ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 238 หลิ่วหมิงคนที่สอง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 238 หลิ่วหมิงคนที่สอง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 238 หลิ่วหมิงคนที่สอง

กาลเวลาช่างผ่านไปอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็ผ่านไปสามปีแล้ว

เสวียนจิงในตอนนี้ไม่แตกต่างจากสามปีก่อนมากนัก ถ้าจะบอกว่ามีการเปลี่ยนแปลง ก็มีเพียงหนึ่งเดียวก็คือ ขณะนี้ มีผู้ฝึกฝนจากแคว้นไห่เยวี่ยมาปรากฏตัวในเสวียนจิงไม่ใช่น้อย หนึ่งในนั้นส่วนมากเป็นผู้ฝึกฝนอิสระ แต่ก็มีส่วนน้อยที่เป็นศิษย์นิกายในแคว้นไห่เยวี่ย

นิกายใหญ่ๆ ในแคว้นไห่เยวี่ย และแคว้นอื่นๆ ต่างก็ถูกเผ่าเจ้าสมุทรโจมตีจนย่อยยับและล่มสลายจนหมดสิ้น

ศิษย์นิกายที่หลุดรอดหนีมาแคว้นต้าเสวียนเหล่านี้ ส่วนมากเข้าร่วมนิกายจันทราสวรรค์และนิกายใหญ่ทั้งห้าเป็นต้น บางส่วนก็ไม่อยากถูกควบคุมอีก จึงกลายเป็นผู้ฝึกฝนอิสระที่แท้จริง

การปรากฏตัวของผู้ฝึกฝนแคว้นอื่น มันช่วยชดเชยผู้ฝึกฝนอิสระที่หนีไปจากเสวียนจิงเกือบหมดได้พอดี หลังจากการต่อสู้อย่างดุเดือดรุนแรง ก็มีกลุ่มอิทธิพลเกิดใหม่สองสามกลุ่ม ดูเหมือนว่าจะแข็งแกร่งกว่ากลุ่มอิทธิพลเมื่อสามปีก่อนเล็กน้อย

แต่ว่าทั้งหมดนี้ย่อมไม่ค่อยมีส่วนเกี่ยวข้องกับหลิ่วหมิงมากนัก

ในระหว่างสามปีที่เขาอยู่ที่นี่ ศิษย์นิกายทั้งห้าจำนวนมาก ต่างก็ตั้งมั่นอยู่ที่ชายแดนระหว่างแคว้นไห่เยวี่ย ไม่นานก็ได้ปะทะกับเผ่าเจ้าสมุทรที่รุกรานเข้ามา

ตามข่าวที่หลิ่วหมิงได้รับจากทางนิกาย กับข่าวกรองที่ตนเองรวบรวมมาส่วนหนึ่ง ตอนนั้นแม้ว่าทั้งสองฝ่ายจะมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกโรงกันหลายคน แต่นอกจากศึกการต่อสู้ครั้งใหญ่ที่สั่นสะเทือนไปทั่วฟ้าและปฐพีในตอนแรกแล้ว ผู้ฝึกฝนระดับผลึกเหล่านั้นก็ไม่ได้มีการต่อสู้กันโดยตรงแต่อย่างใด

แต่ความเข้าใจโดยนัยก็คือ อาจารย์จิตวิญญาณกับศิษย์จิตวิญญาณทั้งสองฝ่ายต่างก็ต่อสู้กันอย่างดุเดือด และถี่มากขึ้นเรื่อยๆ จนกระทั่งอาจารย์จิตวิญญาณทั้งสองฝ่ายเสียชีวิตรวมๆ กันยี่สิบถึงสามสิบกว่าคนแล้ว

ส่วนศิษย์จิตวิญญาณที่มีการฝึกฝนระดับต่ำกว่ายิ่งไม่ต้องพูดถึง

ที่ทำให้หลิ่วหมิงแปลกใจเล็กน้อยก็คือ หลังจากที่ทั้งสองฝ่ายเปิดศึกได้ไม่นาน ต่างฝ่ายต่างก็สร้างเมืองใหญ่ที่ชายแดนขึ้นมาแห่งหนึ่ง ราวกับว่ากะจะทำศึกกันยาวๆ

และในสามปีนี้ นิกายปีศาจก็มีอาจารย์จิตวิญญาณเสียชีวิตเจ็ดแปดคน และศิษย์จิตวิญญาณอีกเป็นจำนวนมาก แม้กระทั่งบางคนก็เป็นคนที่หลิ่วหมิงรู้จัก

ดีว่าเขาเก้าทารกมีอิทธิพลค่อนข้างอ่อนแอ จึงมีคนเสียชีวิตน้อยมาก นักพรตแซ่จงกับอาจารย์จิตวิญญาณอีกสองท่านก็ปลอดภัยดี พวกเขาตั้งมั่นอยู่ในนิกายไม่ได้ไปปรากฏตัวที่ชายแดน

เดิมทีสถานะศิษย์แกนนำอย่างหลิ่วหมิง ต่างก็ต้องถูกสั่งให้ไปร่วมศึกในครั้งนี้ แต่เสียดายที่มีเผ่าเจ้าสมุทรปรากฏตัวในเสวียนจิงก่อน ดังนั้นจึงจำเป็นต้องให้ศิษย์ที่ความสามารถคอยตรวจตราและควบคุมอยู่ในเสวียนจิง ด้วยเหตุนี้เขาจึงไม่ถูกเรียกตัวกลับนิกายเลยซักครั้ง

แน่นอนว่าภายในสามปีนี้ก็มีเรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงกลัดกลุ้มเล็กน้อย

นั่นก็คือ ในสองปีก่อนเกาชงก้าวสู่ระดับอาจารย์จิตวิญญาณอย่างราบรื่น ทั้งยังไปต่อสู้กับเผ่าเจ้าสมุทรที่ชายแดนด้วยฝีมืออันโดดเด่น

ได้ยินว่า เขาเคยสังหารอาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นของเผ่าเจ้าสมุทรด้วยตัวคนเดียว และศิษย์จิตวิญญาณของเผ่าเจ้าสมุทรที่ตายในเงื้อมมือเขาก็มีไม่น้อย

ดูเหมือนว่าพอเกาชงผู้นี้กลายเป็นอาจารย์จิตวิญญาณแล้ว พลังของเขาไม่ใช่สิ่งที่อาจารย์จิตวิญญาณระดับต้นทั่วไปจะสามารถเทียบได้ มิเช่นนั้นคงไม่สามารถทำเรื่องเช่นนี้ได้อย่างแน่นอน

แต่เรื่องแบบนี้ ย่อมไม่ใช่เรื่องดีสำหรับหลิ่วหมิง

ระยะเวลาสามปีที่อยู่ที่นี่ หลิ่วหมิงยกระดับความบริสุทธิ์ของพลังเวทย์กับบ่มเพาะจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนในจุดตันเถียนอยู่ตลอด และยังไปเรียนวิชาปรุงโอสถกับฝานไป๋จื่อด้วย

สองสิ่งแรกพัฒนาไปแบบธรรมดามาก พลังเวทย์ของเขาบริสุทธิ์กว่าก่อนหน้านั้นเพียงเล็กน้อย และจิตวิญญาณกระบี่ตัวอ่อนก็เติบใหญ่ขึ้นเล็กน้อย แต่การปรุงโอสถของเขากลับทำให้ฝานไป๋จื่อรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ไม่รู้ว่าเขามีพรสวรรค์ทางด้านการปรุงโอสถ หรือว่าเป็นเพราะเหตุผลอื่นใด เขาใช้เวลาเรียนสั้นๆ แค่สามปี ไม่คิดว่าจะเรียนวิชาปรุงโอสถสำเร็จในเบื้องต้นแล้ว ตอนนี้เขาสามารถปรุงโอสถระดับศิษย์จิตวิญญาณด้วยตนเองได้หลายชนิด และโอกาสในการปรุงสำเร็จก็ไม่ค่อยต่ำมาก

แม้ว่าพรสวรรค์การปรุงโอสถของเขาจะทำให้ฝานไป๋จื่อต้องร้องออกมาด้วยความแปลกใจ แต่เมื่อเวลาสามปีผ่านไป ฝานไป๋จื่อก็ไม่ลังเลที่จะบอกเขาไม่ต้องไปหาอีก

หลิ่วหมิงในตอนนี้ ได้เข้าสู่ประตูการปรุงโอสถแล้ว ถ้าอยากยกระดับวิชาการปรุงโอสถต่อล่ะก็ ต้องฝึกฝนในเส้นทางสายนี้ให้มากๆ

เพราะประสบการณ์การปรุงโอสถระดับกลางถึงสูง ฝานไป๋จื่อไม่ถ่ายทอดให้คนนอกอย่างเขาแน่นอน

วันนี้ ขณะที่หลิ่วหมิงเดินออกจากตรอกตรงร้านขายโรงศพในเมืองเสวียนจิงอีกครั้ง สีหน้าเขาก็อึมครึมเป็นอย่างมาก

แม้ว่าข่าวที่นิกายส่งมาจะเป็นข่าวธรรมดา ซึ่งเป็นเรื่องกระจอกงอกง่อยเท่านั้น แต่หลิ่วหมิงยังคงรู้สึกว่าการปะทะระหว่างแต่ละนิกายกับเผ่าเจ้าสมุทรดูเหมือนจะไม่ค่อยราบรื่นมากนัก คงจะตกเป็นเบี้ยล่างแล้ว

นี่เป็นเพราะว่า เผ่าเจ้าสมุทรแบ่งกำลังออกไปหลายที่ ขณะเดียวกันได้รับชัยชนะมาพร้อมกัน

ที่เห็นในตอนนี้ เผ่าเจ้าสมุทรแข็งแกร่งกว่ามาก

แน่นอน หนึ่งในนั้นเป็นเพราะเผ่าเจ้าสมุทรเริ่มส่งคนมาเป็นไส้ศึกในแต่ละแคว้นมาหลายสิบปีแล้ว และวางกับดักจำนวนมากเพื่อให้มนุษย์อ่อนกำลังลง และเริ่มลงมือก่อนทำการบุกรุกล่วงล้ำดินแดน

แต่สำหรับหลิ่วหมิงแล้ว ทั้งหมดนี้เป็นเรื่องที่ไกลสำหรับเขาไปหน่อย

ตอนนี้เขากลับถึงห้องลับภายในถ้ำ พอนั่งลงไปเพื่อจะเตรียมฝึกฝนต่อนั้น พลันรู้สึกถึงพลังเวทย์ในร่างปะทุขึ้นมา จากนั้นก็พุ่งไปยังจุดตันเถียนอย่างบ้าคลั่ง

“เริ่มแล้ว!”

ตอนแรกหลิ่วหมิงก็รู้สึกตกตะลึง แต่ก็เผยสีหน้าดีใจออกมาในทันที

เขาตบถุงหนังบนเอวทั้งสองใบ ทันใดนั้นไอสีดำสองกลุ่มพุ่งออกมาหลายเป็นแมงป่องกระดูกขาวกับหัวบินตนนั้น

“ขวับ!” “ขวับ!”

หลิ่วหมิงคว้าหางตะขอของแมงป่องกระดูกขาวอย่างไม่เกรงใจ มืออีกข้างก็คว้าผมของหัวบินไว้แน่น จากนั้นไอสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง เขาพยายามควบคุมความเร็วของพลังเวทย์ภายในร่าง

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไอดำบนร่างเขาก็เบาบางลงเรื่อยๆ

เมื่อหลิ่วหมิงรู้สึกว่าพลังเวทย์ในร่างเหลือแค่หนึ่งในสิบส่วนเท่านั้น แรงดึงดูดในจุดตันเถียนถึงได้หยุดลงในทันที

ในขณะเดียวกัน หูของเขาก็ได้ยินเสียงดัง “หวึ่ง!” หลังจากดวงตาดำมืดลง เขาก็มาปรากฏตัวในห้องมืดครึ้ม

หลังจากผ่านมานานหลายปี ในที่สุดเขาก็เข้ามาในห้องว่างเปล่าลึกลับอีกครั้ง หัวบินกับแมงป่องกระดูกขาวก็ตามติดอยู่ข้างกายเขา

แต่พอหลิ่วหมิงเห็นทุกสิ่งตรงหน้าอย่างชัดเจน สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

ห้องที่ควรจะว่างเปล่า กลับมีเงาคนผู้หนึ่งนั่งอยู่บนพื้น ไม่ว่าจะเป็นเสื้อผ้า การแต่งตัว หรือว่าใบหน้า ล้วนเหมือนกับเขาไม่มีผิด

หลิ่วหมิงตะลึงงันอย่างสุดขีด

ขณะนั้นเอง หัวบินพลันลอยออกไปจากข้างกายเขาไปอยู่ต่อหน้า ‘หลิ่วหมิง’ ที่อยู่ตรงหน้า และก้มหน้าซบลงไปกับพื้นไม่ขยับเขยื้อน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ใจเต้น “ตึกตัก!” ขึ้นมา แม้ว่าจะตื่นตระหนกตกใจ แต่ก็รีบทำท่ามือเพื่อสื่อสารกับจิตของหัวบินในทันที

ผลลัพธ์ก็คือ ทางด้านหัวบินได้แต่ส่งคำพูดมาว่า “นายท่าน นายท่านที่แข็งแกร่งอีกคน”

สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงยิ่งจับต้นชนปลายไม่ถูก แต่ในใจก็พอจะรู้ลางๆ ว่า ที่หัวบินถูกเขาสยบได้อย่างง่ายดายในตอนแรกนั้น มีส่วนเกี่ยวข้องกับ ‘ตัวเอง’ ที่อยู่ตรงหน้าแปดถึงเก้าส่วน

เมื่อเขาคิดได้เช่นนี้ ก็ไม่กล้าเมินเฉยอีกต่อไป แต่พอสังเกตดู ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าอย่างละเอียดไม่กี่ที สีหน้าเขาก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป

ดูเหมือนว่า ‘ตนเอง’ ที่อยู่ตรงหน้ายังคงไม่มีการเคลื่อนไหวมาโดยตลอด บนร่างของเขาไม่มีลมหายใจใดๆ เล็ดลอดออกมา หรือจะเป็นแค่สิ่งที่ไร้ชีวิตเท่านั้น?

หลิ่วหมิงที่เกิดความสงสัย เขาไม่สนใจหัวบินอีกต่อไป แต่กลับค่อยๆ เดินวน ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าสองสามรอบ จากนั้นก็แตะนิ้วไปยังหน้าผากตนเอง และส่งพลังจิตไปตรวจสอบร่างของฝ่ายตรงข้าม

พอพลังจิตเขาสัมผัสโดน ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า ก็ถูกพลังไร้รูปบางอย่างผลักกระเด็นออกมา ไม่ว่าเขาจะกระตุ้นแค่ไหนก็ไม่อาจเข้าใกล้ร่างตรงหน้าได้เลยแม้แต่น้อย

สิ่งนี้ทำให้ใจหลิ่วหมิงร่วงหล่นลงไป

แต่หลังจากที่เขาลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็กุมมือคารวะ ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้า และกล่าวออกมา

“ไม่ทราบผู้อาวุโสมีนามว่าเยี่ยงไร? ทำไมถึงปลอมเป็นข้าน้อยแล้วมาอยู่ที่นี่”

‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้ายังคงหลับตาสนิท นั่งนิ่งอยู่ที่เดิม

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วขึ้นมา หลังจากยืดตัวตรงแล้ว ก็สังเกตดูฝ่ายตรงข้ามอย่างถี่ถ้วน

รอยแผลจางๆ ยาวชุ่นกว่าๆ ตรงหน้าผาก คือแผลที่เขาถูกคนโหดเหี้ยมบางคน ใช้หินแหลมคมกรีดตอนอยู่บนเกาะมฤตยู มุมปากยกขึ้นเล็กน้อย นี่คือความเคยชินในขณะที่เขาทำการครุ่นคิดในขณะพักผ่อน

รอยเลือดจางๆ ตรงนิ้วโป้งข้างหนึ่ง เกิดจากการที่เมื่อวานเขาฝึกวิชาคมวายุด้วยเทคนิคใหม่ และไม่ทันระวังจึงโดนตัวเองเข้า

หลิ่วหมิงยิ่งดูละเอียด ก็ยิ่งรู้สึกว่าฝ่ายตรงข้ามคือ ‘ตนเอง’ คนที่สอง และเขาก็รู้สึกเย็นวาบในใจ

“ในเมื่อท่านไม่ยอมพูด ข้าคงต้องล่วงเกินแล้ว” หลิ่วหมิงกัดฟันกล่าว

จากนั้นเขาก็สะบัดแขนเสื้อ แสงสีเงินเปล่งประกายออกมา โซ่สีเงินหวดไปยังฝั่งตรงข้าม

หลังจากมีเสียงเต๊งตั๊งดังขึ้น โซ่เงินก็สามารถรัดพัน ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าได้อย่างราบรื่น และแน่นหนา ซึ่งไม่เห็นเขามีท่าทีขัดขืนเลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็มีสีหน้าโล่งใจขึ้นมา จากนั้นเขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาทันที ยันต์ปึกหนึ่งปรากฏออกมา เขายกแขนทั้งสองขึ้นแล้วพุ่งยิงมันออกไปทั้งหมด จากนั้นมันก็ค่อยๆ ไปแปะอยู่บนตัว ‘หลิ่วหมิง’

ด้วยเหตุนี้ เมื่อหลิ่วหมิงเห็น ‘ตนเอง’ ตรงหน้าถูกโซ่สยบปีศาจกับยันต์จำนวนมากกักขังไว้ เขาถึงได้วางใจแล้วเดินเข้าใกล้

เขาเดินวน ‘ตนเอง’ อยู่สองรอบ แล้วถึงยกแขนขึ้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และลูบไปยังไหล่ของฝ่ายตรงข้ามอย่างระมัดระวัง

ในระหว่างนั้น หลิ่วหมิงจ้องมอง ‘ตนเอง’ ตรงหน้าอยู่ไม่ปล่อย แต่ก็ไม่เห็นเขาลืมตาขึ้นมาเลย

ผลลัพธ์คือ ‘หลิ่วหมิง’ คนนี้ยังคงนั่งอยู่บนพื้นไม่ขยับเขยื้อน และเมื่อฝ่ามือเขาวางลงบนไหล่ของฝ่ายตรงข้าม เขาก็ต้องสะดุ้งโหยงในทันที พลังเย็นประหลาดบางอย่างพุ่งออกจากไหล่ของฝ่ายตรงข้าม และพุ่งเข้าไปในแขนเขา

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจจนขยับออกไปไกลหลายจั้ง หลังจากนั้นก็จ้องมองฝ่ายตรงข้ามด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

ผลลัพธ์คือ ‘หลิ่วหมิง’ ตรงหน้าไม่มีความผิดปกติใดๆ เลย ราวกับว่าพลังเย็นประหลาดเมื่อครู่ เป็นแค่สิ่งที่เขามโนขึ้นมาเท่านั้น

แต่พอหลิ่วหมิงปราดสายตามองดูแขนข้างที่ไปสัมผัสหัวไหล่ฝ่ายตรงข้ามในเมื่อครู่ เขาก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปมา

แขนข้างนั้นไร้ซึ่งความรู้สึกใดๆ และถูกปกคลุมไปด้วยน้ำแข็ง

หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้นไอสีดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง ขณะเดียวกันมันก็พุ่งไปยังแขนที่ด้านชา

ผ่านไปไม่นาน น้ำแข็งสีดำบนแขนก็ลอกออกอย่างรวดเร็ว แขนของเขากลับมามีความรู้สึกอีกครั้ง

แต่ตอนนี้หลิ่วหมิงยิ่งรู้สึกว่า ‘ตนเอง’ ตรงหน้ายิ่งลึกลับมากขึ้นกว่าเดิม

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด