ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 229 ผีดิบเกราะเหล็ก

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 229 ผีดิบเกราะเหล็ก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 229 ผีดิบเกราะเหล็ก

ขาสีดำหลุดออกภายในพริบตา โลหิตสดๆ พุ่งออกมาอย่างบ้าคลั่ง!

ขณะเดียวกัน ชายรูปร่างสูงใหญ่ก็พุ่งออกไปราวกับลูกธนู ยันต์ผืนหนึ่งถูกแปะลงบนขาอย่างรวดเร็ว แสงสีเขียวเป็นจุดๆ เปล่งประกายออกมา โลหิตหยุดไหลในทันที ขณะเดียวกันบาดแผลก็สมานอย่างรวดเร็ว

ขณะนั้นเอง แมงป่องกระดูกขาวได้ตามมาติดๆ ดูเหมือนมันไม่คิดที่จะปล่อยคู่ต่อสู้ไปเลยแม้แต่น้อย

ชายรูปร่างสูงใหญ่ร่วงลงพื้นด้วยความเจ็บปวด พอได้เห็นฉากนี้ก็รู้สึกตกใจและโมโหมาก พอเขาสะบัดแขนเสื้อ กระจกทองเหลืองก่อนหน้านั้นก็โผล่ออกมาอีกครั้ง เขาเพียงโบกมันไปทางแมงป่องกระดูกขาว ทันใดนั้นเพลิงอัสนีสีเลือดกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกไป

แต่แมงป่องกระดูกขาวกลับบิดตัว ภายใต้หมอกสีม่วงที่พวยพุ่งอย่างบ้าคลั่ง จนสามารถหลบหลีกเพลิงอัสนีได้ จากนั้นหางตะขอตรงหลังได้กลายเป็นเส้นสีดำสิบกว่าเส้นก่อนที่จะพุ่งยิงออกไป แต่มันถูกชายรูปร่างสูงใหญ่ใช้เพลิงอัสนีโจมตีจนต้องถอยออก

ขณะนั้นเอง มีเสียงสะเทือนเลือนลั่นดังมาจากทางด้านหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงโยนลูกเปลวไฟยักษ์ในมือใส่ปีศาจยักษ์ที่ถูกรัดพันอยู่อย่างโหดเหี้ยม

ปีศาจตนนี้คำรามออกมาด้วยเสียงอันดัง จากนั้นก็จมหายไปในหมอกเพลิงรูปดอกเห็ด และกลายเป็นขี้เถ้าภายในพริบตา

ชายรูปร่างสูงใหญ่กำลังใช้กระจกทองเหลืองเผชิญหน้ากับแมงป่องกระดูกขาวอยู่ ภาพปีศาจบนหน้าอกเขากลายเป็นสีแดงราวกับเลือด ขณะเดียวกันมันก็พร่ามัว และมุดเข้าช่องทรวงอกของชายรูปร่างสูงใหญ่

ชายรูปร่างสูงใหญ่ร้องออกมาในทันที กระจกทองเหลืองในมือถูกโยนทิ้ง และล้มลงไป มือทั้งสองกุมศีรษะกลิ้งไปมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะเดียวก็เปล่งเสียงร้องอย่างเวทนาอยู่ไม่หยุด ราวกับว่าได้รับความเจ็บปวดที่ยากจะทนได้

แมงป่องกระดูกขาวเห็นเช่นนี้ ย่อมไม่ละทิ้งโอกาส มันกระโจนเข้าใส่ชายรูปร่างสูงใหญ่ ก้ามยักษ์ทั้งสองกับหางตะขอโจมตีราวกับพายุฝนกระหน่ำ พริบตาเดียวก็ฉีกฝ่ายตรงข้ามออกเป็นชิ้นๆ โดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้

โลหิตสีดำไหลทะลักออกมาจากซากศพ

หลิ่วหมิงเห็นเหตุการณ์เช่นนี้ ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา จากนั้นก็ร่อนลงไปยังการต่อสู้อีกฝั่งหนึ่ง

ขณะนี้ ชายร่างอ้วนใช้หัวพยัคฆ์พ่นเปลวเพลิงคุโชนต่อสู้กับหัวบินอยู่ พอเขาเห็นคู่หูของตนเองพ่ายแพ้ภายในพริบตาก็รู้สึกตกใจอย่างช่วยไม่ได้ หัวพยัคฆ์พ่นเสาเพลิงใส่หัวบินจนถอยออกไปหลายก้าว จากนั้นก็กลายเป็นเงากระโจนไปยังโลงศพสีดำ

“ขวางเขาไว้!” หลิ่วหมิงสั่ง

เงาร่างสีดำอีกกลุ่มหนึ่งพุ่งยิงเข้ามา มันปะทะกับชายร่างอ้วนเข้าอย่างจัง

มันคือแมงป่องกระดูกขาวนั่นเอง

และในช่วงระหว่างเวลานี้ หัวบินก็ส่งเสียงหัวเราะแปลกประหลาดออกมา ผมยาวเต็มศีรษะม้วนตัวออกมาอีกครั้ง

แมงป่องกระดูกขาวเองก็อ้าปากพ่นหมอกสีม่วงออกไป

พริบตานั้นเอง ชายร่างอ้วนก็ตกอยู่ในวงล้อมการโจมตีของแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบิน แม้ว่าหัวพยัคฆ์จะพ่นเปลวเพลิงออกมาอยู่ไม่หยุด มือทั้งสี่ต่างก็ถือกระบี่กระดูกโจมตีกลับอย่างไม่ลดละ แต่ก็ตกเป็นเบี้ยล่างอย่างรวดเร็ว

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงสะบัดกระบี่สั้นในมือก่อนที่ปราณกระบี่สีเขียวจะพุ่งเข้าไปร่วมโจมตี

เช่นนี้แล้ว ชายร่างอ้วนย่อมไม่สามารถต้านทานได้ พอเขาหลบหลีกไม่พ้น หัวไหล่ก็ถูกหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวเจาะทะลุไป ทันใดนั้นอาการคันแบบประหลาดๆ ก็ลุกลามมาจากปากแผล

“โปรดยั้งมือ ข้ายอมแพ้แล้ว! ถ้าไม่มีข้า เกรงว่าสหายคงไม่อาจหาสมบัติที่แท้จริงได้” ชายร่างอ้วนตะโกนออกมาในทันที

“สมบัติที่แท้จริง!” พอหลิ่วหมิงฟังถึงจุดนี้สีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ไม่ผิด! สหายคงไม่คิดว่าสมบัติของราชวงศ์ก่อนจะอยู่ในโลงศพเหล่านี้จริงๆ ใช่ไหม? ที่นี่เป็นแค่สมบัติธรรมดาเท่านั้น สมบัติที่แท้จริงจะอยู่ในที่ที่ลึกลับกว่านี้” ชายร่างอ้วนต้านทานการโจมตีของหัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวอย่างยากลำบาก ขณะเดียวกันก็ตะโกนพูดออกไป

ชั่วเวลานั้นเอง เขารู้สึกว่าหัวไหล่เกิดอาการชาอย่างถึงที่สุด แม้แต่มือทั้งสองที่อยู่ทางด้านนั้นก็ไม่อาจเคลื่อนไหวได้ เห็นได้ชัดว่าไม่สามารถต้านทานการโจมตีของฝ่ายตรงข้ามได้แล้ว ในใจเขารู้สึกหวาดผวาจนยากจะรู้ได้

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา พอเห็นว่าเขาไม่มีการเคลื่อนไหวใดๆ หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวก็หยุดการโจมตีในทันที จากนั้นก็ถอยออกไปหลายก้าว

ชายร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ถึงได้รู้สึกโล่งใจขึ้นมา เขารีบหยิบขวดใบเล็กๆ ออกมาจากอก จากนั้นก็เทโอสถออกมาเจ็ดแปดเม็ดและทานทั้งหมดภายในอึดใจเดียว

ชั่วเวลาสั้นๆ นี้ เขารู้สึกว่าร่างกายเกิดอาการชาไปครึ่งซีก ในใจเขารู้สึกหวาดผวาจนยากจะรู้ได้

“ไม่มีประโยชน์หรอก แมงป่องกระดูกขาวตนนี้เป็นปีศาจกลายพันธุ์ โอสถถอนพิษทั่วไประงับพิษได้เพียงชั่วคราวเท่านั้น ถ้าอยากจะถอนพิษออกให้หมดล่ะก็ ภายในระยะเวลาสั้นๆ อย่าได้คิดฝันไปเลย เจ้าจัดการวิชาผสานร่างปีศาจก่อน มิเช่นนั้นข้าก็ไม่เกรงใจที่จะจัดการเจ้า หลังจากนั้นค่อยๆ ตามหาสมบัติที่ว่า” หลิ่วหมิงค่อยๆ เดินเข้ามาและกล่าวอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ข้าเข้าใจแล้ว ข้าจะทำตามที่สหายบอก” ชายร่างอ้วนกัดฟันกล่าว จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว หัวพยัคฆ์กับแขนอสูรตรงชายโครงหดตัวลงในทันที ก่อนที่หายไปในพริบตา ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนตัวก็อ่อนลงไปมาก

“ถ้าไม่ใช่เพราะว่าการทำลายชั้นจำกัดในก่อนหน้านั้น ทำให้ข้าสูญเสียโลหิตไปมากจนไม่อาจแสดงพลังที่แท้จริงของวิชาผสานร่างปีศาจออกได้ล่ะก็ ข้าคงไม่พ่ายแพ้รวดเร็วเช่นนี้” ชายร่างอ้วนหยุดการแสดงวิชา และแสดงสีหน้าหงุดหงิดออกมา

“ถ้าเจ้าไม่ยอม ก็รีบไปอยู่เป็นเพื่อนเขาได้” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก สายตามองไปที่ซากศพของชายรูปร่างสูงใหญ่

ช่วงเวลาที่คำพูดนี้ออกมาจากปาก แมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินก็เริ่มเคลื่อนไหว

“ข้าแค่ล้อเล่นเท่านั้น สหายอย่าได้จริงจังไป” ชายร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจจนต้องรีบกล่าวออกมา

“ข้าไม่สนว่าเจ้าจะพูดเล่น หรือแกล้งพูดเล่น! รีบบอกข้ามาว่าสมบัติที่แท้จริงซ่อนอยู่ที่ไหน? อย่าได้คิดถ่วงเวลา ถ้าข้ารู้สึกว่าเจ้าคิดจะทำเช่นนี้ล่ะก็ จะให้พวกมันทั้งสองลงมือในทันที” หลิ่วหมิงจ้องมองชายร่างอ้วนแล้วกล่าวอย่างเยือกเย็น

“ข้าจะคิดเช่นนี้ได้อย่างไร ความจริงสมบัติที่แท้จริงอยู่ใต้ถ้ำแห่งนี้ ทั้งยังถูกค่ายกลอีกหลังปิดผนึกไว้ แต่มีข้าคนเดียวเท่านั้นที่รู้วิธีการเปิดผนึก” ชายร่างอ้วนยิ้มอย่างขมขื่นก่อนกล่าวออกมา

“ถ้าอย่างนั้นบอกข้าหน่อยว่าสมบัติที่แท้จริงคืออะไร?” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

“ถ้าข้าเดาไม่ผิดล่ะก็ สมบัติที่แท้จริงคงจะเป็นหลุมปีศาจ!” ครั้งนี้ชายร่างอ้วนลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวอย่างไม่มีทางเลี่ยง

“หลุมปีศาจ!”

แม้หลิ่วหมิงจะเป็นคนสุขุมเยือกเย็นมาโดยตลอด แต่พอได้ยินเช่นนี้ก็ต้องหลุดปากออกมา

“ไม่ผิด! แม้จะไม่ใช่หลุมปีศาจขนาดใหญ่มากนัก แต่ในเมื่อไม่มีคนเปิดมานานขนาดนี้ ในนั้นคงมีไอปีศาจสะสมอยู่ไม่น้อย” ในเมื่อชายร่างอ้วนเผยความลับนี้ออกมาแล้ว เขาก็ไม่คิดจะปิดบังอะไรอีก

“ดีมาก ถ้าอย่างนั้นให้ข้าดูหน่อยว่าที่เจ้าพูดมาทั้งหมดเป็นเรื่องจริงหรือไม่? แต่ก่อนอื่นข้าต้องทำเรื่องอีกอย่างก่อน” หลิ่วหมิงระงับความตื่นเต้นไว้ และกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“อะไรนะ ความหมายของสหายคือ……” ชายร่างอ้วนถามด้วยความตกตะลึง

แต่เขายังไม่ทันได้ตอบสนองใดๆ หัวบินที่อยู่ด้านข้างก็ส่ายหัวด้วยเสียงอันดัง จากนั้นเส้นผมก็ตั้งตรงก่อนจะพุ่งยิงเข้ามา

สีหน้าชายร่างอ้วนเปลี่ยนไปเมื่อเห็นเช่นนี้ แต่เมื่อสายตาเหลือบไปเห็นแมงป่องกระดูกขาวที่มีอารมณ์คึกคัก เขาก็ยิ้มอย่างขมขื่นและยืนนิ่งอยู่ที่เดิม

“ฟู่!” ผมยาวจมหายเข้าร่างไปในพริบตา และยังค่อยๆ รัดพันหัวใจที่กำลังเต้นอยู่ ทำให้เขารู้สึกสะดุ้งโหยงอย่างช่วยไม่ได้

“ตอนที่ท่านเปิดผนึกอย่าได้คิดตุกติก มิเช่นนั้นข้าจะสั่งให้หัวบินบีบหัวใจเจ้าให้ละเอียด เอาล่ะ! ตอนนี้เจ้าไปเปิดผนึกเถอะ!” พอหลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ถึงได้มีสีหน้าผ่อนคลายขึ้นมา

“ได้! สหายรอสักครู่! แต่การเปิดผนึกนั้น ข้าจำต้องหยิบอาวุธบางอย่างจากโลงศพเหล่านี้ก่อน” ชายร่างอ้วนก้มมองผมยาวตรงอก ใบหน้าอ้วนกลมเผยรอยยิ้มประจบสอพลอออกมา ราวกับว่าเป็นคนธรรมดาที่สุภาพอ่อนโยนคนหนึ่ง

“เจ้าจะหยิบอาวุธอะไร อยู่ในโลงศพใบนั้นหรือ?” หลิ่วหมิงถามออกไปอย่างไม่สะทกสะท้าน เขาย่อมไม่หลงเล่ห์กลรอยยิ้มตื้นๆ นี้

ฝ่ายตรงข้ามเป็นถึงผู้นำหมายเลขสองของพรรควิญญาณมืด และบัญชาการผู้ฝึกฝนนอกรีตมามากขนาดนี้ ถ้าจะบอกว่าเขาไม่ใช่คนใจคอโหดเหี้ยม เล่ห์เพทุบายแพรวพราวล่ะก็ คงไม่มีคนเชื่อ

“เป็นป้ายเหล็กอันหนึ่ง คงจะอยู่ในโลงศพที่มีดอกเก๊กฮวยสีเงินประทับอยู่ตรงมุม” พอชายร่างอ้วนเห็นว่าหลิ่วหมิงไม่ยอมให้เขาไปเอาสิ่งของในทันที เขาก็ลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็ชี้ไปยังโลงศพสีดำใบหนึ่ง และกล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ถึงได้กวาดสายตามองออกไปจนเห็นโลงศพใบนั้นอย่างชัดเจน

มันคือใบที่ชายร่างอ้วนคิดจะหลบหนีเข้าไปในก่อนหน้านั้น

หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อยก่อนที่จะสะบัดกระบี่สั้นสีเขียวในมือ ปราณกระบี่สีเขียวม้วนตัวออกไป

“เต๊ง!”

ปราณกระบี่ฟันลงบนโลงศพ คิดไม่ถึงว่ามันจะทิ้งไว้แค่รอยกระบี่จางๆ และไม่สามารถฟันให้ขาดได้

“สหาย โลงศพเหล่านี้ ทำมาจากไม้ดำหมื่นปี ตัวมันเองก็นับว่าเป็นสมบัติชิ้นหนึ่ง” หางตาชายร่างอ้วนกระตุกเล็กน้อยเมื่อเห็นเช่นนี้ และรีบอธิบายออกมา

“จริงหรือ? อย่างนี้ถ้าทำลายมันก็น่าเสียดายไปหน่อย” พอหลิ่วหมิงได้ยินสีหน้าก็เปลี่ยนไป เขาเก็บกระบี่สั้นในมือ และทุบหมัดข้างหนึ่งไปในอากาศ

“ตู๊ม!”

ครั้งนี้พลังมหาศาลปะทะกับฝาโลงจนกระเด็นออกไป ขณะเดียวกันกลิ่นเน่าเหม็นของศพก็โชยออกมา

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วและค่อยๆ ลอยไปยังโลงศพใบนั้น และหยุดอยู่กลางอากาศที่สูงสองสามจั้ง เขาก้มสังเกตดูโลงศพด้านล่างสองสามที และเผยแววยิ้มเยาะออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ เพื่อปล่อยลูกเปลวไฟพุ่งยิงติดต่อกันออกไป

“เพล้ง!” เปลวไฟคุโชนระเบิดตัวอยู่ในโลงศพ และเสาเพลิงต้นหนึ่งก็ม้วนตัวขึ้นมา

ครู่ต่อมา มีเสียงร้องแปลกประหลาดดังขึ้นจากในโลง ผีดิบสวมเกราะเหล็กสีดำตัวหนึ่งกระโดดออกจากในนั้น

หน้าอกของมันมีป้ายเหล็กขนาดเท่าฝ่ามือห้อยด้วยเชือกเส้นเล็กๆ แขวนอยู่ มันกระโดดออกจากเปลวเพลิงอันคุโชนมาสิบกว่าเก้า จากนั้นหัวของมันก็ถูกคมวายุยักษ์ที่พุ่งยิงเข้ามาฟันจนหลุดไป

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด