ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 213 ค่ายกลรบ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 213 ค่ายกลรบ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 213 ค่ายกลรบ

ธงเล็กสีฟ้าส่งสียงดัง “หวึ่งๆ” ออกมา พอออกแรงโบกสะบัดมัน แสงสีฟ้าเป็นจุดๆ ก็โผล่ออกมาทันที จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นคลื่นน้ำขนาดใหญ่ ห้อมล้อมร่างหลิ่วหมิงไว้

หลิ่วหมิงโบกสะบัดธงเล็กอย่างบ้าคลั่งด้วยความแปลกใจ คลื่นน้ำก็กระเพื่อมสั่นไหวอยู่ไม่หยุด

ธงเล็กในมือเขาแตะไปยังอากาศตรงหน้าเจ็ดแปดครั้งทันที

ทันใดนั้นคลื่นน้ำก็ม้วนตัวพ่นเส้นสีขาวขนาดใหญ่ออกมาเจ็ดแปดเส้น คลื่นเหล่านี้โจมตีไปยังผนังตรงหน้า

สิ่งนี้ทำให้ผนังที่ถูกวางชั้นจำกัดอยู่เปล่งประกายออกมา และปรากฏรูขนาดต่างๆ บนกำแพงหินเจ็ดแปดรู

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้กลับขมวดคิ้วทันที

สำหรับอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางแล้ว พลังเช่นนี้นับว่าไม่ค่อยมีอานุภาพมากนัก

เขาคิดเช่นนี้อยู่ในใจ และสูดหายใจเข้าลึกๆ พอธงเล็กสีฟ้าพร่ามัว เขาก็ปักมันเข้าไปที่ท้อง จากนั้นมือทั้งสองก็รีบทำท่ามืออย่างรวดเร็ว

ร่างหลิ่วหมิงพร่ามัว และค่อยๆ โปร่งแสงขึ้นมา สุดท้ายก็หายวับเข้าไปในคลื่นน้ำ จนมองไม่เห็นอะไรอีก

ขณะนี้ คลื่นน้ำพุ่งชนตามผนังห้องลับ สักพักก็พุ่งขึ้นด้านบน กลายเป็นชั้นบางๆ เกาะติดอยู่ใต้หลังคาห้อง สักพักก็กลายเป็นระลอกคลื่นหมุนวนอยู่กลางอากาศไม่หยุด

พอคลื่นน้ำส่งเสียงดังออกมา มันก็แยกตัวเป็นสองกลุ่มทันที พอแสงสีฟ้าเปล่งประกาย ทั้งสองกลุ่มต่างก็กลายเป็นเงาร่างกึ่งโปร่งแสง รูปร่างหน้าตา เสื้อผ้า ล้วนเหมือนกับหลิ่วหมิงไม่มีผิด เพียงแต่หลังจากที่ทั้งสองจ้องมองตากันครู่หนึ่ง ก็ไม่อาจแยกออกได้ว่าร่างไหนจริงร่างไหนปลอม

“วิเศษมาก! คิดไม่ถึงจริงๆ ว่าสมบัติชิ้นนี้จะมีการเปลี่ยนแปลงอันน่าตกใจเช่นนี้ โชคดีที่เผชิญหน้ากับศัตรูในวันนั้น เผ่าเจ้าสมุทรไม่ได้แสดงความมหัศจรรย์ที่แท้จริงของมันออกมา” เงาร่างหนึ่งในนั้นกลายเป็นคลื่นน้ำและพังทลายลงมา ส่วนอีกเงาร่างก็เกาะตัวกันกลายเป็นหลิ่วหมิงดังเดิม

ใบหน้าเขาตอนนี้เต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ

หลังจากนั้นอีกห้าหกวัน หลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงก็เก็บตัวอยู่ในถ้ำไม่ออกไปไหน

คนหนึ่งรักษาบาดแผลและฟื้นฟูพลังอยู่เงียบๆ อีกคนก็ตั้งใจฝึกใช้อาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่เพิ่งได้มา

แต่ช่วงระหว่างเวลานี้ กลุ่มอิทธิพลในเสวียนจิงที่เป็นพันธมิตรกัน ก็เริ่มลองโจมตีชั้นจำกัดนอกพระราชวังอยู่ไม่หยุด เพื่อหาจุดที่เปราะบางของมัน

แต่ก็ยังไม่รู้ตื้นลึกหนาบางของม่านแสงที่ปกป้องพระราชวัง ไม่ว่าจะใช้อะไรโจมตีมันก็รับไว้ได้ทั้งหมด ราวกับว่ามันไม่มีจุดอ่อนอยู่เลย

หลายวันมานี้ ผลลัพธ์การทดสอบมาเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ชั้นจำกัดนี้ไม่สามารถทำลายได้ด้วยพลังของกลุ่มอิทธิพลเพียงกลุ่มเดียว

สองวันผ่านไป ดูเหมือนว่ากลุ่มอิทธิพลต่างๆ ในเสวียนจิงจะหาวิธีทำลายชั้นจำกัดได้แล้ว

วันนี้เวลาเที่ยงวัน ผู้ฝึกฝนเกือบพันคนที่นั่งขัดสมาธิอยู่นอกวังพลันลุกขึ้นมา และเริ่มลงมือกันเป็นกลุ่มๆ ทันที

ไม่นาน ก็มาตั้งขบวนแถวเป็นสามกลุ่มขนาดใหญ่อยู่ตรงประตูทางเข้าหลักของพระราชวัง

ผู้ฝึกฝนกลุ่มหนึ่งต่างก็ถือกระบี่ยาวสีขาวไว้ในมือ ผู้ฝึกฝนกลุ่มต่อมาต่างก็ชักดาบยาวสีดำออกมา และกลุ่มสุดท้าย ผู้ฝึกฝนแต่ละคนต่างก็พกถุงมือสีเงินมาด้วย

ผู้ฝึกฝนอิสระที่เดินเตร็ดเตร่ไปมาเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตื่นตัวในทันที!

หลายคนในนั้นเป็นผู้ความรู้กว้างไกล พอได้เห็นเช่นนี้ต่างก็รู้สึกเย็นยะเยือกในใจ คนจำนวนไม่น้อยต่างก็พูดคำว่า ‘ค่ายกลรบ’ ออกมาเบาๆ

ในขณะเดียวกัน ผู้ที่มีกลิ่นไอพลังแข็งแกร่งสิบกว่าคน ได้พุ่งออกมาจากกลุ่มผู้ฝึกฝนที่เป็นพันธมิตรกัน

ผู้อาวุโสใบหน้าแปลกประหลาดที่เป็นหนึ่งในนั้นก้าวเท้ายาวๆ ออกมา และหยิบแผ่นค่ายกลแล้วค่อยๆ ยกหันไปทางพระราชวัง

“ไม่คิดว่าจะเป็นผู้เชี่ยวชาญหรง เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญค่ายกลอันดับหนึ่งในเสวียนจิงนี้ ดูเหมือนว่าการทำลายค่ายกลในครั้งนี้จะมีความหวังขึ้นมาแล้ว!”

พอผู้ฝึกฝนอิสระที่คอยสังเกตอยู่บริเวณนั้น จำผู้อาวุโสแปลกประหลาดผู้นี้ได้ ก็กล่าวด้วยความดีใจ

คนอื่นๆ ที่จำ ‘ผู้เชี่ยวชาญหรง’ ได้ หรือเคยได้ยินชื่อเสียงมาก่อน ต่างก็รู้สึกตกใจระคนดีใจ

ขณะนี้เอง ผู้เชี่ยวชาญหรงก็โยนแผ่นค่ายกลไปบนอากาศ ขณะเดียวกันมือข้างหนึ่งก็ปล่อยพลังเวทย์เข้าใส่

มีเสียงดังกังวานออกมา!

ลำแสงเปล่งประกายบนแผ่นค่ายกล จากนั้นค่ายกลแสงมายาที่มีเส้นผ่านศูนย์กลางยาวจั้งกว่าๆ ก็ปรากฏออกมาลางๆ

“สหายทุกท่านรออะไรกันอยู่! ยังไม่รีบช่วยข้าอีก!”

ผู้เชี่ยวชาญหรงตะคอกออกมา!

ทันใดนั้นผู้ฝึกฝนที่พุ่งออกมาพร้อมกันในตอนแรก ต่างก็แยกออกเป็นสองแถวราวกับนัดไว้ก่อน แขนทั้งสองข้างของแต่ละคนวางอยู่บนบ่าคนข้างหน้า และสองคนที่อยู่หน้าสุดก็ทาบมือทั้งสองลงบนหลังผู้อาวุโส

พลังเวทย์บริสุทธิ์สองสายที่ดูราวกับกระแสน้ำไหล ก็ไหลทะลักไปยังร่างของผู้เชี่ยวชาญหรง

ผู้อาวุโสแปลกประหลาดรู้สึกว่าพลังเวทย์ปะทุขึ้นมาในฉับพลัน พลังเวทย์บริสุทธิ์โหมซัดสาดไปทั่วชีพจรแต่ละเส้น ราวกับว่ามันจะทำให้ร่างระเบิดออกมาได้

ผู้อาวุโสไม่กล้าชักช้า นิ้วทั้งสิบดีดไปยังค่ายกลแสงอย่างต่อเนื่องราวกับล้อรถ พลังเวทย์แต่ละสายตกลงบนค่ายกลแสงอย่างแม่นยำ

ทุกครั้งที่ดีดนิ้วออกไป ทำให้ค่ายกลแสงขยายใหญ่ขึ้น พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่เจ็ดแปดจั้ง

ขณะนั้นเอง มีเสียงดังหวึ่งๆ มาจากค่ายกลแสง อักขระหลากสีจำนวนมากล่องลอยออกมาจากในนั้น ต่อมาก็พ่นลำแสงสีขาวโพลนขนาดใหญ่ออกมาลำหนึ่ง และพุ่งชนม่านแสงที่ปกคลุมพระราชวังอย่างรุนแรง

พอม่านแสงสีฟ้าที่เดิมทีดูหนาๆ ถูกลำแสงโจมตี ก็บังเกิดระลอกคลื่นบนพื้นผิวของมัน และเริ่มสั่นไหวขึ้นมาอีกครั้ง

ขณะนี้ ท่ามกลางผู้ฝึกฝนทั้งสามกลุ่มที่อยู่หน้าพระราชวัง ไม่รู้ว่าใครออกคำสั่งว่า “ลงมือ” ออกมา

ผู้ฝึกฝนที่ถือกระบี่ยาวหลายร้อยคนขยับอาวุธในมือพร้อมกัน และฟาดฟันปราณกระบี่ออกไปกลางอากาศ ไม่นานมันก็รวมตัวกันเป็นกระบี่แสงยาวสิบกว่าจั้ง ก่อนที่จะตกลงบนม่านแสงนอกพระราชวังอย่างดุดัน

“ตู๊ม!” เสียงอันน่าตกใจสะเทือนไปทั่วปฐพี

พื้นผิวม่านแสงสีฟ้าเว้าเข้าไปส่วนหนึ่ง ขณะเดียวกันก็เปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่ง

พริบตาที่แสงกระบี่หายไป ผู้ฝึกฝนถือดาบหลายร้อยคนต่างก็ตวัดดาบฟันขึ้นไป แสงดาบอันน่าสะพรึงม้วนตัวไปบนอากาศราวกับกระแสน้ำ จากนั้นก็รวมตัวกันเป็นดาบแสงสีดำยาวสิบกว่าจั้งหนึ่งเล่ม และตกลงมาด้านล่างด้วนกลิ่นไออันน่ากลัว

เกิดเสียงดังสนั่นขึ้นอีกครั้ง!

พอดาบแสงสีดำฟันลงบนม่านแสง ก็มีเสียงแตกหักออกมาทันที รอยแตกสีขาวจางๆ ปรากฏอยู่บนม่านแสง

ผู้ฝึกฝนอิสระคนอื่นๆ ที่เห็นฉากนี้ ต่างก็อุทานออกมาด้วยความตกใจในทันที พวกเขาแสดงความดีใจออกมา

ขณะนี้ผู้ฝึกฝนหลายร้อยคนที่สวมถุงมือสีเงิน ได้ปล่อยหมัดออกไปพอดี เงาหมัดจำนวนมากพุ่งยิงออกไป และหมุนติ้วๆ รวมตัวกันเป็นหมัดแสงขนาดใหญ่ ทุบลงไปยังรอยแตกบนม่านแสงที่อยู่ด้านล่าง

ด้วยพลังอันน่าตกใจของหมัดแสง ทุกคนดูเหมือนจะคิดว่า หลังจากการโจมตีนี้ม่านแสงที่อยู่ด้านล่างจะต้องพังทลายอย่างแน่นอน

แต่ขณะนั้นเอง พลันมีแสงโลหิตปรากฏขึ้นตรงใจกลางของพระราชวัง กระบี่แสงสีเลือดยาวเจ็ดแปดจั้งพุ่งขึ้นมาจากในนั้น หลังจากเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็พุ่งทะลุม่านแสงไปปะทะกับหมัดแสงสีเงินอย่างจัง

พอมีเสียงระเบิดดังออกมา ลำแสงสีเลือดกับแสงสีเงินก็ผสมปนเปกัน และในที่สุดก็สลายไปพร้อมกัน

ได้เห็นสถานการณ์เช่นนี้ ผู้ฝึกฝนระดับสูงหลายคนที่ส่งพลังเวทย์ให้ผู้เชี่ยวชาญหรงอยู่ ต่างก็รู้สึกตกใจมาก และมองไปยังใจกลางของพระราชวังอย่างอดไม่ได้

เมฆเทาแต่ละก้อนพุ่งขึ้นจากด้านนั้น บนนั้นมีผู้ฝึกฝนสวมชุดแตกต่างกันสิบกว่าคนยืนอยู่

ผู้ฝึกฝนเหล่านี้ล้วนมีผมสีขาวอมเทา แต่ละคนถือกระบี่ยาวที่เปล่งแสงสีเลือดจางๆ ด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“กงซุนหลง เสวียนตู เฟิงเทียนฮว่า ไม่คิดว่าจะเป็นพวกท่าน พวกท่านรู้หรือไม่ ประมุขในวังตอนนี้ไม่ใช่มนุษย์อย่างพวกเรา หรือพวกเจ้าจะกล้าเสี่ยงช่วยทรราชย์ก่อกำทำเข็ญหรือ?” พอผู้ฝึกฝนระดับสูงที่มีผมสีเทา ดูจากลักษณะแล้วอายุคงไม่น้อยผู้หนึ่ง ได้เห็นใบหน้าที่ชัดเจนของทั้งสิบกว่าคน ก็ตะคอกใส่ด้วยความโมโห

และคนอื่นๆ ก็ลุกฮือขึ้นมา

กงซุนหลง เสวียนตู เฟิงเทียนฮว่า ที่กล่าวมาทั้งหมด ล้วนเป็นแขกจิตวิญญาณทองคำ ที่เป็นผู้บัญชาการเหมือนกับชิวหลงจื่อ

ขณะนี้ ก็มีคนจำใบหน้าของคนอื่นๆ ได้ และต่างก็พูดคำว่า “ผู้ฝึกฝนของราชวงศ์” ออกมา

ผู้อาวุโสคนอื่นๆ เป็นศิษย์จิตวิญญาณที่ราชวงศ์บ่มเพาะมาหลายปี ทั้งยังอยู่ในระดับเดียวกัน ซึ่งเฒ่าประหลาดเหล่านี้ ล้วนเป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นสมบูรณ์แบบ

แต่ผู้ฝึกฝนของราชวงศ์เหล่านี้ กับแขกจิตวิญญาณทองคำทั้งสาม กลับไม่สนใจสถานการณ์นอกม่านแสง เพียงแต่ถือกระบี่จ้องมองทุกสิ่งที่อยู่นอกม่านแสงอย่างเงียบๆ

สถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ฝึกฝนระดับสูงที่เป็นพันธมิตรกันจ้องมองกันทีหนึ่ง และทุกคนต่างก็รู้สึกใจหายวาบ

“พวกเจ้าอย่าได้คิดเพ้อฝัน ว่าพวกเขาจะฟังพวกเจ้าพูด ในเมื่อพวกเขาฝึกฝนพลังที่ข้ามอบให้ ตอนนี้ความเป็นตายของพวกเขาล้วนขึ้นอยู่กับข้าเท่านั้น พวกเขาจะทำเพื่อพวกเจ้าโดยไม่สนใจชีวิตของตนเองได้อย่างไร”

ขณะนั้นเอง ได้มีคำพูดเนิบนาบดังมาจากในพระราชวัง จากนั้นเงาร่างจำนวนมากก็พุ่งขึ้นมา พวกเขาล้วนเป็นองครักษ์สวมชุดเกราะของพระราชวัง มีราวๆ สองสามร้อยคน

แต่บนก้อนเมฆสีขาวก้อนหนึ่ง กลับมีหญิงสวมชุดชาววังสีฟ้า และใส่เครื่องประดับเต็มตัวยืนอยู่

นางคือต่งไทเฮานั่นเอง!

“ต่งไทเฮา เป็นท่านนั่นเอง เช่นนี้ก็หมายความว่าท่านเป็นคนของเผ่าเจ้าสมุทรน่ะสิ!”

ในกลุ่มพันธมิตรของผู้ฝึกฝนระดับสูง มีคนเคยเห็นต่งไทเฮามาก่อน พอเห็นว่านางก็รู้วิชา จึงตะคอกออกมาด้วยความโมโห

แต่พอเขากวาดสายตามององครักษ์หลายร้อยคนเหล่านั้นแล้ว กลับรู้สึกประหลาดใจมาก

องครักษ์เหล่านี้มีกลิ่นไอพลังไม่เบา อย่างน้อยก็เป็นศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลางขึ้นไป บางคนก็กำริบเสิบสานถึงขั้นปล่อยพลังออกมาข่ม ทำให้ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้นี้ก็รู้สึกอกสั่นขวัญแขวนเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นประมุขเริ่นแห่งหอเมฆวายุ มันสำคัญด้วยหรือที่ข้าจะมีสถานะอะไรในตอนนี้ ที่ข้าปรากฏตัวออกมา เพียงแค่อยากบอกพวกเจ้าว่า อย่าคิดฝันที่จะทำลายชั้นจำกัดนี้ได้ ข้าได้เชื่อมชั้นจำกัดนี้ไว้กับค่ายกลขนาดใหญ่ทั้งหลัง เพียงแค่ข้าใช้งานมัน ต่อให้พวกเจ้าจะใช้พลังหมดไปอีกสิบกว่าเท่า ก็ไม่สามารถทำอะไรมันได้ ถ้าพวกเจ้ารู้ว่าควรจะทำตัวอย่างไรล่ะก็ เพียงแค่ยอมถอยออกไปแต่โดยดี อีกสองเดือนให้หลังพลังของค่ายกลก็จะหมดไปเอง และพวกเจ้าเองก็จะปลอดภัยด้วย คิดหรือว่าข้าเตรียมตัวมาหลายปีเช่นนี้ จะไม่มีวิธีจัดการพวกเจ้า?”

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด