ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 251 โสมคนทองคำ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 251 โสมคนทองคำ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 251 โสมคนทองคำ

ศิษย์พี่หวงมองดูฉากนี้ และค่อยๆ หดม่านตาลง จากนั้นถึงขยับตัวไปข้างเตาหลอมยักษ์ด้วยความรวดเร็วราวกับปีศาจ และสังเกตดูมันอย่างละเอียด

หลิ่วหมิงได้แต่ยิ้มและไม่กล่าวอะไรออกมา

“ก็แค่เตาหลอมธรรมดา ทำไมถึงหนักเช่นนี้ หรือว่าในเตาหลอมจะมีสิ่งของอย่างอื่นอีก” ศิษย์พี่หวงเดินวนเตาหลอมยักษ์ไปหนึ่งรอบแล้วขมวดคิ้วกล่าวออกมา

“ที่แท้ศิษย์พี่ก็ดูออก สิ่งที่อยู่ในเตาหลอมถึงเป็นวัสดุแท้จริงในการหลอมอาวุธ” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

ศิษย์พี่หวงพยักหน้า และสะบัดแขนเสื้อ พลังไร้รูปบางอย่างม้วนตัวไปยังฝาที่ปิดอยู่

“ฟู่!” ฝาที่ดูหนักๆ ลอยออกไปทันที และลอยนิ่งอยู่กลางอากาศ

ศิษย์พี่หวงยื่นหน้าดูเตาหลอม จนเห็นของเหลวสีดำที่กระจายไอหมอกสีดำอย่างชัดเจน พร้อมกับเผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ประจักษ์ชัดว่า ‘ศิษย์พี่หวง’ ก็คิดไม่ถึงว่าสิ่งที่อยู่ในเตาหลอมจะมีขนาดเล็กเช่นนี้

แต่ครู่ต่อมา ผู้อาวุโสชุดคลุมสีดำพลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว และยื่นมือข้างหนึ่งไปทางเตาหลอมทันที

เสียงดัง “เพล้ง!” เตาหลอมยักษ์ค่อยๆ สั่นไหว แต่หยดของเหลวสีดำในนั้นยังคงสงบนิ่งไม่เคลื่อนไหว

ศิษย์พี่หวงหลุดปากออกมาด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก

“หยดพลังวารี สมบัติในตำนานจริงๆ ด้วย!”

“ทำไมหรือ? ศิษย์เคยเห็นสมบัติชิ้นนี้มาก่อนหรือ?” หลิ่วหมิงถามด้วยความแปลกใจ

“ข้าเห็นสมบัติชิ้นนี้ป็นครั้งแรก แต่ในมือข้ามีตำรามหัศจรรย์ที่บันทึกวัสดุล้ำค่าและหาได้ยากยิ่งในใต้หล้าอยู่หลากหลายชนิด ในนั้นมีรูปภาพและบรรยายเกี่ยวกับหยดพลังวารี เดิมทีก็ไม่ค่อยแน่ใจมากนัก แต่หลังจากลองดูน้ำหนักของมันแล้ว ก็แน่ใจในทันที” ศิษย์พี่หวงจ้องมองสิ่งของในเตาหลอมตาไม่กระพริบ แม้ปากจะพูดพึมพำออกมา แต่สีหน้าเต็มไปด้วยความหลงใหล

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ในเมื่อศิษย์พี่หวงรู้ว่าของสิ่งนี้คืออะไร ก็คงรู้ว่าศิษย์น้องอยากให้ท่านหลอมสิ่งใดแล้วใช่ไหม?” หลิ่วหมิงกล่าวออกไปตรงๆ

“แม้ว่าหยดพลังวารีจะพบเจอได้น้อยมาก แต่สามารถหลอมเป็นสิ่งของชิ้นอื่นได้ไม่กี่อย่าง บวกกับวัสดุที่เข้ากับมันได้ก็มีน้อยมาก หรือว่าศิษย์น้องคิดจะหลอมสมบัตินี้ให้เป็นมุกพลังวารีในตำนาน?” เมื่อศิษย์พี่หวงฟังคำพูดของหลิ่วหมิงแล้ว ก็ได้สติขึ้นมา หลังจากคิดอยู่ครู่หนึ่งก็ค่อยๆ กล่าวขึ้น

“ศิษย์พี่หวงสมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธอันดับหนึ่งของนิกายปีศาจ คิดไม่ถึงว่าจะทายจุดประสงค์ของศิษย์น้องได้อย่างรวดเร็วเพียงนี้ ไม่ผิด! ข้าอยากจะหลอมหยดพลังวารีเป็นมุกพลังวารีจริงๆ ไม่ทราบว่าศิษย์มีพี่ความเชื่อมั่นเท่าไหร่?”

“สมบัติล้ำค่าเช่นนี้ ตามที่ศิษย์น้องได้กล่าวไว้ในก่อนหน้า ถ้าเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธตามท้องตลาดทั่วไปล่ะก็ คงมีอัตราความล้มเหลวไม่ใช่น้อย แต่ถ้าข้าลงมือหลอมเองล่ะก็ ไม่ค่อยมีปัญหามากนัก เพียงต้องรอดูทีหลังว่าจะหลอมออกมาเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใดเท่านั้น” ศิษย์พี่หวงเงียบไปซักพักแล้วกล่าวอย่างมั่นใจ

“ศิษย์พี่หวงมีความเชื่อมั่นเช่นนี้ ข้าเลือกไม่ผิดจริงๆ” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกดีใจมาก

“เฮ่อๆ! ในเมื่อศิษย์น้องนำหยดพลังวารีออกมาได้ ข้าเป็นถึงผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธ ย่อมไม่อาจปฏิเสธที่หลอมอาวุธจิตวิญญาณนี้ ว่าแต่ศิษย์น้องมาในครั้งนี้ คงไม่คิดจะให้ข้าทำให้เปล่าๆ หรอกนะ” ศิษย์พี่หวงหัวเราะก่อนกล่าวออกมา

“ข้าจะให้ศิษย์พี่เสียแรงเปล่าได้อย่างไร แม้ข้าจะมีหินจิตวิญญาณจำนวนหนึ่ง แต่คิดว่าศิษย์พี่คงไม่อยากได้มัน เช่นนี้เถอะ! ข้ายังมีไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ทางนิกายมอบให้ในปีนั้นหนึ่งชุด ข้าให้มันเป็นค่าตอบแทนได้หรือไม่” หลิ่วหมิงฉุกคิดอย่างรวดเร็วแล้วกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“แม้ว่าไอปีศาจบริสุทธิ์ที่ทางนิกายมอบให้จะดูธรรมดา แต่ก็พอจะจ่ายเป็นค่าหลอมอาวุธได้ แต่ถ้าหลอมหยดพลังวารีให้เป็นมุกพลังวารีล่ะก็ ต้องเสียวัสดุเสริมไม่ใช่น้อย แม้ข้าจะจัดให้เหมาะสมได้ แต่มูลค่าของพวกมันก็ไม่ใช่น้อยอยู่ดี” ศิษย์พี่หวงพยักหน้า และส่ายสีศีรษะอีกครั้ง

“นอกจากไอปีศาจบริสุทธิ์หนึ่งชุดแล้ว ข้าจะจ่ายศิษย์พี่อีกสองหมื่นหินจิตวิญญาณดีไหม!” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยความรู้สึกเบิกบานใจ

“คิดไม่ถึงว่า แม้ศิษย์น้องจะอายุยังน้อย แต่กลับมีสมบัติมากถึงเพียงนี้ ได้! ตกลงตามนี้ หนึ่งเดือนให้หลังเจ้าค่อยมารับอาวุธจิตวิญญาณ นอกจากนี้ เจ้าหวังจะให้มุกพลังวารีมีผลลัพธ์จำกัดแบบใด ก็พูดกับข้าให้กระจ่างก่อน หลังหลอมเสร็จแล้วจะได้ไม่มีปัญหากับเจ้า” ศิษย์พี่หวงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย แต่หลังจากสังเกตดูหลิ่วหมิงสองทีแล้ว ก็กล่าวออกมาอย่างอ่อนโยน

“มุกพลังวารีเม็ดนี้ไม่มีข้อเรียกร้องใดๆ ชั้นจำกัดที่ใส่เข้าไปนั้น ขอเพียงแค่มีคำว่า ‘หนัก’ ก็พอ ไม่ว่าท้ายสุดแล้วศิษย์พี่จะหลอมออกมาเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับใด แต่แค่ใส่ชั้นจำกัดประเภทเดียวกันนี้ ก็พอแล้ว” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะคิดเรื่องนี้ไว้แต่แรก จึงกล่าวออกมาอย่างไม่ลังเล

“เพียงแค่ใช้พลังที่แข็งแกร่งเพื่อบีบบังคับศัตรูใช่ไหม? ด้วยน้ำหนักของมุกพลังวารี หากเพิ่มน้ำหนักของมันอีกหลายเท่า เกรงว่าแม้แต่เขาลูกเล็กๆ ก็ถูกโจมตีจนแตกกระจายได้ แต่ของล้ำค่าที่หนักขนาดนี้ ถ้าความบริสุทธิ์พลังเวทย์กับความแข็งแกร่งของร่างกายไม่เพียงพอล่ะก็ เกรงว่าคงยากที่จะควบคุมได้ดั่งใจ” แม้ว่าศิษย์พี่หวงจะเคยหลอมอาวุธจิตวิญญาณมาไม่ใช่น้อย แต่พอฟังหลิ่วหมิงพูดจบก็รู้สึกเย็นสะท้านอย่างช่วยไม่ได้

ดูเหมือนเขาจะจินตนาการฉากสั่นสะเทือนหลังมุกพลังวารีโผล่ขึ้นบนโลกได้

“ขอศิษย์พี่โปรดวางใจ ในเมื่อข้ามีข้อเรียกร้องเช่นนี้ ย่อมเตรียมทุกอย่างไว้หมดแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ได้ ในเมื่อศิษย์น้องคิดที่จะแสวงหาอานุภาพอันแข็งแกร่งเช่นนี้ และยังคิดว่าตนเองสามารถควบคุมได้ ข้าก็หลอมสิ่งนี้ตามข้อเรียกร้องของเจ้า” ศิษย์พี่หวงคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง แต่ก็ไม่รู้จะพูดอะไรออกมา

ดังนั้นเวลาที่เหลือ ศิษย์พี่หวงก็ทำการสาบานตามกฎของผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธโดยทั่วไป

หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็ลากลับไป

ผู้อาวุโสชุดดำที่ยังอยู่ในห้องโถงจ้องมองหยดของเหลวสีดำด้วยสีหน้าตื่นเต้น

หลิ่วหมิงไม่ได้กลับไปยังที่พัก แต่กลับเลี้ยวไปยังหอเก็บคัมภีร์

“อะไรนะ! ศิษย์น้องต้องการตำราโอสถอาจารย์จิตวิญญาณที่สามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้ทั้งหมดหรือ?” ในหอเก็บคัมภีร์ ผู้อาวุโสสวมชุดคลุมยาวสีแดงที่นามว่า ‘เลี่ยวเฟิง’ ถามหลิ่วหมิงด้วยความตกใจ

“ใช่แล้ว! ช่วงนี้ข้าสนใจการปรุงโอสถ ดังนั้นจึงอยากศึกษาเล็กน้อย” หลิ่วหมิงกระพริบตา และกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

ผู้อาวุโสชุดคลุมสีแดงได้ยินเช่นนี้ ย่อมแสดงสีหน้าแปลกใจออกมา ผ่านไปไม่นานก็ถามด้วยสีหน้าสงสัย

“ศิษย์น้องต้องการตำราการปรุงโอสถนั้น ย่อมไม่มีปัญหา แต่ต้องใช้แต้มคุณูปการหนึ่งพันแต้มแลกกับตำราโอสถหนึ่งแผ่น และต้องสาบาน ณ ที่นี้ว่าจะไม่ถ่ายทอดให้คนอื่นเด็ดขาด”

“ได้! ไม่มีปัญหา” หลิ่วหมิงตอบรับอย่างเด็ดขาด

ผู้อาวุโสชุดแดงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรมาก พอเขาสะบัดแขนเสื้อ ทั้งสองก็หายวับไปในห้องลับของหอเก็บคัมภีร์

ชั่วเวลาหนึ่งเค่อต่อมา หลิ่วหมิงเหาะออกจากหอเก็บคัมภีร์แล้วมุ่งหน้าไปยังเขาเก้าทารก

ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงนั่งขัดสมาธิอยู่บนเบาะ เขาขมวดคิ้วมองหนังอสูรสีขาวตรงหน้า บนนั้นมีอักขระขนาดเท่ามดเขียนอยู่เต็มไปหมด

เมื่อเขาอ่านจบ ก็ถอนหายใจยาวออกมา ขณะเดียวกันก็กล่าวด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปมา

“คิดไม่ถึงว่าโอสถระดับอาจารย์จิตวิญญาณจะซับซ้อนเช่นนี้ ยังต้องใช้สมุนไพรจิตวิญญาณหลากหลายชนิดมาเสริม ดูท่าคงไม่สามารถปรุงออกมาภายในระยะเวลาสั้นๆ ได้ ช่างเถอะ! ทานสมุนไพรจิตวิญญาณฟ้าดินเหล่านั้นโดยตรงดีกว่า แม้ว่าผลลัพธ์จะลดน้อยลงไปมาก แต่ก็ช่วยเพิ่มพลังเวทย์ได้ไม่น้อย ตอนนี้ไม่สามารถคิดเรื่องไกลตัวได้ ควรจะเพิ่มพลังเวทย์ของตนเองกับรักษาชีวิตในการทำศึกกับเผ่าเจ้าสมุทรก่อน แล้วค่อยไปคิดเรื่องอื่นทีหลัง”

หลังจากหลิ่วหมิงพูดพึมพำเสร็จ ก็คว้ามือข้างหนึ่งไปยังแขนอีกข้างทันที ทันใดนั้นตลับหยกขนาดแตกต่างกันหลายใบก็ปรากฏออกมา พอเขาสะบัดแขนเสื้อ สิ่งของทั้งหมดก็ค่อยๆ ร่วงลงตรงหน้า

เมื่อเขาโบกมือออกไป ตลับหยกรูปสี่เหลี่ยมผืนผ้าใบหนึ่งก็ลอยเข้ามา หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ฝาของมันก็ถูกเปิดออก เผยให้เห็นโสมคนทองคำที่อยู่ข้างใน

โสมคนมีขนาดเท่าแขน ยาวประมาณสองฉื่อ แขนขาทั้งสี่และศีรษะล้วนมองเห็นได้อย่างชัดเจน และยังส่งกลิ่นหอมยั่วยวนใจมาก

มันคือสมุนไพรจิตวิญญาณฟ้าดินที่เขาได้มาจากแดนลึกลับในตอนนั้น ดูจากสีและความหอมของมัน คงจะมีอายุหลายพันปีแล้ว แม้ตอนนี้จะทานดิบๆ เข้าไป ก็ยังสามารถเพิ่มพลังเวทย์ได้เท่าหนึ่ง

เพียงแต่ในตอนนั้นหลิ่วหมิงรู้สึกว่า ถ้าทานสมุนไพรนี้ในตอนที่เป็นศิษย์จิตวิญญาณ มันดูสิ้นเปลืองจนเกินไป ดังนั้นจึงเก็บมาจนถึงทุกวันนี้

นอกจากโสมคนทองคำแล้ว เขายังมีสมุนไพรที่เพิ่มพลังเวทย์ของอาจารย์จิตวิญญาณอยู่หลายต้น เพียงแต่ว่าผลลัพธ์มันอาจจะด้อยไปกว่าหน่อย

จากการประเมินการของหลิ่วหมิง ถ้าทานสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้ลงไปทั้งหมดล่ะก็ แม้อาจจะไม่สามารถผลักดันระดับการฝึกฝนไปถึงระดับของเหลวขั้นกลางได้ แต่ก็ลดทอนการฝึกฝนอย่างยากลำบากไปได้สิบปีกว่า

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ ก็ดึงกระบี่สั้นสีเขียวออกมา เพื่อฝานโสมคนสีทองออกเป็นแผ่นบางๆ และหยิบใส่ปากเคี้ยวทันที

กลิ่นหอมกระจายไปทั่วปาก พริบตาเดียวก็ลื่นลิ้นเป็นอย่างมาก เพียงแค่กลืนเบาๆ ก็หล่นลงท้องทั้งหมด

ตอนนั้น เขาเพียงแค่รู้สึกร้อนที่ท้อง จากนั้นกระแสร้อนก็พุ่งไปยังทุกส่วนของร่างกายอย่างบ้าคลั่ง ใบหน้าเขาก็กลายเป็นสีแดงเข้ม

หลิ่วหมิงไม่กล้าชักช้า เขารีบเก็บของทั้งหมดทันที มือทั้งสองทำท่ามือก่อนที่ไอสีดำจะพวยพุ่งออกมา ผ่านไปไม่นานมันก็ปกคลุมร่างของเขาไว้ทั้งหมด

เวลาค่อยๆ ผ่านไป ไอดำในห้องลับก็รวมตัวกันมากยิ่ง ขณะเดียวกันกลิ่นไอของหลิ่วหมิงที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้นมา

ผ่านไปไม่นาน ห้องลับก็เต็มไปด้วยไอสีดำที่ปกคลุมอยู่ และยังมีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” ราวกับประทัดดังออกมา

ครึ่งวันผ่านไป ไอดำทั้งหมดม้วนตัวพวยพุ่งไปยังใจกลางห้อง พริบตาเดียวก็กลายเป็นแถบสีดำยาวๆ กว้างประมาณหนึ่งฝ่ามือ และหมุนวนอยู่รอบตัวหลิ่วหมิง

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงที่หลับตาสนิทก็พลันลืมตาขึ้นมา ใบหน้าเต็มไปด้วยความตกใจระคนดีใจ

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด