว่าคงจะตกอยู่ในสถานะที่ไม่ค่อยดีนัก” ชายชุดดำอีกคนกล่าวด้วยความแปลกใจ

“อืม! เดิมทีกะว่าจะรอเรื่องนี้ผ่านไปสักระยะแล้วค่อยบอกพวกเจ้า แต่ในเมื่อพวกเจ้าถามขึ้นมาในตอนนี้ ข้าจะเล่าให้ฟังเล็กน้อย ที่ข้าให้ความสนใจ ‘อ๋องผู้ทรงคุณธรรม’ นี้ ก็เพราะว่าข้าได้รับเบาะแสมาว่าอ๋องสามอาจมีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘พรรควิญญาณมืด’ ที่มีอิทธิพลใหญ่ที่สุดในเสวียนจิงตอนนี้ และมีความเป็นไปได้ว่าเขาเป็นผู้ชักใยอยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืด’ ” ชิวหลงจื่อลังเลเล็กน้อยก่อนจะพูดโยคที่ทำให้ชายชุดดำทั้งสองรู้สึกตกใจขึ้นมา

“อะไรนะ! ผู้อยู่เบื้องหลังของพรรควิญญาณมืดคืออ๋องสาม?”

“ไม่ผิด! ถ้าไม่ใช่อย่างนั้นข้าคงไม่หาเรื่องส่งคนไปตายที่จวนอ๋องสามหรอก สืบข่าวอะไรมาได้หรือไม่นั้นไม่สำคัญ ข้าเพียงเตือนอ๋องสามว่ามีคนจับตามองเขาอยู่ อย่าได้กระทำการอันบุ่มบ่าม อย่าให้พรรควิญญาณมืดสร้างความวุ่นวายอะไรในเสวียนจิง พวกเจ้ากลับไปหาสายลับพลีชีพมาคนหนึ่งแล้วส่งเข้าไปในจวนอ๋องสามอีกครั้ง” ชิวหลงจื่อหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

หลังจากที่ชายชุดดำหายตกใจแล้ว ก็โค้งตัวตอบรับ

จากนั้นชิวหลงจื่อก็ให้ทั้งสองไปเก็บค่ายกลที่วางไว้ แล้วพากันเหาะกลับเสวียนจิง

หนึ่งชั่วยามต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งก็ลอยมาทางนี้ด้วยเช่นกัน คนที่ยืนอยู่บนนั้นก็คือหลิ่วที่เพิ่งจากไปก่อนหน้านั้น

ตอนนี้เขากลับมาเพียงคนเดียว เห็นได้ชัดว่าหลังจากส่งรถม้าสามคันนั้นไปแล้ว เขาถึงวกกลับมาที่นี่

เขาลอยวนอยู่บนอากาศเหนือป่าไม้อยู่หลายรอบ หลังจากส่งพลังจิตอันแข็งแกร่งกวาดลงไปดูด้านล่างแล้ว ก็รับรู้ได้ถึงคลื่นชั้นจำกัดบางส่วนที่เหลืออยู่ เขาหัวเราะอย่างเยือกเย็น และกระตุ้นเมฆเหาะจากไป

ขณะเดียวกัน ในห้องลับใต้ดินของพระราชวังโอ่อ่ารโหฐานในเสวียนจิง ชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมมังกรสีทองกำลังกลอกกลิ้งไปมาบนพื้นอย่างไม่คิดชีวิต ใบหน้าที่เดิมทีดูน่าเกรงขามก็เริ่มบิดเบี้ยว และมีเกล็ดสีเขียวปรากฏออกมา ขณะเดียวกันเส้นผมก็เปลายนเป็นสีน้ำเงินเข้ม ดวงตาทั้งคู่กลายเป็นสีเงินจางๆ

เสียดัง “เพล้ง!”

หางปลาสีเขียวขนาดใหญ่สะบัดออกมาจากเสื้อคลุมยาวของเขา และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง ทำให้พื้นที่แข็งแกร่งราวกับหินแตกละละเอียดเป็นจุน

ใบหน้าของชายผู้นี้ดูเจ็บปวดเป็นอย่างมาก มือทั้งสองเกาะอยู่บนพื้น และทิ้งรอยเลือดสยดสยองไว้มากมาย

เวลาผ่านไปนานเท่าใดมิอาจรู้ได้ ร่างของชายชุดคลุมมังกรก็ชักกระตุกไปทีหนึ่ง และผ่อนคลายขึ้นมาในทันที จากนั้นก็นอนคว่ำอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน และหายใจอย่างหนักหน่วง

“เฮ่อๆ! ความเจ็บปวดจากการเปลี่ยนร่างนี้ สำหรับมนุษย์โลหิตผสมอย่างเจ้าจะยิ่งเจ็บปวดมากขึ้นทุกครั้ง ถ้ารู้อย่างนี้แต่แรกใยต้องทำเช่นนั้นด้วยเล่า” ประตูใหญ่ของห้องลับถูกเปิดออกในฉับพลัน หญิงที่มีท่าทีสุขุมเยือกเย็นอายุประมาณไม่เกินสี่สิบกว่าปีเดินเข้ามา นางสวมชุดหญิงชั้นสูง เห็นได้ชัดว่าเป็นผู้ที่สูงส่งมาก

“ข้าเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน ต่อให้ไม่ทานโอสถเผ่าสมุทรของพวกเจ้า ข้าก็สามารถผ่านมันไปได้ มิเช่นนั้นไม่เท่ากับว่าข้าเป็นหุ่นเชิดหรอกหรือ!” ชายวัยกลางคนถอนหายใจออกมา จากนั้นหางปลาก็กลายเป็นสองเท้าอย่างรวดเร็ว หลังจากที่ฝืนลุกขึ้นมาได้แล้วก็กล่าวออกไปด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“สำหรับเผ่าเจ้าสมุทรอย่างพวกข้าที่ครอบครองมหาสมุทรโดยไร้ขอบเขตแล้ว แคว้นเล็กๆ ของมนุษย์มันไม่มีค่าเลย เด็กอย่างเจ้าไม่เคยไปที่เผ่าเจ้าสมุทรของเรา จึงไม่รู้ว่าโลกมันใหญ่แค่ไหน และถึงได้มีความคิดอันน่าขบขันเช่นนี้ ข้าเองก็นับว่าพอมีตำแหน่งอยู่ในเผ่าเจ้าสมุทรอยู่บ้าง ถ้าไม่ใช่ว่าครั้งนี้พวกเราวางแผนไว้ใหญ่โต ไหนเลยจะยอมปลอมแปลงเป็นชายาของมนุษย์เลวๆ ทั้งยังให้กำเนิดพวกเจ้าสองคนออกมาอีก ข้าระงับการให้โอสถเจ้าในครั้งนี้ เป็นแค่การการสั่งสอนเล็กๆ น้อยๆ เท่านั้น อย่าได้คิดกระทำการใดๆ ที่ตนเองคิดว่าถูกต้องเด็ดขาด” หญิงวัยกลางคนส่ายหน้ากล่าว จากนั้นก็ไปนั่งบนเก้าอี้ตัวหนึ่งที่อยู่ในห้องลับ

ชายสวมชุดคลุมมังกรผู้นี้ก็คือประมุขของแคว้นต้าเสวียน ซึ่งเป็นจักรพรรดิองค์ปัจจุบันที่มีนามว่าเสวียนจื้อนั่นเอง

ส่วนหญิงวัยกลางคนนั้นคือพระมารดาของจักรพรรดิองค์ปัจจุบัน หรือต่งไทเฮาของแคว้นต้าเสวียน

แต่ดูจากสถานการณ์ของทั้งสองในตอนนี้แล้ว ดูไม่มีสายใยผูกพันเผยออกมาเลยแม้แต่น้อย แต่กลับเต็มไปด้วยบรรยากาศตึงเครียดอย่างประหลาด

“ท่านมีแผนร้ายอะไรกันแน่ ถึงได้วางหลุมพรางนี้ไว้ตั้งแต่เมื่อหลายสิบปีก่อน ข้ารับปากร่วมมือกับพวกท่านแล้ว ควรจะบอกแผนการของพวกท่านให้ข้าบ้าง” เสวียนจื้อถามออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา

“แผนร้ายอะไร! เรื่องนี้ไม่ใช่เรื่องที่เจ้าสามารถรู้ได้ สิ่งที่เจ้าต้องทำในตอนนี้ก็คือพยายามเปลี่ยนตำแหน่งขุนนางสำคัญๆ มาเป็นคนของพวกเราให้หมด โดยที่คนอื่นๆ ไม่รู้ตัวก็พอแล้ว จะต้องให้มั่นใจได้ว่า พอเกิดการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ทั่วทั้งแตว้นต้าเสวียนจะต้องไม่มีการเคลื่อนไหวรุนแรงเกิดขึ้น และห้ามมนุษย์หนีออกไปข้างนอกได้” ต่งไทเฮากวาดตามองบุตรชายตนเองแล้วกล่าวอย่างราบเรียบ

“ฮึ! หลายปีที่ข้าดำรงตำแหน่งมานี้ ขุนนางหนึ่งในสามของราชสำนักต่างก็เป็นคนของท่านแล้ว หรือว่ามันยังไม่พออีกหรือ?” เสวียนจื้อได้ยินก็อดโมโหไม่ได้

“ไม่พออย่างแน่นอน! อย่างน้อยตำแหน่งขุนนางครึ่งหนึ่งขึ้นไป ต้องเป็นคนที่ข้าเสนอถึงจะได้ ข้ารู้ว่าหลายปีนี้เจ้าทำเป็นยอมศิโรราบต่อหน้าข้า แต่ความจริงแอบมีแผนอื่นอยู่ในใจ มิเช่นนั้นคงไม่แอบติดต่อกับศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจผู้นั้น ถ้าไม่ใช่ว่าข้าใช้วิธีการบางอย่างทำให้ ‘เจ้าสาม’ เข้าใจผิดคิดว่าศิษย์ตรวจตรานิกายปีศาจมาจัดการเขา และส่งคนไปฆ่าปิดปากก่อนล่ะก็ เกรงว่าแผนของข้าคงถูกเจ้าทำลายไปแล้ว” ต่งไทเฮากล่าวด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ข้าเองก็ไม่คิดว่าเจ้าสามจะกล้าลงมือกับคนของนิกายปีศาจเช่นนี้ ถึงแม้เขาจะไม่กลัว แต่ถ้าถูกตรวจสอบขึ้นมา แม้แต่ข้าก็ไม่อาจปกป้องเขาได้” พอเสวียนจื้อฟังถึงจุดนี้ก็กล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงฮึดฮัด

“เด็กน้อย จนถึงตอนนี้เจ้าก็ยังใช้เล่ห์เหลี่ยมกับข้า ทำไม่ถึงไม่คิดดูบ้างล่ะว่าใครเลี้ยงเจ้ามาจนโต เจ้าอย่าบอกนะว่า ไม่รู้ว่าน้องสามของเจ้าไม่ใช่ตัวเขาคนเดิมตั้งนานแล้ว” ต่งไทเฮาได้ยินเช่นนี้กลับยิ้มออกมา

“ที่แท้เรื่องนี้ก็ไม่สามารถปิดบังท่านได้ อย่างนี้ก็แสดงว่าเรื่องที่พรรควิญญาณมืดกำลังทำในตอนนี้ ท่านก็รู้อย่างแจ่มแจ้ง” ในที่สุดสีหน้าของเสวียนจื้อก็เปลี่ยนไป

“แน่นอนว่าข้ารู้แจ้งแจ่มชัด แต่ในเมื่อมีคนยอมทำเรื่องยากให้ก่อน มันก็เป็นเรื่องดีสำหรับข้าเป็นอย่างมาก” ต่งไทเฮากล่าว

“ถ้าอย่างนั้นข้าขอถามอีกประโยค เสด็จลุงเสด็จอาเหล่านั้นเป็นอย่างไรบ้าง ตั้งแต่พวกเขาถูกล่อให้ไปเก็บตัวฝึกฝน แม้แต่ข้าก็ไม่มีโอกาสได้เจอพวกท่านเลย” เสวียนจื้อเงียบไปครู่หนึ่ง แล้วถอยหายใจก่อนกล่าวออกมา

“วางใจเถอะ! เสด็จลุงเสด็จอาของเจ้ายังมีประโยชน์กับข้า ข้าไม่ฆ่าพวกเขาหรอก แต่สภาพของพวกเขาในตอนนี้คงไม่ต่างกับเจ้า พอถึงเวลาต่อให้พวกเขาไม่อยากยืนข้างข้า แต่เกรงว่าคงไม่มีทางเลือกอื่น” ต่งไท่เฮายิ้มเล็กน้อย

“เหมือนกับข้า! หมายความว่าอย่างไร?” เสวียนจื้อรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาเล็กน้อย

“ไม่มีอะไร เรื่องนี้ต่อไปเจ้าก็จะรู้เอง แต่เรื่องที่เจ้าติดต่อกับศิษย์นิกายปีศาจในครั้งก่อน เป็นสิ่งสุดท้ายที่ข้าจะยอมให้เจ้าได้ ถ้ายังมีครั้งที่สองอีกล่ะก็ เจ้าไม่เพียงแต่จะโดนระงับโอสถ แต่ข้าอาจจะทำให้เจ้าหายไปจากโลกใบนี้ แล้วหาหุ่นเชิดคนใหม่มาทำหน้าที่จักรพรรดิแคว้นต้า เสวียนแทนเจ้า ไม่รู้ว่าเจ้าฉลาดจริงๆ หรือแกล้งเลอะเลือน ด้วยสถานภาพที่เจ้ามีโลหิตของเผ่าเจ้าสมุทร ถึงแม้มนุษย์ผู้ฝึกฝนเหล่านั้นจะสามารถขับไล่พวกเราออกจากแคว้นต้าเสวียนไปได้ แต่เจ้าคิดว่านิกายของมนุษย์เหล่านั้นจะยอมให้เจ้าเป็นจักรพรรดิในแคว้นต้าเสวียนต่อไปอีกหรือ พอถึงตอนนั้นต่อให้จะเห็นแก่ที่เจ้าส่งข่าวให้ แต่จุดจบที่ดีที่สุดก็คือถูกขังอยู่ในสถานที่บางแห่งตลอดชีวิต แต่ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรของเราควบคุมแคว้นนี้ไว้ได้ ยังคงต้องใช้จักรพรรดิมาตวบคุมดูแลมนุษย์เหล่านี้ ลูกโลหิตผสมอย่างเจ้าย่อมเป็นตัวเลือกที่ดีที่สุด เช่นนี้แล้วมันต่างอะไรกันกับจักรพรรดิที่ถูกควบคุมโดยห้านิกายใหญ่เล่า เรื่องที่ข้าจะพูดข้าก็พูดหมดแล้ว นี่เป็นการเกลี้ยกล่อมครั้งสุดท้าย ถ้ายังไม่เชื่อฟังล่ะก็ อย่าหาว่าข้าไม่เห็นแก่สัมพันธ์ก็แล้วกัน” ต่งไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด จากนั้นก็โยนขวดเล็กๆ ไปบนพื้นแล้วลุกเดินจากไป

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด