ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 268 จู่โจม

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 268 จู่โจม at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หรือว่าสหายหยวนหมัวทะลวงคอขวดระดับแก่นเสมือนแล้ว และกำลังทดลองทำผลึกให้เป็นแก่นอยู่” ครั้งนี้กลับเป็นผู้อาวุโสหลิงอวี้จากหอสายธารโลหิต ถามขึ้นมาด้วยสีหน้าแปลกใจเป็นอย่างมาก

“เรื่องนี้ข้าไม่รู้จริงๆ ที่พูดออกไปในก่อนหน้านั้น เป็นแค่การคาดเดาของข้า สหายทุกท่านอย่าได้จริงจังไปเลย” เฮ่อเจียนหาวและกล่าวออกมา

คนอื่นๆ กลับมองหน้ากัน มีไม่กี่คนที่ไม่เชื่อคำพูดของชายฉกรรจ์เกราะดำ

“เอาล่ะ! ต่อให้สหายหยวนจะมีความหวังในการทำผลึกให้เป็นแก่นแท้ และกลายเป็นผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในตำนาน ก็ไม่อาจมาช่วยพวกเราได้ทัน พวกเราต้องเอาชนะกองทัพเผ่าเจ้าสมุทรในศึกนี้ และคงต้องให้สหายร่วมมือร่วมแรงกัน” ในที่สุดเหลิ่งเยวี่ยซือไท่ก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“แน่นอนอยู่แล้ว! ขอพูดตามจริง ครั้งนี้กองกำลังสนับสนุนในแผ่นดินของพวกข้า ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม กลุ่มที่มาแคว้นต้าเสวียนของพวกเจ้าค่อนข้างจะน้อยกว่ากลุ่มนั้นมาก ซึ่งมาแค่พวกเราสามนิกาย ส่วนอีกกลุ่มคือนิกายเอกะกับนิกายใหญ่น้อยอีกสิบสามนิกาย ร่วมมือกันส่งกองกำลังสนับสนุนมา ลำพังแค่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกก็มีมากว่าเจ็ดคนแล้ว เพียงแค่ทางด้านต้าเสวียนประคองสถานการณ์ไว้ได้พวกเราก็ไม่แพ้แล้ว พอกองกำลังจากอีกด้านกวาดล้างเผ่าเจ้าสมุทรฝั่งนั้นจนเกลี้ยง และกลับมาเสริมพวกเรา เผ่าเจ้าสมุทรฝั่งนี้ก็จะแพ้โดยปริยาย ดังนั้นข้าคิดว่าศึกในครั้งนี้ ควรจะปลอดภัยไว้ก่อน” หญิงเสื้อม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ท่านเซียนกล่าวไม่ถูกต้อง! พวกเราเผชิญกับเผ่าเจ้าสมุทรที่โหดร้ายเช่นนี้ จะฝากความหวังทุกอย่างไว้ที่สนามรบอีกแห่งได้อย่างไร ถ้าเกิดอะไรที่ไม่คาดคิดกับศึกครั้งนี้ล่ะจะทำอย่างไร? ไม่ว่าอย่างไรก็ตามพวกเราต้องทุ่มเทพลังทั้งหมด อย่าได้ออมมือเป็นอันขาด” เย่เทียนเหมยได้ยินเช่นนี้ ก็เลิกคิ้วกล่าวออกมา

“ในเมื่อน้องเย่กล่าวเช่นนี้ ข้าเองก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ แต่ศิษย์นิกายหมื่นมหัศจรรย์ของเราส่วนมากไม่ชำนาญการต่อสู้แบบซึ่งหน้า ข้าไม่อาจนั่งดูดายให้ศิษย์ในนิกายบาดเจ็บสาหัสหรือเสียชีวิตได้ มิเช่นนั้นข้าคงไม่รู้จะกลับไปอธิบายกับนิกายอย่างไรดี” หญิงงามชุดม่วงกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

พอคำพูดนี้ออกจากปาก ผู้อาวุโสหลิงอวี้และคนอื่นๆ ก็คิ้วขมวดขึ้นมาอย่างช่วยไม่ได้

“วางใจเถอะ! ถ้าเป็นการต่อสู้แบบเผชิญหน้าล่ะก็ มอบให้นิกายหยวนหมัวของพวกเราเถอะ ศิษย์นิกายเราชอบการสังหารมากที่สุด นิกายหมื่นมหัศจรรย์ของพวกเจ้าเชี่ยวชาญการซ่อนตัว พอถึงเวลานั้นก็ให้ความมือกับศิษย์นิกายเราก็พอแล้ว” เฮ่อเจียนโบกมือกล่าวอย่างไม่ใส่ใจ

หญิงชุดม่วงได้ยินก็ตกปากรับคำไปตามน้ำ

“แม้นิกายแสงคุณธรรมของเราจะไม่ชำนาญการสังหารเหมือนกับนิกายหยวนหมัว แต่ค่อนข้างมั่นใจการเสริมแรงกับการใช้ค่ายกล เชื่อว่าพอถึงเวลาคงให้บทเรียนที่ยากจะลืมเลือนกับเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านั้นได้” กู้ฉางเฟิงแห่งนิกายแสงคุณธรรมกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“สหายเฮ่อ! พลังของศิษย์ในนิกายพวกท่านทั้งสาม ต่างก็เสริมกันและกันได้พอดี บวกกับยังไม่เคยร่วมมือกับนิกายทั้งห้าเรามาก่อน ก็คิดจะสร้างกองกำลังทำศึกเองโดยไม่ให้นิกายทั้งห้าของพวกเราเข้าร่วมได้อย่างไร พอถึงเวลานั้นนิกายทั้งสามของพวกท่าน เพียงแค่ตรึงกำลังส่วนหนึ่งของเผ่าเจ้าสมุทรไว้ก็พอแล้ว เรื่องการโจมตีกองกำลังเผ่าเจ้าสมุทรนั้น มอบให้นิกายทั้งห้าของเราจัดการเถอะ! แต่ถ้าผู้ฝึกฝนระดับผลึกของฝ่ายตรงข้ามลงมือล่ะก็ หวังว่าท่านจะทั้งสามจะยื่นมือเข้าช่วย” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

อาจารย์อาเยี่ยน และผู้อาวุโสหลิงอวี้ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่ได้รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย เห็นได้ชัดว่าได้ทำการหารือเรื่องนี้ไว้แต่แรกแล้ว

“สำหรับพวกข้าทั้งสามแล้ว เรื่องนี้ย่อมไม่มีปัญหา!” เฮ่อเจียนได้ยินก็ตอบรับทันที

หญิงงามชุดม่วงกับกู้ฉางเฟิงก็ไม่มีข้อคัดค้านใดๆ เห็นได้ชัดว่าพวกเขาก็คิดเช่นนี้เช่นกัน

สำหรับนิกายทั้งสามของพวกเขาแล้ว ถ้าศิษย์ในนิกายต่อสู้เพียงลำพังล่ะก็ อาจถูกนิกายในแคว้นต้าเสวียนใช้เป็นเป้าลูกกระสุน

“น่าเสียดาย! ถ้าครั้งนี้มีอาจารย์จิตวิญญาณเพิ่มขึ้นมาอีกสองสามคนล่ะก็ พวกเราคงมีความมั่นใจในการกำชัยชนะมากขึ้น” อาจารย์อาเยี่ยนถอนหายใจกล่าวออกมา

“พี่เยี่ยน ไม่ใช่ว่านิกายของพวกเราไม่ยอมยื่นมือช่วยพวกท่าน แต่พวกเราแต่ละนิกายต่างก็มีศัตรูของตนเอง ถ้าผู้ฝึกฝนระดับผลึกออกจากนิกายไปจนหมด เกรงว่าคงจะถูกศัตรูโจมตีอย่างแน่นอน เพราะนิกายในแผ่นดินของเราไม่ได้ส่งกองกำลังสนับสนุนมาทุกนิกาย” ครั้งนี้กู้ฉางเฟิงกล่าวด้วยความเคอะเขินเล็กน้อย

“เหตุผลนี้พวกข้าย่อมเข้าใจ ดังนั้นพวกข้าจึงรู้สึกซึ้งใจที่สหายทั้งสามส่งกองกำลังสนับสนุนมาช่วย เพียงแค่แคว้นต้าเสวียนเราสามารถหนีพ้นด่านเคราะห์ครั้งนี้ไปได้ พวกข้าจะต้องจดจำบุญคุณนี้ไว้อย่างแน่นอน” เหลิ่งเยวี่ยซือไท่กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม แม้จะไม่มีรอยยิ้มปรากฏบนใบหน้า แต่ใครก็ฟังออกว่าคำพูดนี้ออกมาจากใจจริงๆ

อาจารย์อาเยี่ยนและคนอื่นๆ ก็กล่าวขอบคุณด้วยความซึ้งใจเช่นกัน

สำหรับผู้ฝึกฝนระดับพวกเขาแล้ว ไม่จำเป็นต้องสาบานอะไรเลย เพียงแค่แสดงความจริงใจออกมาตรงๆ ก็พอแล้ว

หญิงสาวชุดม่วงและคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ยิ้มให้กัน และกล่าวออกมาอย่างสุภาพ

เวลาต่อมา ผู้อาวุโสระดับผลึกเหล่านี้เริ่มหารือเรื่องแผนการรับมือกับศัตรูในสามวันให้หลัง

เดิมทีพวกเขาได้เตรียมแผนไว้แผนหนึ่งแล้ว แต่พอเห็นปฏิกิริยาของเผ่าเจ้าสมุทรผิดปกติเช่นนี้ ย่อมต้องวางแผนให้รัดกุมมากขึ้น เพื่อที่ว่าจะได้ไม่มีอะไรผิดพลาดในแผนการนี้

……

สองวันต่อมา คนกลุ่มหนึ่งออกไปจากกำแพงเมืองทางด้านหลังอย่างไร้สุ้มเสียง โดยถูกชั้นจำกัดลึกลับบางอย่างปกคลุมไว้ จากนั้นก็ตีแผ่เป็นวงกลมขนาดใหญ่ และเหาะพุ่งไปทางด้านเผ่าเจ้าสมุทรอย่างระมัดระวัง

คนที่อยู่ในกลุ่มนี้ ไม่ได้มีแค่หลิ่วหมิง จางซิ่วเหนียง ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเท่านั้น แต่ยังมีอาจารย์จิตวิญญาณชายหญิงสองคนที่มีกลิ่นไอแข็งแกร่งเป็นผู้นำ ดูจากเสื้อผ้าการแต่งกายแล้ว ทั้งสองเป็นอาจารย์จิตวิญญาณจากนิกายวาตอัคคี และหอสายธารโลหิต ทั้งยังมีระดับฝึกฝนอยู่ที่อาจารย์จิตวิญญาณขั้นปลาย

ผู้ชาย สวมชุดคลุมสีเลือด อายุราวๆ สี่สิบกว่าปี ใบหน้าหล่อเหลา ผมขาวเต็มศีรษะ สะพายดาบที่ดูธรรมดาเป็นอย่างมาก ทำให้รู้สึกถึงกลิ่นไอที่อึมครึม

หญิงสาวที่อยู่ด้านข้าง เป็นหญิงงาม ผมสีเขียว รูปร่างงดงาม ไม่เพียงแต่มีสัดส่วนที่ลงตัวเท่านั้น ใบหน้ายังขาวเนียนเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้พบเห็นรู้สึกใจเต้นขึ้นมา

นางถือแผ่นค่ายกลสีทองที่ประณีตเป็นอย่างมาก และปล่อยม่านแสงกึ่งโปร่งแสงออกมาปกคลุมคนทั้งหมดไว้

ถ้ามีคนมองมาจากที่ไกลๆ จะเห็นว่าม่านแสงนี้เดี๋ยวผลุบเดี๋ยวหาย และเห็นแค่ความว่างเปล่าเท่านั้น โดยไม่เห็นร่องรอยของคนที่อยู่ในนี้เลยแม้แต่น้อย

ครึ่งชั่วยามผ่านไป คนทั้งห้าก็มองเห็นทะเลสาบยักษ์ขนาดหลายหมื่นจั้งอยู่ลางๆ

ตรงจุดศูนย์กลางของทะเลสาบ มีคูเมืองยักษ์ที่มีขนาดไม่ด้อยไปกว่าเมืองยักษ์ของนิกายทั้งห้าลอยอยู่ สิ่งก่อสร้างด้านในล้วนเป็นรูปครึ่งวงกลม ทำให้รู้สึกลึกลับเป็นอย่างมาก

บริเวณคูเมืองจะเห็นเงาร่างพร่ามัวของอสูรสมุทรขนาดใหญ่แต่ละตัว และในทะเลสาบยักษ์มีอสูรสมุทรตัวอื่นๆ อยู่เป็นจำนวนมาก

เหนือทะเลสาบ มีเผ่าเจ้าสมุทรที่ขี่วิหคสมุทรอยู่จำนวนหนึ่ง พวกเขาตรวจตราพื้นที่ในระยะสิบกว่าลี้อยู่ตลอดเวลา

ถ้าไม่ใช่ว่าพวกหลิ่วหมิงอยู่ห่างจากทะเลสาบไกลมาก และมีอาวุธซ่อนตัวไว้ล่ะก็ เกรงว่าคงถูกเผ่าเจ้าสมุทรเหล่านี้ค้นพบเข้าแล้ว

ขณะนี้ทั้งหมดได้หยุดการเคลื่อนไหวลง

หญิงสาวชุดเขียวสังเกตดูเกาะยักษ์ที่อยู่ไกลๆ และส่งเสียงให้กับชายหนุ่มผมขาวไม่กี่ประโยค จากนั้นก็พุ่งลงด้านล่างทันที

คงพวกเขาค่อยๆ เหาะลงไปในป่าแห่งหนึ่ง

หญิงสาวชุดเขียวไม่ต้องพูดอะไร ชายหนุ่มผมขาวก็สะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน กลุ่มแสงสีเหลืองพุ่งออกมา และพริบตาที่หล่นลงพื้น มันก็กลายเป็นตัวนิ่มสีเหลืองที่ยาวหลายฉื่อ

ชายผมขาวที่สวมชุดนิกายหอสายธารโลหิต กล่าวอะไรออกมาโดยไร้สุ้มเสียงไม่กี่ประโยค จากนั้นอสูรตนนี้ก็รีบขุดดินอย่างรวดเร็ว เศษดินจำนวนมากกระเด็นออกมา

……

หนึ่งชั่วยามผ่านไป หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ก็ลงไปอยู่ในโพรงใต้ดินที่ลึกสามสิบกว่าจั้ง

“เอาล่ะ! ตอนนี้คนเผ่าเจ้าสมุทรไม่อาจรับรู้ความเคลื่อนไหมของพวกเราได้ พวกเจ้าเองก็สามารถพูดได้แล้ว” หญิงสาวชุดเขียวเสียบแผ่นค่ายกลสีทองไว้เหนือโพรง และถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

น้ำเสียงของนางอ่อนนุ่ม เสนาะหูเป็นอย่างมาก

“ศิษย์พี่โม่ ตอนนี้บอกพวกข้าทั้งสามได้หรือยังว่าภารกิจในครั้งนี้เป็นอย่างไร?” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นรีบถามออกมาอย่างอดไม่ได้

“ก่อนออกเดินทางมา ศิษย์น้องทั้งสาม ไม่ได้รับการแจ้งเตือนบ้างเลยหรือ?” หญิงสาวชุดเขียวกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ไม่เลย! ข้าเพียงแค่ถูกประมุขนิกายเรียกไปพบ บอกว่ามีภารกิจสำคัญเกี่ยวกับชัยชนะของศึกในครั้งนี้ให้ไปทำ จากนั้นให้ฟังคำแนะนำของศิษย์พี่โม่กับศิษย์พี่เซวี่ยเฟิงก็พอแล้ว” ชายแซ่อวิ๋นตอบอย่างไม่ลังเล

“ข้าก็เช่นกัน!” จางซิ่วเหนียงค่อยๆ กล่าวออกมา

หลิ่วหมิงพยักหน้าด้วยสีหน้าปกติ แต่รู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

เพราะเขาก็ถูกประมุขนิกายปีศาจส่งออกมาเช่นนี้ ทั้งยังให้เขานำปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกมาด้วย

ด้วยเหตุนี้ แม้เขาจะไม่รู้รายละเอียดที่เป็นรูปธรรมของภารกิจในครั้งนี้ แต่ก็พอรู้ว่ามันจะต้องอันตรายเป็นอย่างมาก

“ดูท่าการรักษาความลับในครั้งนี้ จะทำได้ไม่เลว ผู้ที่รู้รายละเอียดของภารกิจในครั้งนี้ นอกจากข้า เซวี่ยเฟิง และผู้อาวุโสระดับผลึกแล้ว แม้แต่ประมุขนิกายก็รู้กันไม่ค่อยมาก พวกเรารู้แค่ว่าภารกิจของพวกเราในครั้งนี้ จำเป็นต้องพึ่งพากำลังศึกอันทรงพลังรองลงมาจากระดับผลึกของแต่ละนิกาย จึงจะสามารถทำได้สำเร็จ” ศิษย์พี่โม่ค่อยๆ กล่าวออกมา

พอได้ยินเช่นนี้ พวกหลิ่วหมิงก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้

ประจักษ์ชัดว่า ทั้งสามก็คิดไม่ถึงว่า ตนเองจะเป็นกำลังศึกที่รองลงมาจากระดับผลึก

“มีเรื่องเช่นนี้ด้วย ต้องขอคำชี้แนะจากศิษย์พี่แล้ว” ความประหลาดใจบนใบหน้าจางซิ่วเหนียงหายไป และนางก็กล่าวออกมาอย่างสุภาพ

“ง่ายมาก เป้าหมายของพวกเราคือทำลายค่ายของเผ่าเจ้าสมุทร ซึ่งก็คือเมืองลอยน้ำที่เห็นในเมื่อครู่!” ชายหนุ่มผมขาวค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด