ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 210 ค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 210 ค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 210 ค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้า

“พี่หลิน ท่านนั่นเอง! ไม่ใช่ว่าข้าให้ท่านเฝ้าดูผู้ที่เก็บตัวฝึกฝนหรอกหรือ ทำไมถึงมานี่ได้ล่ะ?” พอต่งไทเฮาเห็นใบหน้าของหญิงวัยกลางคน ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“เรียนคุณหนู นายท่านส่งข่าวมา” หญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าแปลกใจ แต่กลับก้มหน้ากล่าว

จากนั้นก็หยิบเปลือกหอยสีเหลืองทองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วประคองสองมือยื่นออกไป

“ท่านพ่อส่งข่าวมาช่วงเวลานี้ ช่างน่าแปลกใจยิ่งนัก หรือว่าเกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเผ่า?” ต่งไทเฮารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย นางรับเปลือกหอยสีทอง แล้วนำไปแปะบนหน้าผากเบาๆ

ผ่านไปไม่นาน นางก็มีสีหน้าเขียวปั๊ดขึ้นมา เมื่อนางเอาเปลือกหอยออกแล้ว ก็เค้นเสียงกร่นด่าออกมา

“เจ้าสารเลวเว่ยอวี้ ไม่คิดว่ามันจะกล้าขโมยหยดพลังวารีจากคลังเก็บสมบัติไป หากตายไปได้ก็นับว่าได้รับโทษสถานเบาไป ไม่เช่นนั้น ข้าจะเอามันมาถลกหนังกระชากเอ็นอีกสักรอบ”

“อะไรนะ! เว่ยอวี้ตายแล้ว ตั้งแต่เมื่อไหร่กัน?” รอยยิ้มบนใบหน้าของหญิงวัยกลางคนหายไปทันที

“เมื่อวานมีผู้ฝึกฝนสองคนบุกเข้าวัง และเห็นลูกเสวียนจื้อกลายร่างก่อนที่จะหลบหนีไปได้ ดังนั้นข้าจึงให้เว่ยอวี้ออกไปตามล่า แต่จนนี้ตอนนี้ยังไม่กลับมา คิดว่าคงเกิดเรื่องไม่คาดคิดเข้าแล้วล่ะ!” ต่งไทเฮากล่าวอย่างเคียดแค้น

“อย่างนี้ก็หมายความว่า หยดพลังวารีอาจตกอยู่ในมือของผู้ฝึกฝนที่เป็นมนุษย์ผู้นั้น ถ้าเป็นเช่นนี้ก็แย่แล้ว คุณหนู หากไม่สามารถตามของสิ่งนี้กลับได้ เกรงว่าต่อให้ทำภารกิจในเสวียนจิงได้สำเร็จ แต่กลับเผ่าไปแล้วคงไม่วายโดนนายท่านตำหนิ” หญิงวัยกลางคนถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

“ข้าย่อมรู้ว่าหยดพลังวารีมีความสำคัญกับท่านพ่อมาก แต่เรื่องมันเกิดขึ้นแล้ว นอกเสียจากว่าจะจับผู้บุกรุกทั้งสองคนนั้นได้ ไม่อย่างนั้นข้าเองก็ไม่รู้จะทำอย่างไร แต่ตอนนี้ข้ายังต้องอยู่ในวังเพื่อควบคุมสถานการณ์โดยรวมของเสวียนจิง ไม่สามารถปลีกตัวได้ ถ้าหาหยดพลังวารีไม่พบ ข้าก็แค่โดนท่านพ่อตำหนิ แต่ถ้าทำเสียการใหญ่ล่ะก็ กลับไปคงต้องไปอยู่ที่บ่อลึกหนาวเหน็บนานสิบปี” ต่งไทเฮากล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“ถ้าเป็นเช่นนี้ คุณหนูมอบเรื่องนี้ให้ข้าจัดการเถอะ! ข้ามีสมบัติพิเศษที่นายท่านมอบให้ ซึ่งมันสามารถรับรู้ตำแหน่งของหยดวารีที่อยู่ในระยะที่จำกัดได้ ข้าจะไปเดินในเสวียนจิง ไม่แน่อาจจะเจอเบาะแสอะไรบ้าง” หญิงวัยกลางคนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา

“งืม! ถ้าเช่นนั้นก็ไม่เสียหลายที่จะลองดู แต่ว่า……” ต่งไทเฮาได้ยินก็แสดงสีหน้าลังเลออกมา แต่ขณะที่กำลังจะกล่าวอะไรออกมานั้น พลันมีเสียงฝีเท้าดังจากนอกประตู ชายร่างยักษ์ผู้นั้นกำลังสาวเท้ายาวๆ เข้ามาในตำหนัก

ต่งไทเฮาขมวดคิ้วมองออกไป และหยุดพูดในทันที

“คุณหนู แย่แล้ว ข้าเพิ่งได้ข่าวมา ตอนนี้มีข่าวกึ่งจริงกึ่งเท็จแพร่กระจายไปทั่วเสวียนจิง ข่าวบอกว่ามีเผ่าเจ้าสมุทรอยู่ในวัง และยังบอกว่าจักรพรรดิถูกปลงพระชนม์ไปนานแล้ว ที่เห็นในตอนนี้คือปีศาจที่แปลงร่างมา และยังบอกว่าเผ่าเจ้าสมุทรเราสมคบคิดกับปีศาจ วางแผนคิดร้ายต่อมนุษย์ในเสวียนจิง เตรียมการล้างบางผู้ฝึกฝนอิสระทั้งหมด” พอชายร่างยักษ์เดินเข้ามาก็กล่าวด้วยสีหน้าตกใจ

“อะไรนะ มีเรื่องแบบนี้ด้วย สืบเจอหรือยังว่าข่าวนี้ถูกปล่อยมาจากที่ใด?” พอต่งไทเฮาได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

เสวียนจื้อที่อยู่ข้างๆ ก็มีสีหน้าซีดขาวจนถึงขีดสุด

“ข้าสืบดูแล้ว ข่าวนี้มาจากกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ ที่กลุ่มผู้ฝึกฝนอิสระรวมตัวขึ้นมา” ชายร่างยักษ์รีบตอบกลับไป

“คุณหนู ให้ข้าน้อยไปตัดรากถอนโคนกลุ่มอิทธิพลนี้เถอะ” พอหญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ไม่ทันแล้วพี่หลิน กลุ่มอิทธิพลเล็กๆ นี้ได้ขายข่าวให้อีกเจ็ดแปดกลุ่มแล้ว เชื่อว่าใช้เวลาไม่นาน กลุ่มอิทธิพลของเผ่ามนุษย์คงรู้กันถ้วนหน้า” ชายร่างยักษ์ฝืนยิ้มกล่าวออกมา

“ไม่ต้องบอกก็รู้ ผู้บุกวังทั้งสองต้องเป็นคนทำแน่ พวกเขาช่างใจกล้ามากนัก พี่หลิน เมื่อไหร่มนุษย์ผู้ฝึกฝนเหล่านั้นจะฝึกฝนพลังที่พวกเราให้ได้สำเร็จ?” มาถึงตอนนี้ ต่งไทเฮากลับดูสงบขึ้นมา

“เรียนคุณหนู ตามแผนที่วางไว้ล่ะก็ ยังต้องใช้เวลาอีกสองเดือน แต่ถ้าไม่เสียดายโอสถ และอายุขัยที่ลดลงของพวกเขาล่ะก็ สามารถลดเวลาลงได้ครึ่งหนึ่ง” หญิงวัยกลางคนรีบตอบกลับในทันที

“ถ้าเช่นนั้น เจ้าก็ไปจัดการเถอะ! ยังไรซะถ้าเรื่องนี้ไม่สำเร็จ เก็บคนเหล่านี้ไว้ก็ไม่มีประโยชน์อะไร จวี้เจิงเจ้ารีบพาคนสองสามคนไปยังที่พักแขกจิตวิญญาณทองคำ และเอาตัวชิวหลงจื่อมาให้ข้า ถ้าเขาฝ่าฝืนก็ฆ่าทิ้งซะ จากนั้นอาศัยโอกาสที่ข่าวนี้ยังแพร่ไม่ถึงในวัง เรียกตัวแขกจิตวิญญาณที่ดูแลในวังทั้งหมด และปิดผนึกความสามารถของมนุษย์ผู้ฝึกในเหล่านี้ไว้” ต่งไทเฮากล่าวด้วยสีหน้าดุดัน

หญิงวัยกลางคนได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับเต็มปากเต็มคำ

แต่ชายร่างยักษ์รู้สึกเยืนยะเยือกในใจ แต่ก็แสดงสีหน้ากระหายการฆ่าออกมาทันที

“ปิดผนึกมันยุ่งยากเกินไป จัดการฆ่าแขกจิตวิญญาณทองคำเหล่านี้ไปเลย”

“ไม่ต้อง คนพวกนี้ยังมีประโยชน์กับข้า พวกเขาจะต้องมีชีวิตอยู่” ต่งไทเฮาส่ายศีรษะ

“ข้าน้อยเข้าใจแล้ว” ชายร่างยักษ์เข้าใจในทันที

“ลูกจื้อ เจ้ารีบออกราชโองการให้ขุนนางใหญ่ในเสวียนจิงเข้าวังทั้งหมด และผู้ที่ไม่มาจะโดนโทษทรยศ” ต่งไทเฮาหันหน้ามาสั่งเสวียนจื้อที่ยืนอึ้งอยู่

“เสด็จแม่ ท่านจะลงมือในตอนนี้เลยหรือ?” ในที่สุดจักรพรรดิของแคว้นต้าเสวียนผู้นี้ก็ได้สติกลับมา และถามด้วยความตื่นเต้น

“เดิมทีข้าจะรออีกสองเดือน แต่ตอนนี้จำต้องลงมือก่อนแล้ว แต่นี่ก็ไม่ใช่ปัญหาอะไร ข้าได้เตรียมการเพื่อวันนี้มานานแล้ว ใต้พื้นดินทั่วเสวียนจิงในตอนนี้ มีค่ายกลสี่สมุทรพลิกฟ้าอันเลื่องชื่อของเผ่าเจ้าสมุทรเราวางไว้อยู่ เพียงกระตุ้นมันเท่านั้น ต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณ แต่ถ้าไม่รู้วิธีทำลายค่ายกลก็ไม่สามารถเข้ามาได้ง่ายๆ และค่ายกลนี้มีผลทั้งข้างในและข้างนอก ยิ่งไปกว่านั้นยังสามารถตัดขาดค่ายกล และวิชาที่ใช้ติดต่อได้ ถ้าพวกเราโชคดีที่ผู้บุกวังทั้งสองไม่ใช่ศิษย์ตรวจตราของนิกายปีศาจกับนิกายจันทราสวรรค์อย่างที่คาดเดาไว้ หรือพวกเขาทั้งสองไม่ทันได้ส่งข่าวออกไปนอกเสวียนจิงล่ะก็ ก็สามารถควบคุมทุกอย่างในเสวียนจิงได้ รอเมื่อนิกายทั้งห้าได้ข่าวการเปลี่ยนแปลงในเสวียนจิง แล้วมาตรวจสอบเจอ พวกเราก็สามารถยืดเวลาออกไปได้ ขอแค่ทางเผ่าเราลงมือ นิกายทั้งห้าก็ไม่สามารถทำอะไรทางนี้ได้แล้ว

“ลูกเข้าใจแล้ว ลูกจะไปออกราชโองการเดี๋ยวนี้!” เสวียนจื้อเป็นถึงจักรพรรดิของแคว้น ย่อมไม่ใช่คนธรรมดา พอเข้าได้ยินเช่นนี้ก็ตอบรับอย่างไม่ลังเล

“ดีมาก ในที่สุดเจ้าก็เข้าใจ เจ้าเป็นเผ่าเจ้าสมุทรไม่ใช่มนุษย์ชั้นต่ำเหล่านี้ เพียงแค่เจ้าเรียกขุนนางใหญ่เหล่านั้นเข้ามาในวัง ข้าก็จะรีบเปิดใช้งานค่ายกลใหญ่ทันที ในขณะเดียวกันก็กระตุ้นค่ายกลภายใน แยกพระราชวังกับแผ่นดินเสวียนจิงออกจากกัน อาศัยแค่ความสามารถของผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านี้ ถ้าคิดจะทำลายค่ายกลล่ะก็ เป็นเรื่องเพ้อฝันเท่านั้น เอาล่ะ! รีบดำเนินการเถอะ!” ต่งไทเฮากล่าวชมเชยไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็สั่งด้วยสีหน้าสะพรึงกลัว

ชายร่างยักษ์และคนอื่นๆ ตอบรับออกไป จากนั้นกลุ่มเผ่าเจ้าสมุทรต่างก็ทยอยไปดำเนินการของตนเอง

ครึ่งวันผ่านไป กลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเสวียนจิงต่างก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนที่ทราบข่าวเผ่าเจ้าสมุทร เมื่อคลื่นใต้น้ำสั่นกระเพื่อมขึ้นมา พื้นดินใต้เสวียนจิงก็สั่นไหว ค่ายกลอักขระขนาดเล็กปรากฏอยู่บนถนนต่างๆ เป็นจำนวนมาก จากนั้นก็แวบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

จากนั้นผืนแผ่นดินใหญ่ทั้งผืนก็บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น ลำแสงสีฟ้าอ่อนขนาดเท่าอ่างน้ำพุ่งขึ้นไปบนฟ้าเป็นจำนวนมาก และค่อยๆ จมหายไปบนท้องฟ้า

ฉากอันน่าตกใจนี้ ทำให้ผู้คนในเสวียนจิงกับผู้ฝึกฝนอิสระเหล่านั้น จ้องมองจนปากอ้าตาค้าง

ขณะเดียวกัน รอบแท่นหยกที่ใช้เป็นพิธีบูชา ก็มีองครักษ์ของพระราชวังรวมตัวกันอย่างแน่นหนา ซึ่งมีทั้งหมดเกือบสองร้อยกว่าคน แต่ละคนต่างถือธงค่ายกลหลากสีอยู่ในมือ และยืนเรียงแถวสี่แถวอยู่ในค่ายกลสี่เหลี่ยม

และบนแท่นหยก ต่งไทเฮาสวมชุดสีฟ้าอ่อนกึ่งนั่งคุกเข่าอยู่บนนั้น

ใบหน้านางยังคงเป็นเหมือนเดิม แต่อ่อนกว่าก่อนหน้านั้นหลายปี ดูๆ แล้วเป็นหญิงแต่งงานที่ยังสาวมาก และมือทั้งคู่ประคองกระจกทองเหลืองสีน้ำเงินอยู่อันหนึ่ง นางกำลังร่ายคาถาอะไรบางอย่างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

นางพลิกกระจกหงายขึ้นฟ้าทันที ทันใดนั้นก็มีเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา และอักขระสีฟ้าอ่อนตัวหนึ่งได้พุ่งออกมาจากในนั้น

ตอนแรกมันมีขนาดไม่ถึงชุ่นกว่าๆ แต่พอต่งไทเฮากระตุ้นมันอย่างต่อเนื่อง พริบตาเดียวก็ขยายขนาดเท่าอ่างล้างหน้า และพุ่งขึ้นไปบนฟ้าสูง

พออักขระอยู่สูงจากพื้นราวๆ สามสิบถึงสี่สิบจั้งก็ค่อยๆ หยุดลง ไม่ว่าต่งไทเฮาจะกระตุ้นของชิ้นนี้อย่างบ้าคลั่งแค่ไหนก็ตาม มันก็เพียงแค่สั่นไหวเล็กน้อยเท่านั้น

“ลงมือ”

ต่งไทเฮาเห็นเช่นนี้ก็รีบกัดฟันตะโกนสั่ง

จากนั้นแสงสีฟ้าได้เปล่งประกายออกมาจากร่างของนาง ภายใต้เส้นผมที่โบกสะบัดตามลม ได้ปรากฏใบหน้าที่แท้จริงของเผ่าเจ้าสมุทรชัดเจนกว่าเดิมสามส่วน

องครักษ์วังหลวงสองร้อยกว่าคนที่อยู่บริเวณแท่นหยก ต่างก็มีแสงเปล่งประกายออกมาเช่นกัน จากนั้นก็ค่อยๆ กลายร่างเป็นมนุษย์ครึ่งมัจฉา

ที่แท้พวกเขาทั้งหมดก็เป็นเผ่าเจ้าสมุทรที่แปลงร่างมา และพอคืนร่างเดิมได้ก็เปล่งพยางค์เสียงแปลกๆ ออกมา พร้อมกับโบกสะบัดธงค่ายกลในมืออย่างบ้าคลั่ง

ทันใดนั้นค่ายกลทั้งสี่ด้านก็เปล่งแสงประกายออกมา อักขระวิจิตรตระการตาเปล่งประกายขาดๆ หายๆ อยู่บนพื้น ขณะเดียวกันแสงหลากสีก็พุ่งออกจากธงค่ายกล แล้วค่อยๆ จมหายไปในกระจกทองเหลืองบนมือต่งไทเฮา

พริบตาเดียว กระตกทองเหลืองก็เปล่งประกายแสบตาออกมา

ทันทีที่ต่งไทเฮาอ้าปาก โลหิตจำนวนหนึ่งได้กลายเป็นหมอกโลหิตแล้วจมหายเข้าไปในกระจกเช่นกัน หลังจากที่กระตุ้นพลังเวทย์ในร่างแล้ว อักขระยักษ์ที่ลอยต่ำอยู่กลางอากาศก็พุ่งขึ้นฟ้า และหายวับไปอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา บังเกิดแสงฟ้าแลบฟ้าผ่าบนท้องฟ้าที่อยู่ไกลหมื่นลี้ เมฆดำพวยพุ่งในทันที อสรพิษเงินโยกย้ายไปมา ขณะเดียวกันคลื่นชั้นจำกัดที่เกือบจะทำให้คนหายใจอึดอัด ก็กระเพื่อมจากใจกลางพระราชวังไปยังรอบด้าน

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด