ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 215 โจวเทียนเหอ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 215 โจวเทียนเหอ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 215 โจวเทียนเหอ

ไม้เท้าในมือผู้อาวุโสถูกยกขึ้นในทันที จากนั้นเขาก็ขีดเขียนอะไรบางอย่างไปยังเมฆอัคคีอย่างรวดเร็ว

ผ่านไปไม่นาน อักขระขนาดใหญ่แต่ละตัวลอยออกมาจากเมฆอัคคี หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็หายไปบนฟ้าอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา ค่ายกลที่ถูกวางรอบเมืองเสวียนจิงก็ถูกกระตุ้นพร้อมกัน ค่ายกลแสงสีแดงปรากฏตัวเหนือม่านแสงสีฟ้าเป็นจำนวนมาก และรวมตัวกันเป็นค่ายกลขนาดใหญ่พิเศษ

ค่ายกลนี้เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ และเกาะตัวออกมาเป็นกลุ่มเมฆอัคคีจำนวนมาก มันปกคลุมไปทั่วฟ้าเหนือเมืองเสวียนจิง และพอส่องสะท้อนกับม่านแสงสีฟ้าตรงด้านล่าง ก็ปรากฏเป็นภาพสวยงามน่าหลงใหล

พอคนธรรมดากับบรรดาผู้ฝึกฝนอิสระในเสวียนจิงเห็นเช่นนี้ ต่างก็ตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

ทันใดนั้นก็มีเสียงฟ้าแลบฟ้าผ่าดังขึ้น สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งปรากฏตัวท่ามเมฆอัคคี และบิดเบี้ยวไปมาอย่างบ้าคลั่ง พริบตาเดียวก็กลายเป็นอสรพิษอัสนียักษ์ยาวร้อยกว่าจั้ง ดวงตาทั้งสองเยือกเย็นอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ แสงสายฟ้าสีเงินปกคลุมไปทั่วตัว มันเพียงแค่อ้าปากไปทางด้านล่าง สายฟ้าเส้นหนึ่งก็ผ่าลงไปทันที

แสงสายฟ้าจำนวนมากกระเด็นไปทั่วทิศ

ม่านแสงสีฟ้าสั่นไหวในทันที พื้นผิวกระเพื่อมเป็นวงกลมจนเกิดเป็นระลอกคลื่นสีฟ้า

และในขณะเดียวกัน เมฆอัคคีกลางอากาศก็กลิ้งมารวมตัวกันอย่างรวดเร็ว อักขระจำนวนมากทะลักออกมาจากในนั้น จากนั้นก็พุ่งยิงไปยังด้านล่างราวกับสายฝน

อักขระแต่ละตัวที่ตกลงบนม่านแสงสีฟ้านี้ไร้ซึ่งสุ้มเสียง แต่มันก็ทำให้พลังของค่ายกลลดลงไปอย่างมาก!

ขณะนี้ อสรพิษอัสนีบนอากาศกลับสั่นหัวกระดิกหางพุ่งลงมาจากที่สูง และใช้หัวพุ่งชนเข้าใส่ม่านแสงอย่างรุนแรง

บังเกิดเสียงสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วปฐพี!

เสวียนจิงทั้งเมืองสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที จนกระทั่งบ้านเรือนที่สร้างไม่ค่อยแข็งแรง ต่างก็พากันพังทลายลงมา ไม่รู้ว่ามันทับคนธรรมดาไปมากมายเท่าไหร่

ทั่วทั้งเสวียนจิงวุ่นวายขึ้นมาทันที ผู้ฝึกฝนจำนวนมากพุ่งขึ้นไปบนอากาศ และจ้องมองแสงสีน้ำเงินกับแสงสีแดงที่ผสมปนเปกันด้วยสีหน้าประหลาดใจ

ขณะเดียวกัน ต่งไทเฮาที่กำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับแห่งหนึ่งของพระราชวัง ก็อ้าปากกระอักโลหิตออกมาในฉับพลัน และร้องออกมาด้วยความตกใจระคนโมโห

“เป็นไปไม่ได้ อาจารย์จิตวิญญาณกำลังโจมตีค่ายกลอยู่ ทั้งยังมีผู้เชี่ยวชาญค่ายกลวางแผนโจมตีจุดอ่อนของค่ายกลโดยเฉพาะ ไม่ได้การแล้ว ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็จะประคองค่ายกลทั้งหลังไว้ได้ไม่นาน จำเป็นต้องละทิ้งชั้นจำกัดนอกเมืองเสวียนจิงไปก่อน”

พอกล่าวจบต่งไทเฮาก็หยิบแผ่นค่ายกลตรงหน้าขึ้นมาทันที จากนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตใส่มัน และปล่อยพลังใส่มันอยู่ไม่หยุด

ขณะเดียวกัน ม่านแสงสีฟ้าที่ปกคลุมเสวียนจิงก็ถูกอสรพิษอัสนีพุ่งชนสองสามครั้ง จากนั้นมันก็เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งก่อนที่จะสลายกลายเป็นจุดๆ และหายไป

แต่ม่านแสงที่ปกคลุมพระราชวังอยู่กลับดูหนาขึ้นมาสี่ห้าเท่า ขณะเดียวกันอักขระหลากสีก็ทะลักออหมาจากม่านแสงอย่างแปลกประหลาด และปกคลุมไปทั่วทุกพื้นที่ของม่านแสง

ชั้นจำกัดนอกพระราชวังยิ่งดูแปลกประหลาดขึ้นมา

พริบตาที่ม่านแสงนอกเสวียนจิงหายไปนั้น ผู้อาวุโสที่แสดงวิชาอยู่บนแท่นหินกลับมีสีหน้าตกตะลึงเล็กน้อย จากนั้นก็หัวเราะก่อนกล่าวกับตนเอง

“คิดไม่ถึงว่าคนเผ่าเจ้าสมุทรที่ควบคุมค่ายกลนี้จะเป็นคนเด็ดขาดมาก รู้ว่าข้าหาจุดอ่อนของค่ายกลนี้พบ และใช้พลังของชั้นจำกัดธาตุตรงกันข้ามควบคุมไว้ได้ คนผู้นั้นก็ละทิ้งชั้นจำกัดด้านนอกไป และนำพลังทั้งหมดไปป้องกันชั้นจำกัดที่อยู่ด้านใน”

“ความหมายของศิษย์น้องคือ ค่ายกลนี้ยังไม่ถูกทำลายโดยสมบูรณ์ และคนเผ่าเจ้าสมุทรผู้นั้นรีบชิงทิ้งชั้นจำกัดด้านนอกไปก่อน ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ จะทำลายชั้นจำกัดด้านในได้ยากขึ้นใช่หรือไม่?” ชายแซ่เหลยเองก็โบกมือไปบนอากาศ อสรพิษอัสนีตัวนั้นเคลื่อนไหวทีเดียวก็หล่นลงมาบนมือของเขา และกลายเป็นดาบสั้นสีเงิน ขณะเดียวกันเขาก็ขมวดคิ้วถามออกไป

“อันนี้ข้าก็ไม่แน่ใจมากนัก ข้าต้องเห็นชั้นจำกัดด้านในกับตาตัวเองถึงจะตัดสินได้” ผู้อาวุโสกล่าว

“ถ้าเช่นนั้น พวกเราก็เข้าไปก่อนเถอะ! ใช่สิ! ศิษย์น้องเว่ย เจ้าแจ้งข่าวศิษย์หลานไป๋ให้มาหาพวกเราสักหน่อย! มีเรื่องบางอย่างที่ต้องสอบถามจากตัวเขาเล็กน้อย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยนึกเรื่องบางอย่างขึ้นมาได้จึงกล่าวออกไป

“ไม่มีปัญหา ข้าจะส่งข่าวให้ศิษย์หลานไป๋เดี๋ยวนี้” ชายผิวดำได้ยินก็กล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

จากนั้นก็หยิบแผ่นค่ายกลกลมๆ ออกมาจากตัว หลังจากที่ใช้มือข้างหนึ่งวาดอะไรบางอย่างลงไปบนนั้นแล้ว ก็เก็บมันเข้าไปอย่างไม่รู้ไม่ชี้

ขณะเดียวกัน หลิ่วหมิงที่กำลังนั่งขัดสมาธิหลับตาอยู่ในห้องลับ พลันได้ยินเสียงดังหวึ่งๆ

เขาลืมตาทั้งสองขึ้นมาทันที พอสะบัดแขนเสื้อออกไป แผ่นค่ายกลก็ปรากฏอยู่บนมือ มันค่อยๆ สั่นไหวอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันก็มีอักขระสีเงินปรากฏออกมาบนพื้นผิวของมัน

หลิ่วหมิงมองไปไม่กี่ที ก็แสดงสีหน้าดีใจออกมา จากนั้นก็เก็บแผ่นค่ายกลพร้อมกับลุกขึ้นผลักประตูแล้วเดินออกไปจากห้องลับ

แต่พอเขาเดินเข้ามาในห้องโถง ก็เห็นหูชุนเหนียงเดินออกมาจากห้องนอนด้วยความตกใจระคนดีใจ และกำลังเดินเข้ามาหาเขา

“ศิษย์น้องไป๋ ผู้อาวุโสนิกายจันทราสวรรค์มาถึงเสวียนจิงแล้ว ข้าเตรียมจะไปรับพวกเขา” พอนางเห็นหลิ่วหมิงก็กล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล

“ช่างบังเอิญอะไรเช่นนี้ ข้าเองก็เพิ่งได้รับข่าวว่ากำลังสนับสนุนของนิกายศาจก็มาถึงแล้ว ในเมื่อพวกเราสามารถรับข่าวได้ แสดงว่าชั้นจำกัดของเผ่าเจ้าสมุทรถูกทำลายไปแล้ว” หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่พอคิดใคร่ครวญดูแล้วก็พอเข้าใจขึ้นมาบ้าง

“คงเป็นเช่นนี้ ถ้าอย่างนั้นพวกเราออกไปพร้อมกันเถอะ!” หูชุนเหนียงได้ยินก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย และนางก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม

เวลาต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงกำชับเฉียนหรูผิงไปสองสามประโยคแล้ว เขากับหูชุนเหนียงก็ออกไปจากถ้ำที่พัก โดยคนหนึ่งสวมหมวกคลุมสีดำ อีกคนใช้ผ้าบางไปปิดใบหน้าที่แท้จริงไว้

ด้านหน้าพระราชวังที่มีม่านแสงแวววาวปกคลุมอยู่ เรือกระดูกสีขาวโพลนที่มีไอสีดำพวยพุ่งเป็นเกลียว กับรถเหาะทองเหลืองคันหนึ่งกำลังจ้องมองกันอยู่ไกลๆ

ชายฉกรรจ์แซ่เหลย และคนอีกสามคนยืนเคียงไหล่อยู่ด้านหน้าของเรือกระดูก

และบนรถทองเหลืองที่อยู่ตรงข้าม มีหญิงสองคนกับชายหนึ่งคนยืนอยู่ หญิงทั้งสองนั้น คนหนึ่งมีอายุราวๆ ยี่สิบเจ็ดถึงยี่สิบแปดปี อีกคนอายุราวๆ สามสิบกว่าปี ใบหน้าสวยสดงดงาม ทั้งสองต่างก็สะพายกระบี่ยาวสีเหลืองกับสีดำอยู่ตรงหลัง และชายผู้นั้นดูเหมือนจะมีอายุสี่สิบกว่าปี เขาสวมชุดคลุมขาวทั้งตัว รัดเข็มขัดหยกตรงเอว ใบหน้าเต็มไปด้วยรอยยิ้ม ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสบายใจอย่างบอกไม่ถูก

“โจวเทียนเหอ เจ้ามาได้ทันเวลาพอดี พวกข้าเพิ่งจะทุ่มเทพลังทำลายค่ายกลของเผ่าเจ้าสมุทรไปได้ นิกายจันทราสวรรค์ของพวกเจ้าก็ตามมาถึงพอดี” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกล่าวกับฝ่ายตรงข้ามอย่างไม่สะทกสะท้าน

ในขณะที่พวกเขาทั้งสี่มาถึงบริเวณพระราชวังท่ามกลางสายตาเคารพและยำเกรงของคนในเสวียนจิงจำนวนมาก และกำลังคิดจะโหมพลังทำลายชั้นจำกัดนั้น อาจารย์จิตวิญญาณของนิกายจันทราสวรรค์ทั้งสามคนก็นั่งรถเหาะพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว

และคนที่นำมาก็เป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่มีชื่อเสียงที่สุดของนิกายจันทราสวรรค์อย่าง ‘โจวเทียนเหอ’

สิ่งนี้ย่อมทำให้ชายฉกรรจ์แซ่เหลยและคนอื่นๆ ระมัดระวังเป็นธรรมดา

“ข้าเองก็คิดไม่ถึงว่าสหายเหลยจะมาถึงเร็วเพียงนี้ เดิมทีข้าคิดว่าข้ากับศิษย์น้องทั้งสองจะมาถึงก่อนพวกเจ้าก้าวหนึ่ง เอาอย่างนี้เถอะ! ในเมื่อพี่เหลยและคนอื่นๆ ออกแรงทำลายชั้นจำกัดข้างนอกไปแล้ว ชั้นจำกัดตรงหน้านี้ก็มอบให้นิกายจันทราสวรรค์ของเราจัดการดีไหม? ข้าได้พกอัสนีเก้าดารามาด้วยพอดี คิดว่ามันคงรับมือกับชั้นจำกัดนี้ได้อย่างเหลือเฟือ” ชายชุดคลุมสีขาวของนิกายจันทราสวรรค์กลับอมยิ้มแล้วกล่าวออกมา

“อัสนีเก้าดารา!” พอได้ยินชื่อนี้ ต่อให้เป็นคนอย่างชายฉกรรจ์แซ่เหลย ก็สูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นใจสะท้านอย่างอดไม่ได้

หลินไฉอวี่ และคนอื่นๆ ยิ่งรู้สึกตกใจมากกว่า

“ได้! ข้าเองก็เคยได้ยินชื่อเสียงของอัสนีนี้มานาน ว่ากันว่าสามารถต้านทานพลังการโจมตีทั้งหมดของผู้ฝึกฝนระดับผลึกได้ ถ้าอย่างนั้นข้าจะเช็ดหน้าเช็ดตารอดูแล้วกัน” สีหน้าชายฉกรรจ์แซ่เหลยเปลี่ยนไปมาสองสามที จากนั้นก็พยักหน้าช้าๆ

“เฮ่อๆ! ถ้าอย่างนั้นข้าก็ไม่เกรงใจแล้ว” โจวเทียนเหอหัวเราะแล้วหยิบกล่องหยกสีดำจางๆ ออกจากแขนเสื้อทันที บนนั้นมียันต์สีทองติดอยู่สองสามผืน

และขณะที่เขากำลังคิดจะเปิดหล่องหยกนั้น ท้องฟ้าที่อยู่ไกลๆ ก็เกิดการผันผวนขึ้นมา จากนั้นเมฆสีดำขาวสองก้อนก็เหาะเข้ามา

“ดูท่าศิษย์ตรวจตราเสวียนของนิกายข้ากับเจ้าจะมาแล้ว ไม่สู้ฟังพวกเขาพูดอะไรก่อน แล้วค่อยลงมือดีไหม?”

ชายชุดคลุมสีขาวเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ค่อยๆ หยุดการกระทำลง และกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ทำตามที่ท่านบอกเลย ข้าไม่มีอะไรคัดค้าน” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยกวาดสายตามองเงาร่างบนก้อนเมฆแล้วกล่าวออกมา

คนที่มาทั้งสองก็คือหลิ่วหมิงกับหูชุนเหนียงนั่นเอง

ทันทีที่หลิ่วหมิงปรากฏตัวบนเรือกระดูก เขาก็โค้งคารวะชายฉกรรจ์แซ่เหลย และคนอื่นๆ ก่อนกล่าวออกมา

“ศิษย์ไป๋ชงเทียน คารวะอาจารย์อาทั้งสี่!”

“ศิษย์หลานไป๋ ครั้งนี้นับว่าเจ้าสร้างผลงานชิ้นใหญ่ให้กับนิกาย แต่ข่าวที่เจ้าส่งมามีบางจุดที่ค่อนข้างคลุมเครือ ตอนนี้เจ้าเล่าเรื่องที่ค้นพบเผ่าเจ้าสมุทรให้พวกข้าทั้งสี่ฟังอย่างละเอียดอีกรอบ ถ้าหากมันเป็นจริงล่ะก็ ข้าจะเป็นตัวแทนของนิกายมอบรางวัลให้เจ้าอย่างงาม” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วกล่าวออกมาด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ทราบ! หลังจากที่ศิษย์มาถึงเสวียนจิง ก็เข้าไปเป็นแขกจิตวิญญาณของเรือนร้อยวิญญาณ หลังจากนั้นไม่นาน……” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็เริ่มเล่าออกมาอย่างไม่ลังเล

“สุดท้ายหลังจากที่ศิษย์ฆ่าเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองที่คืนร่างแล้ว จึงได้เก็บหางของไว้อันหนึ่ง ตอนนี้ข้ากับศิษย์พี่หูแห่งนิกายจันทราสวรรค์ถึงยืนยันได้ว่า พระราชวังถูกเผ่าเจ้าสมุทรครอบครองแล้ว จากนั้นก็ส่งข่าวกลับนิกายอย่างเร็วที่สุด จนถึงตอนนี้ศิษย์ยังเก็บเกล็ดสีเขียวกับหางมัจฉานั้นไว้กับตัวมาโดยตลอด เชิญอาจารย์อาทุกท่านดูได้!”

พอหลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็หยิบยันต์เก็บของแบบง่ายๆ ออกมาผืนหนึ่ง เพียงแค่ขยี้มันตามแรงลม เกล็ดสีเขียว และหางปลาสีเขียวที่แห้งเหี่ยวและปกคลุมไปด้วยเกล็ดก็หล่นลงมาท่ามกลางแสงสีขาวที่เปล่งประกาย

ชายฉกรรจ์แซ่เหลยเขม้นตาขึ้นมา พอพลิกมือข้างหนึ่งไปในอากาศ มันก็ดูดของทั้งสองอย่างเข้ามาในมือ หลังจากที่ตรวจสอบดูอย่างละเอียด ก็ส่งของทั้งสองอย่างนี้ให้กับหลินไฉอวี่และผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสา โดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

“ไม่ผิด! เป็นหางของเผ่าเจ้าสมุทรอย่างแน่นอน และถูกตัดออกมาได้เดือนกว่าๆ แล้ว”

“แม้ว่ากลิ่นไอบนเกล็ดจะอ่อนมาก แต่ยังหลงเหลือกลิ่นไอของเผ่าเจ้าสมุทรอยู่”

ครู่ต่อมา หลินไฉอวี่กับผู้อาวุโสชุดคลุมลายนกกระสา ต่างก็พยักหน้ายอมรับออกมา

“ดีมาก เอาป้ายประจำตัวของเจ้ามาเถอะ เพื่อเป็นรางวัลของการสร้างผลงานในครั้งนี้ ทางนิกายจะมอบแต้มคุณูปการให้เจ้าห้าพันแต้ม ขณะเดียวกันก็จะมอบยันต์คุ้มครองชีวิตให้หนึ่งผืนด้วย” ชายฉกรรจ์แซ่เหลยหยิบกระบองสั้นสีทองออกมาจากแขนเสื้อ แล้วกล่าวด้วยสีหน้าปกติ

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด