ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 219 การต่อสู้หมู่ (2)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 219 การต่อสู้หมู่ (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 219 การต่อสู้หมู่ (2)

เงาร่างฉลามขาวหมุนวนอยู่ไม่หยุด มันรวดเร็วกว่าฉลามขาวจริงๆ หลายเท่านัก หลังจากที่มันพุ่งปะทะเข้าไปหนึ่งครั้ง แสงสีดำก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

ภายใต้ความหวาดผวา เฝิงหลงกระตุ้นพลังเวทย์ภายในอย่างบ้าคลั่ง นิ้วทั้งสิบแตะไปยังอากาศอยู่ไม่หยุด ทำให้แท่งกระดูกดำทั้งสามขยายใหญ่ขึ้นมาหลายเท่า จึงสามารถต้านทานการโจมตีของฉลามขาวไว้ได้

การต่อสู้แบบเผชิญหน้าของทั้งสี่คู่ ไม่ว่าจะเป็นเย่เทียนเหมยหรือหงซานต่างก็ไม่ได้เหลือบดูเลยแม้แต่น้อย แต่กลับจ้องมองไปยังเงาร่างของหญิงสาวลักษณะห้าวหาญที่กำลังเดินไปยังเงาร่างสีเลือดนั้น

เย่เทียนเหมยไม่ต้องพูดถึง นางย่อมรู้ถึงพลังแฝงอันยอดเยี่ยมของศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายผู้นี้ดี นางจึงค่อนข้างมั่นใจพลังของศิษย์ผู้นี้มาก

ด้วยพลังจิตของผู้ฝึกฝนระดับผลึกอย่างชายร่างผอมแห้ง แวบแรกที่เขามองเห็นจางซิ่วเหนียง ย่อมสัมผัสได้ถึงกลิ่นไอกระบี่อันร้ายกาจได้ มันทำให้เขารู้สึกตกใจมาก จนไม่อาจละสายตาไปดูคนอื่นๆ ได้

ทั้งสองต่างก็รู้ดีว่า จุดสำคัญของการประลองด้านล่าง ชัยชนะส่วนมากขึ้นอยู่กับหญิงสาวนางนี้

ขณะนี้จางซิ่วเหนียงถือกระบี่เดินอยู่ห่างจากเงาร่างสีเลือดไม่ถึงเจ็ดแปดจั้ง และได้หยุดฝีเท้าลงในทันที ดาบยาวหิมะขาวในมือส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมาในพริบตา จากนั้นไอเย็นสะท้านก็รพุ่งตลบอบอวลออกจากตัวกระบี่

พื้นหินสีดำตรงหน้า เริ่มมีน้ำค้างแข็งมาเกาะอย่างเงียบๆ

หงซานมองเห็นจุดนี้ สีหน้าเขาก็ดูไม่ได้ขึ้นมาในทันที ทันใดนั้นเขาก็แหงนหน้าไปกล่าวกับเย่เทียนเหมย

“คิดไม่ถึงว่าจะเป็นอาวุธจิตวิญญาณประเภทน้ำแข็ง ที่ใช้ควบคุมความสามารถของเผ่าเจ้าสมุทรเราโดยเฉพาะ ดูจากกลิ่นไอกระบี่ที่อยู่ในร่างของนาง คงจะต้องเป็นศิษย์แกนนำที่ทางนิกายบ่มเพาะมาอย่างดีแน่นอน ดูท่าสหายเย่จะวางแผนไว้เป็นอย่างดีตั้งแต่แรกแล้ว มิเช่นนั้นคงไม่นำศิษย์คนสำคัญมาปรากฏตัว ณ สถานที่แห่งนี้”

“ไม่อาจกล่าวได้ว่าวางแผนไว้แต่แรก! ข้าพาเด็กคนนี้มา เพียงแค่อยากให้เขามาหาประสบการณ์ในโลกภายนอกเท่านั้น กลับคิดไม่ถึงว่าต้องมาพบกับสหายและคนอื่นๆ พอดี ว่าแต่ทางด้านสหายเริ่มฝึกฝนพลังศาจตั้งแต่เมื่อไหร่กัน กลิ่นไอปีศาจอันรุนแรงนี้ ไม่ทราบว่าเป็นพลังปีศาจแบบใด?” เย่เทียนเหมยกลับจ้องมองเงาร่างในแสงสีเลือด และกล่าวด้วยสีหน้าแคลงใจ

“พลังแบบใดนั้น ใยต้องให้ข้าต้องพูดมากด้วยเล่า อีกประเดี๋ยวสหายก็จะรู้เอง” หงซานกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

เย่เทียนเหมยเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็หรี่ตาทั้งสองลงและไม่กล่าวอะไรกับฝ่ายตรงข้ามอีก

ตอนนี้จางซิ่วเหนียงได้สะบัดข้อมือจนเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นขึ้น แสงกระบี่อันครั่นคร้ามสิบกว่าลำโผล่ออกมา และฟันพุ่งไปยังเงาร่างสีเลือด

พอเงาร่างในแสงสีเลือดเผชิญกับการโจมตีอันรุนแรงนี้ กลับแผดเสียงแปลกประหลาดออกมา จากนั้นก็พุ่งมายังแสงกระบี่เหล่านี้

เขาเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก เหมือนว่าเคลื่อนไหวแค่ทีเดียวก็มาได้ครึ่งทางแล้ว

การกระทำอันแปลกประหลาดของฝ่ายตรงข้าม ต่อให้เป็นศิษย์ร่างสื่อสารจิตวิญญาณกระบี่อย่างจางซิ่วเหนียว ก็รู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้ แต่ดีที่นางไม่ใช่คนธรรมดา จึงได้ขยับเท้าในทันที จากนั้นก็ร่นถอยออกไปหลายก้าวอย่างเงียบๆ ขณะเดียวกันกระบี่ยาวก็วาดออกไปด้านหน้า

แสงกระบี่สิบกว่าลำหดตัวกลายเป็นตาข่ายร่วงลงมาในทันที และปกคลุมเราร่างสีเลือดที่พุ่งเข้ามาได้ทันท่วงที

แสงเย็นสะท้านเปล่งประกายบนวตาข่ายกระบี่ฟันเงาร่างสีเลือดออกเป็นสิบกว่าชิ้น และเผยให้เห็นใบหน้าของเงาร่างที่อยู่ในนั้น เขาดูคล้ายชายอายุยี่สิบกว่าปีทั่วไป แม้ว่าร่างกายส่วนล่างจะยังไม่ได้กลายเป็นหางมัจฉา แต่ลำตัวส่วนบนกลับเต็มไปด้วยเกล็ดสีเขียว ดวงตาทั้งสองแดงก่ำขึ้นมาราวกับเลือด

ศัตรูตัวฉกาจที่ดูเหมือนจะรับมือได้ยาก แต่กลับถูกฆ่าโดยง่ายเช่นนี้ ทำให้จางซิ่วเหนียงรู้สึกอึ้งไปเลยทีเดียว

แต่ขณะนั้นเองก็มีเสียงดัง “ฟู่!” มาจากเศษซากศพ โลหิตกลุ่มหนึ่งดีดตัวออกมา จากนั้นในก็พร่ามัวกลายเป็นกลุ่มโลหิตพุ่งยิงมายังหลิ่วหมิง

จางซิ่วเหนียงรู้สึกตกตะลึง แต่ก็รีบควงกระบี่ยาวหิมะขาวไปด้านหน้า จากนั้นมันก็กลายเป็นม่านกระบี่อันแวววาวต้านทานโลหิตเหล่านี้ไว้

แต่ขณะนั้นเอง กลุ่มโลหิตที่พุ่งเข้ามาพลันสั่นไหวก่อนที่จะแตกกระจายออกไป จากนั้นก็กลายเป็นอักขระสีเลือดจำนวนมากลอยวนไปมาอย่างบ้าคลั่ง

พอจางซิ่วเหนียงรู้ว่าเกิดอะไรขึ้น อักขระเหล่านี้ก็ก่อตัวเป็นค่ายกลสีเลือดขนาดใหญ่หลายจั้งอย่างเงียบๆ และกักขังนางไว้ในนั้น

นางรู้สึกเย็นยะเยือกขึ้นมา จากนั้นก็ตวัดกระบี่เพื่อผสานร่างกับกระบี่แล้วพุ่งออกไปจากค่ายกล

แต่มันก็สายไปเสียแล้ว

พริบตาที่อักขระก่อตัว มันเปล่งประกายม่านแสงสีเบือดเป็นชั้นๆ ออกมาพร้อมกับส่งเสียงดังหวึ่งๆ และกักขังนางไว้ในนั้น

ขณะเดียวกันจางซิ่วเหนียงก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง พลังไร้รูปของชั้นจำกัดส่งผลกระทบต่อร่างของนางในทันที ทำให้การเคลื่อนไหวของนางช้าลงสิบกว่าเท่า จนดูเหมือนกับว่าจะกระดิกนิ้วก็ต้องใช้พลังเป็นอย่างมาก

สีหน้าหญิงสาวเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก แต่ก็รีบกระตุ้นพลังเวทย์ในร่างทันที กระบี่ยาวในมือขยายใหญ่ครึ่งจั้ง และหันไปยังม่านแสงสีเลือดอย่างไม่ลังเล

“ตู๊ม!”

ม่านแสงสีเลือดสั่นไหวไปมาไม่กี่ที ราวกับว่ามันไม่ได้ผลกระทบใดๆ จากการโจมตีนี้เลยแม้แต่น้อย

“นี่คือค่ายกลอักขระโลหิต! เมื่อครู่เป็นแค่ศพปลอมเท่านั้น ไม่ใช่คนเผ่าเจ้าสมุทรโดยทั่วไป สหายหง เจ้าควรจะอธิบายเรื่องนี้กับข้าหน่อยไหม?” พอเย่เทียนเหมยเห็นฉากนี้ก็หดม่านตาลง และพลันกล่างกับหงซานด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“เมื่อครู่หลานเซิ่งจีบอกกับสหายว่าต้องการจำนวนคนต่อสู้ห้าคน แต่ไม่ได้บอกว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะต้องใช้คนในเผ่าทั้งห้าคน การต่อสู้ในครั้งนี้พวกเราส่งไปแค่สี่คน ศพปลอมนี้เป็นแค่สิ่งควบคุมโดยหนึ่งในสี่คนนั้นเท่านั้น อย่างนี้ไม่ทราบว่าทำผิดสัญญาก่อนหน้าตรงไหนหรือ?” พอหงซานเห็นจางซิ่วเหนียงถูกค่ายกลอักขระโลหิตขังไว้ ก็รู้สึกดีใจมาก แต่ก็ไม่แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาแต่อย่างใด

พอเย่เทียนเหมยได้ยินคำตอบเช่นนี้ คิ้วทั้งคู่ก็เหยียดตั้งขึ้นมา แต่พอกวาดสายตามองค่ายกลอักขระโลหิตด้านล่างแล้ว ไม่รู้ว่านางคิดอะไรขึ้นมาได้ ถึงได้ดูสงบลงในพริบตา

“ถ้าข้าดูไม่ผิดล่ะก็ ศพปลอมนี้คงยังไม่ได้ปรับแต่งจนสำเร็จ มิเช่นนั้นค่ายกลอักขระโลหิตที่สร้างขึ้นมา ต่อให้เป็นอาจารย์จิตวิญญาณทั่วไปก็ไม่อาจหลุดออกมาได้ ตอนนี้หรือของที่ยังปรับแต่งไม่สำเร็จนี้ เกรงว่าแม้แต่หนึ่งในสามของพลังที่แท้จริงก็ไม่สามารถสำแดงออกมาได้ สหายคิดว่าค่ายกลระดับนี้จะสามารถขังผู้น้อยคนนี้ได้หรือ?”

“จริงหรือ ข้ากลับคิดว่าค่ายกลระดับนี้ มีพลังขังศิษย์ของท่านได้อย่างเหลือเฟือ นอกเสียจากว่านางจะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้สำเร็จ มิเช่นนั้นล่ะก็……” ชายร่างผอมแห้งกลับไม่มีท่าทีว่าจะเชื่อเลยแม้แต่น้อย แต่พอพูดออกไปได้แค่ครึ่งเดียว ค่ายกลอักขระโลหิตด้านล่างก็ส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นออกมา

จางซิ่วเหนียงร่ายคาถาออกมา ทันใดนั้นนางก็ลุกขึ้น และกลายเป็นสายรุ้งหิมะขาวฟันเข้าใส่ม่านแสงสีเลือด จนทำให้พื้ผิวของมันค่อยๆ แตกร้าวออกมา

“วิชาขี่กระบี่!” พอชายร่างผอมเห็นฉากนี้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปในทันที

แต่พอเขาเห็นสายรุ้งหิมะขาวหมุนวนหนึ่งรอบ และร่อนลงพื้นก่อนที่จะกลายร่างเป็นจางซิ่วเหนียง และนางก็ยังไม่ได้ทำการโจมตีต่อในทันที แต่กลับนั่งขัดสมาธิกำหนดลมหายใจอยู่ สิ่งนี้ทำให้เขาหัวเราะออกมาอีกครั้ง

“คิดไม่ถึงว่าศิษย์ของนิกายท่านผู้นี้ จะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้สำเร็จตั้งแต่ยังเป็นศิษย์จิตวิญญาณ ข้าช่างนับถือพรสวรรค์ของนางจริงๆ แต่ด้วยพลังเวทย์ของนางในเวลานี้ คงไม่อาจทำลายค่ายกลได้โดยง่าย และถ้ายิดเวลานายเข้า ผลการประลองอื่นๆ คงรู้ผลกันแล้ว”

พอชายร่างผอมแห้งกล่าวจบ ก็กวาดสายตามองไปยังคู่ต่อสู้คนอื่นๆ

เย่เทียนเหมยไม่ได้พูดอะไรต่อ และกวาดสายตามองไปยังคนอื่นๆ เช่นกัน

ชั่วเวลาที่ผ่านไปไม่นานนี้ ก็พอจะเห็นผลการต่อสู้อย่างเด่นชัดแล้ว

ในเวลานี้ ไม่ว่าจะเป็นหูชุนเหนียงหรือเฝิงหลงที่ต่อสู้กับต่งไทเฮาและเสวียนจื้อ ล้วนตกเป็นเบี้ยล่างทั้งคู่

ไม่รู้ว่าแผ่นโล่ในมือของต่งไทเฮาถูกเก็บไปตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่คทาหยกกลับโบกสะบัดด้วยสองมือของนาง จนแสงบุปผาสีขาวที่พุ่งออกมาขยายใหญ่เท่าปากชาม และเริ่มเปลี่ยนจากอาวุธคุ้มกันเป็นอาวุธโจมตี พายุบ้าระห่ำพุ่งไปยังด้านล่างของหูชุนเหนียงอยู่ไม่หยุด

แม้ว่าหูชุนเหนียงจะกระตุ้นกระบี่สั้นทั้งสอง ให้กลายเป็นแสงเย็นสะท้านบาดตาจนเหงื่อเปียกโชก และวางม่านกระบี่เป็นชั้นๆ ไว้บริเวณนั้น แต่พอแสงบุปผาสีขาวเหล่านั้นพุ่งชนเข้ามา ร่างของนางก็สั่นสะเทือนอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าบุปผาสีขาวแต่ละดอกมีน้ำหนักเป็นอย่างมาก ทำให้นางรับมือได้อย่างยากเย็น

แน่นอนว่าขณะนี้เฝิงหลงไม่ได้เผชิญแค่เงาร่างฉลามขาวแล้ว แต่กลับมีกุ้งยักษ์สีฟ้าขนาดยาวจั้งกว่าๆ เพิ่มขึ้นมาตัวหนึ่ง

ภายใต้การโจมตีอย่างบ้าคลั่งของอสูรทั้งสอง เขาได้แต่ป้องกันตัวด้วยสีหน้าซีดเผือด

ส่วนตู้ไห่จับดาบด้วยสองมือ และฟันปราณดาบออกไปเป็นสายๆ มันฟันม่านแสงสีเขียวอยู่ไม่หยุด ดูเหมือนจะเป็นฝ่ายได้เปรียบกว่า แต่สีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก

หญิงรับใช้วัยกลางคน เพียงแค่ใช้มือข้างหนึ่งยกกระดองเต่าขึ้นมา อีกด้านหนึ่งก็ทำท่ามือร่ายคาถาอะไรบางอย่างไปด้วยไม่หยุด โดยยังไม่เริ่มทำการโจมตีใดๆ เลย

ถ้ามีสังเกตอย่างละเอียดล่ะก็ จะค้นพบว่าในขณะที่หญิงรับใช้วัยกลางคนร่ายคาถาไปด้วยนั้น รอยร้าวของม่านแสงที่กักขังจางซิ่วเหนียงอยู่ ค่อยๆ ผสานเข้าหากัน

คิดไม่ถึงว่า ‘ศพปลอม’ ที่กล่าวถึงในก่อนหน้านั้น จะถูกควบคุมโดยหญิงรับใช้วัยกลางคนผู้นี้

มิน่าล่ะ! นอกจากเขาจะปล่อยม่านแสงออกมาป้องกันการโจมตีของตู้ไห่แล้ว ก็ไม่ได้ทำการโจมตีใดๆ ออกไปเลย

ส่วนคู่ต่อสู้สุดท้ายกลับดูแปลกออกไป

เมื่อชายฉกรรจ์ร่างยักษ์ทานโอสถโลหิตเผาไหม้เข้าไป ระดับการฝึกฝนของเขาก็เพิ่มขึ้นเกือบครึ่งหนึ่ง อาวุธที่ดูหนักอย่างที่เปรียบไม่ได้ กลับดูเบาราวกับไม้จิ้มฟันเมื่ออยู่ในมือเขา สถานที่ที่กระบองยักษ์ตวัดผ่าน จะก่อให้เกิดพายุบ้าระห่ำขึ้นมา

แต่มือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิงกลับถือแค่กระบี่สั้นสีเขียวเล่มเดียว บนแขนมีโล่แสงสีเหลืองเปล่งประกายออกมา ร่างกายเบาราวกับไร้น้ำหนัก และเคลื่อนไหวไปกับแรงพายุ เงากระบองตรงหน้าดูเหมือนจะหลบหลีกได้ยาก แต่เขากลับบิดตัวราวกับขนนกจนหลบหลีกได้อย่างรวดเร็วราว

ภายในระยะเวลาสั้นๆ ก็ทำให้ชายฉกรรจ์ร่างยักษ์หงุดหงิดจนอยากกระอักเลือดออกมา เขาโบกสะบัดกระบองด้วยความฮึกเหิมมากกว่าเดิม เพื่อที่จะฟาดให้โดนหลิ่วหมิง จะได้ทุบให้เละเป็นน้ำไปเลย

พอเย่เทียนเหมยกับหงซานเห็นสถานการณ์ด้านล่าง ต่างก็มีสีหน้าที่แตกต่างกันไป

ตอนแรกที่ชายร่งผอมมองเห็นการต่อสู้ด้านล่าง เขารู้สึกดีใจมาก แต่พอสายตากวาดมองไปทางด้านหลิ่วหมิง ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา

เย่เทียนเหมยเห็นการแสดงออกของหลิ่วหมิงแล้ว กลับค่อยๆ ขมวดคิ้วแล้วร้อง “เอ๊ะ!” ออกมา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด