ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 271 สู้รบขั้นเด็ดขาด (2)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 271 สู้รบขั้นเด็ดขาด (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ร่างของราชาปีศาจขยายขึ้นหนึ่งเท่าในทุกๆ ย่างก้าว พอมันก้าวเท้า “ตึงๆ!” เพียงไม่กี่ก้าว ร่างของมันก็มีขนาดใหญ่หลายสิบจั้ง กระบองยักษ์ในมือก็ขยายใหญ่ร้อยจั้ง มือทั้งสองที่จับกระบองฟาดออกไปด้านหน้า

“ตู๊ม!”

เงากระบองสีเทาจางๆ ยาวสิบกว่าลี้โผล่ขึ้นบนอากาศเหนือเผ่าเจ้าสมุทร และส่งเสียงดังหวึ่งๆ ก่อนหล่นลงด้านล่าง น้ำทะเลด้านล่างแยกออกจากกันด้วยพลังไร้รูป คิดไม่ถึงว่ามันจะถูกเงากระบองตัดออกเป็นสองส่วน

หลังจากพื้นดินสั่นสะเทือนขึ้นมา ก็บังเกิดร่องน้ำขนาดใหญ่ที่ทอดยาวสุดลูกหูลูกตา

เผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทรที่อยู่บริเวณนั้นล้มตายเป็นจำนวนมาก

อานุภาพกระบองของราชาปีศาจแข็งแกร่งเป็นอย่างมาก

ในขณะที่ราชาปีศาจไร้หัวของนิกายปีศาจปรากฏตัวนั้น ก็มีแสงสีดำแดงม้วนตัวออกจากยอดเขาดำของนิกายวาตอัคคี จากนั้นก็รวมตัวเป็นวิหคยักษ์สีแดง และสีดำที่ลำตัวยาวสามสิบกว่าจั้ง วิหคยักษ์ทั้งสองบินพุ่งออกไปพร้อมเสียงร้องแหลม

ภายใต้การกระพือปีกของวิหคตัวหนึ่ง ก่อให้เกิดเป็นคมวายุจำนวนมากฟาดฟันออกไปด้านหน้า

ส่วนอีกตัวก็อ้าปากพ่นลูกเปลวไฟขนาดเท่าศีรษะออกไปอย่างบ้าคลั่ง

หลังจากหุ่นจำนวนมากที่อยู่บนเมืองไม้ดำของหุบเขาเก้าช่องออกไปจนหมด มันก็เปลี่ยนรูปร่างท่ามกลางเสียงที่ดังโครมคราม จนกลายเป็นหุ่นมนุษย์ที่สูงหลายร้อยจั้ง แขนใหญ่ยักษ์ค้ำฟ้าทั้งสองชี้ไปด้านหน้า ลำแสงสีขาวน้ำนมจำนวนมากพุ่งออกจากปลายนิ้วไปยังกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร

ส่วนบรรดาศิษย์นิกายจันทราสวรรค์ ภายใต้การกระตุ้นของอาจารย์จิตวิญญาณ พวกเขาต่างก็พากันตั้งค่ายกลกระบี่ที่มีขนาดแตกต่างกัน เพื่อรวมพลังกระตุ้นแสงกระบี่ต่างๆ ที่ยาวหลายจั้ง ก่อนฟาดฟันออกไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง

ภายใต้การกระตุ้นของศิษย์นิกายหยวนหมัวและอีกสองนิกาย พวกเขาเรียกหน้าปีศาจยักษ์สีเขียวมันขลับ และผีเสื้อหลากสีที่สูงสิบกว่าจั้งออกมาหนึ่งตัว

ตัวหนึ่งอ้าปากพ่นวายุปีศาจอันน่าสะพรึงกลัวออกมา ส่วนอีกตัวก็กระพือปีกทั้งสองตามแรงลม ก่อให้เกิดเป็นผงระยิบระยับจำนวนมากล่องลอยออกไป

ม่านวารี และเลือดเนื้อของเผ่าเจ้าสมุทรกับอสูรสมุทรที่ถูกม้วนเข้าไปในวายุปีศาจ ต่างก็แห้งเหี่ยวอย่างรวดเร็ว และค่อยๆ สลายไป พริบตาตาเดียวศพแห้งๆ ก็หล่นลงจากอากาศ

และเผ่าเจ้าสมุทรที่สัมผัสโดนผงระยิบระยับ ก็หน้าแดงขึ้นมาฉับพลัน ร่างกายก็สั่นสะท้านอยู่ไม่หยุด จากนั้นเปลวเพลิงสีแดงก็พุ่งออกจากหูจมูก และเผาไหม้ตนเองจนเสียชีวิต

ขณะที่ทางมนุษย์พยายามใช้ทุกวิถีทางโจมตีนั้น ทางฝั่งเผ่าเจ้าสมุทรก็ไม่ยอมน้อยหน้า!

ท่ามกลางเสียงร่ายคาถา เผ่าเจ้าสมุทรรวบรวมน้ำทะเลจำนวนมากจนกลายเป็นยักษ์สีฟ้าห้าหัวที่สูงหลายร้อยจั้ง แม้ว่าจะมีมือเท้าทั้งสี่ครบ แต่ใบหน้าสีฟ้ากลับราบเรียบ ไม่มีอวัยวะใดๆ เลยแม้แต่น้อย และมือทั้งสองก็กำกระบี่ยักษ์ยาวร้อยจั้งที่กลายร่างมาจากน้ำทะเล

พอมนุษย์วารียักษ์ปรากฏตัวออกมา สองหัวก็หันไปปะทะกับราชาปีศาจ อีกหัวก็โจมตีไปยังหุ่นที่กลายร่างมาจากเมืองไม้ดำนั้น อีกสองหัวที่เหลือก็รับมือกับค้างคาวโลหิตกับหุ่นอสูรที่เฮโลเข้ามา

อสูรสมุทรสิบกว่าตนที่มีรูปร่างน่าตกใจ ก็พุ่งออกจากกองกำลังของเผ่าเจ้าสมุทร เพื่อโจมตีม่านแสงของมนุษย์

สำหรับอสูรสมุทรตนอื่นๆ ส่วนหนึ่งปะทะเข้าใส่หุ่นอสูร อีกส่วนหนึ่งก็ตามติดอสูรยักษ์ตนอื่นๆ เพื่อโจมตีม่านแสงที่ปกคลุมมนุษย์อย่างบ้าคลั่ง

ที่น่าตกใจยิ่งกว่าก็คือ หลังจากมีเสียงแหลมแสบแก้วหูดังออกมาจากเมฆดำที่อยู่เหนือเผ่าเจ้าสมุทร ปลาวาฬสีขาวที่ลำตัวยาวสามสิบจั้ง จำนวนสิบกว่าตัวก็พุ่งออกจากในนั้น รอบด้านเต็มไปด้วยพื้นที่น้ำทะเลขนาดใหญ่ร้อยหมู่ลอยวนอยู่

ท่ามกลางน้ำทะเล มีแสงสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

ในขณะที่ผู้ฝึกฝนระดับสูงของมนุษย์กำลังตกตะลึงอยู่นั้น ก็มีเสียง “ซ่าๆ!” ดังมาจากน้ำทะเลกลางอากาศ จากนั้นมัจฉาบินสีเงินก็พุ่งออกมาเป็นจำนวนมาก

แต่ละตัวมีขนาดใหญ่ไม่เกินนิ้วโป้ง แต่กลับมีปีกตรงหลัง มีเขี้ยวแหลมคมเต็มปาก พริบตาเดียวมันก็กระจายไปทั่วท้องฟ้า

ไม่ว่าจะเป็นม่านแสงที่ปกป้องมนุษย์ ราชาปีศาจ หุ่นขนาดใหญ่เล็ก ค้างคาวโลหิต และหน้าปีศาจ ต่างก็ตกเป็นเป้าหมายการโจมตีของมัน

ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกขนลุกขนพองจนถึงขีดสุด

ขณะนั้นเอง ทางฝั่งมนุษย์ก็มีคนออกคำสั่งขึ้นมา จากนั้นม่านแสงที่ปกคลุมศิษย์แถวหน้าก็สลายไป ผู้คนทั้งหมดส่งเสียงตะโกนแล้วพากันขี่เมฆพุ่งออกไปด้านหน้า

พอเสียงสัญญาณดังขึ้น เผ่าเจ้าสมุทรตรงหน้าก็พุ่งออกไปด้านหน้าด้วยเช่นกัน

พริบตาเดียวทั้งสองฝ่ายต่างก็รบกันนัวเนีย

……

ณ โพรงใต้ดิน หลิ่วหมิงได้ลืมตาขึ้นมานานแล้ว และนั่งขัดสมาธินิ่งอยู่บนพื้นด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

คนอื่นๆ ก็เช่นกัน

เพื่อป้องกันไม่ให้เผ่าเจ้าสมุทรค้นพบ แม้พวกเขาทั้งห้าจะอยู่ภายในชั้นจำกัด แต่ก็ไม่กล้าส่งพลังจิตออกไปนอกโพรงเลยแม้แต่น้อย แต่ก็พอจะจินตนาการถึงการรบอย่างดุเดือดของทั้งสองฝ่ายได้

ศึกใหญ่ในครั้งนี้ ไม่ว่าฝ่ายใดจะชนะก็ตาม เกรงว่าจะต้องได้รับการบาดเจ็บ และสูญเสียไม่น้อย ซึ่งไม่อาจฟื้นคืนภายในระยะเวลาร้อยปีได้

ด้วยเหตุนี้ บวกกับภาระหนักอึ้งที่พวกเขากำลังเผชิญอยู่ ทำให้บรรยากาศในโพรงดินเคร่งขรึมเป็นอย่างมาก

แม้หญิงสาวชุดเขียวที่หัวเราะด้วยความสนุกสนานอยู่ตลอด ก็สำรวมในการพูดและหัวเราะมากขึ้น

“ศิษย์พี่โม่ เปิดศึกมานานขนาดนี้ คงได้เวลาพอสมควรแล้วล่ะ!” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นนั่งขัดสมาธิได้ครู่หนึ่ง ก็ถามออกมาอย่างอดไม่ได้

“ศิษย์น้องอวิ๋นอย่าได้ใจร้อนไป! พอถึงเวลาที่พวกเราต้องลงมือจริงๆ จะมีคนส่งสัญญาณมาเอง” หญิงสาวชุดเขียวกล่าวอย่างสงบ

พอได้ยินเช่นนี้ ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็แสยะปากอย่างอดไม่ได้

ด้วยลักษณะนิสัยของเขา การนั่งอย่างสงบเช่นนี้ เป็นเรื่องที่ทรมาณเป็นอย่างมาก มันยากที่จะอดทนได้

ในขณะที่เขาคิดจะพูดอะไรออกมาอีกนั้น พลันมีเสียงหวีดยาวที่แฝงไปด้วยความโมโหดังขึ้นจากบนพื้น มันดังเข้ามาในโพรงด้านล่างจนทำให้พวกเขาได้ยินอย่างชัดเจน

จากนั้นพลังจิตอันแข็งแกร่งที่ให้คนรู้สึกหวาดกลัวก็กวาดผ่านเหนือโพรง แต่พอเจอกับชั้นจำกัดที่ปกคลุมโพรง ก็กวาดผ่านไปอย่างรวดเร็ว และไม่ค้นพบผู้ที่อยู่ในโพรงแม้แต่คนเดียว

“ผู้ฝึกฝนระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทร!” ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นหลุดปากออกมา

คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

และพลังจิตอันแข็งแกร่งยังคงกวาดดูพื้นที่บริเวณนั้นอยู่ไม่หยุด เห็นได้ชัดว่ากำลังหาใครบางคนอยู่

ทำให้พวกเขาทั้งห้ารู้สึกไม่ปลอดภัยขึ้นมา

เสียงหวีดยาวหยุดชะงักในฉับพลัน พลังจิตอันแข็งแกร่งถอนกลับไปราวกับน้ำไหลทะลัก เสียงเดือดเป็นฟืนเป็นไฟดังมาจากเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร

“ไอ้มนุษย์ชั่วช้า! พวกเจ้ากล้าสังหารคนของข้าอย่างโหดเหี้ยม ข้าจะถลกหนังดึงเอ็นพวกเจ้า ถึงจะสมกับสมญานามผู้ปกป้องเผ่าของข้า!”

พอกล่าวจบ กลิ่นไออันน่ากลัวอย่างสุดขีดก็พุ่งออกจากเมืองลอยน้ำของเผ่าเจ้าสมุทร และพุ่งออกไปไกลๆ ด้วยระดับความเร็วที่ยากจะบรรยายได้ พริบตาเดียวก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็ค่อยๆ หนักอึ้งขึ้นมา

ดูเหมือนว่าเสียงนี้ จะเป็นน้ำเสียงผู้อาวุโสระดับผลึกของเผ่าเจ้าสมุทรที่ลงมือกับเขาในวันนั้น

คงไม่บังเอิญถึงขนาดที่ว่า ผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่เฝ้าเมืองในวันนี้คือคนผู้นี้หรอกนะ!

ถ้าเป็นเช่นนี้จริงๆ เขาคงต้องเรียกกำลังวังชากลับมาเป็นอย่างมากแล้ว

ในขณะที่หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงความไม่ชอบมาพากลนั้น ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็ได้ยินเสียงอันน่าตกใจที่ดังมาจากด้านนอก จากนั้นเขาก็กล่าวออกมาด้วยความดีใจ

“เป็นคนของพวกเราอีกสองกลุ่ม ดูท่าพวกเขาคงลงมือสำเร็จแล้ว”

“รออีกหน่อย! ให้ผู้อาวุโสระดับผลึกของพวกเขาออกไปไกลกว่านี้อีกหน่อย มิเช่นนั้นด้วยระดับความเร็วของเขา สามารถใช้เวลาในการกลับมาแค่ชั่วครู่เท่านั้น” ชายหนุ่มผมขาวมองดูแผ่นค่ายกลสีเงินในมือแล้วกล่าวอย่างสงบ

หญิงชุดเขียวพยักหน้าเห็นด้วยเป็นอย่างยิ่ง

ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นก็ได้แต่พยักหน้าติดต่อกัน

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป แผ่นค่ายกลสีเงินในมือชายหนุ่มผมขาวก็ส่งเสียงดังหวึ่งๆ และปล่อยอักขระสีทองเล็กๆ ออกมาแถวหนึ่ง

“เอาล่ะ! ออกเดินทางได้! จำไว้ มีเวลาแค่หนึ่งก้านธูปเท่านั้น พอถึงเวลาไม่ว่าจะทำสำเร็จหรือไม่ พวกเราก็ต้องถอนตัวไปจากเมืองลอยน้ำทันที!” เซวี่ยเฟิงตะคอกออกมาด้วยตาที่เป็นประกาย

คนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ก็รู้สึกเย็นยะเยือก และตกปากรับคำกลับไป

จากนั้นคนทั้งห้าก็ขึ้นไปจากโพรงใต้ดิน

หลิ่วหมิงเพียงแค่กวาดสายตามองไปยังเมืองลอยน้ำ ก็มองเห็นควันดำที่พุ่งขึ้นจากกำแพงเมืองด้านหนึ่ง และผนังส่วนหนึ่งก็เป็นหลุมเป็นบ่อ เห็นได้ชัดว่าเป็นร่องรอยของการถูกโจมตี ขณะเดียวกันผิวน้ำบริเวณนั้นก็มีศพลอยอยู่เป็นจำนวนมาก ในนั้นมีทั้งเผ่าเจ้าสมุทรและอสูรสมุทร โลหิตสดๆ สาดไปทั่วพื้นผิวน้ำ

“ดูท่าคนอีกสองกลุ่มในก่อนหน้านี้คงลงมือไม่เบา! พวกข้าสองคนจะช่วยคุ้มครองพวกเจ้า พวกเจ้าลงมือเถอะ!” เซวี่ยเฟิงเห็นเช่นนี้ก็กล่าวออกมาด้วยประกายตาที่เยือกเย็น

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ไม่กล้าหน่วงเหนี่ยวอีกต่อไป

หลิ่วหมิงล้วงเข้าไปในแขนเสื้อควักกล่องหยกสีดำที่สูงฉื่อกว่าๆ ออกมา บนนั้นมียันต์ปิดผนึกอยู่เป็นจำนวนมาก

จางซิ่วเหนียงหยิบธงค่ายกลออกมาปึกหนึ่ง และโยนออกไปรอบด้าน จากนั้นค่ายกลแปลกประหลาดก็ปรากฏออกมาท่ามกลางแสงที่เปล่งประกาย

นางก้าวเข้าไปในค่ายกลทันที และนั่งขัดสมาธิลงไป

แต่ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นเพียงแค่สะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นลูกกลมๆ สีเลือดที่มีลวดลายสีทองปกคลุมอยู่ก็ถูกโยนออกมา

ชายหนุ่มเอานิ้วแตะหน้าผาก ขณะเดียวกันก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่ลูกกลมๆ

“ฟู่!” โลหิตบริสุทธิ์ระเบิดออกมา และกลายเป็นไอหมอกจมหายเข้าไปในลูกกลมๆ

ลูกกลมๆ ที่เดิมทีดูไร้ชีวิต ก็มีอักขระสีทองเปล่งประกายออกมาบนพื้นผิว และเปล่งลำแสงอันน่าตกใจออกมา

มือข้างหนึ่งของชายหนุ่มแซ่อวิ๋นทำท่ามือชี้ไปทางลูกกลมๆ อย่างบ้าคลั่ง

พอมีเสียงแตกหักดังออกมา ลูกกลมๆ สีเลือดก็พร่ามัวกลายเป็นหุ่นวานรสีทองที่สูงสองจั้ง

แต่หุ่นตัวนี้แตกต่างจากหุ่นวานรยักษ์ที่หลิ่วหมิงเคยพบเห็น มันไม่เพียงแต่มีผิวหนังกับขนสีทองที่ดูหนาๆ เท่านั้น ระหว่างคิ้วยังมีดวงตาโลหิตที่เปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง และยังเปล่งแสงเย็นสะท้านอันน่าตกใจออกมา ราวกับว่ามันเป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ

มีเพียงแค่ข้อต่อจุดสำคัญที่เป็นเหล็กสีดำกลมๆ ที่พอจะทำให้คนมองลักษณะเฉพาะของมันออกได้

พอชายหนุ่มแซ่อวิ๋นปล่อยวานรสีทองออกมา ก็กัดนิ้วตัวเองทันที และใช้โลหิตบริสุทธิ์เขียนอักขระไว้ระหว่างคิ้ว

ฉากอันน่าแปลกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว

อักขระที่อยู่ระหว่างคิ้วของชายหนุ่มแซ่อวิ๋นหมุนติ้วๆ จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นดวงตาปีศาจ นอกจากจะดูแข็งกระด้างไร้ชีวิตชีวาเล็กน้อยแล้ว ส่วนอื่นๆ ล้วนเหมือนกับดวงตาโลหิตที่อยู่ระหว่างคิ้วของวานรสีทองไม่มีผิด

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด