ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 274 สู้รบขั้นเด็ดขาด (5)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 274 สู้รบขั้นเด็ดขาด (5) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ขณะนี้ แสงสีฟ้าถึงพุ่งออกจากโถกลมๆ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้วก็กลายเป็นหญิงสาวชุดคลุมหลากสีสัน

ดูเหมือนนางจะมีอายุไม่เกินยี่สิบเอ็ดถึงยี่สิบสองปี ดวงตาสุกใสเป็นประกาย ระหว่างคิ้วมีกลิ่นไอบางอย่างที่บอกไม่ถูก ราวกับว่าไม่ใช่คนในโลกมนุษย์ แก้มทั้งสองข้างมีอักขระสีทองจางๆ ติดอยู่ ทำให้นางดูลึกลับมากขึ้น

ประจักษ์ชัดว่าวงแหวนสีฟ้าเมื่อครู่คือสิ่งของของนางนั่นเอง นางลงมือโจมตีจางซิ่วเหนียงกับชายหนุ่มแซ่อวิ๋นพร้อมกัน เห็นได้ชัดว่าพลังของนางล้ำลึกจนยากจะคาดเดาได้

พอได้เห็นฉากนี้ แม้แต่หลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าผิดปกติออกมา

ขณะนี้ จางซิ่วเหนียงก็สลัดตัวออกจากอ้อมกอดของหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าแดงก่ำ หลังจากกล่าวขอบคุณแล้ว ก็จ้องมองหญิงชุดคลุมหลากสีด้วยแววตาเยือกเย็น ขณะเดียวกันก็ชักกระบี่ยาวหิมะขาวออกมาอีกครั้ง

“ท่านคือใครกัน? คิดไม่ถึงว่าจะแอบซ่อนตัวอยู่ในอาวุธจิตวิญญาณเพื่อโจมตีพวกเรา นี่นับว่าเป็นความสามารถอย่างนั้นหรือ?” จางซิ่วเหนียงตะโกนถามออกไป

แต่หญิงสาวชุดหลากสีกลับกวาดตามองพวกหลิ่วหมิงอย่างไม่สะทกสะท้าน พอนางโบกมือกลางอากาศ วงแหวนสีฟ้าก็พุ่งกลับมา และค่อยๆ ตกลงบนมือนางอย่างมั่นคง จากนั้นนางก็กล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ซุ่มโจมตีผู้น้อยอย่างพวกเจ้าน่ะหรือ! ช่างน่าขันเสียจริง ข้าแค่พักผ่อนอยู่ในนั้นเพียงชั่วครู่เท่านั้น แต่ว่าเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสามของอวิ๋นชวนช่างไม่ได้เรื่องเลยจริงๆ บาตรพลิกสมุทรแค่ใบเดียวก็ไม่อาจคุ้มครองไว้ได้ ดูท่า! ถ้าข้าไม่ลงมือเองคงจะไม่ได้”

พอกล่าวจบ ร่างของนางก็ลอยขึ้น และเดินมาทางหลิ่วหมิงกับจางซิ่วเหนียงอย่างไม่สะทกสะท้าน

ส่วนวานรสามตาที่ชายหนุ่มแซ่อวิ๋นควบคุมอยู่นั้น แม้จะยังดิ้นสลัดให้หลุดพ้นจากพันธนาการอยู่ แต่ร่างของมันกลับอ่อนยวบยาบ กระดูกแต่ละชิ้นถูกโจมตีจนแตกละเอียด จนไม่สามารถลุกขึ้นมารับมือกับศัตรูได้

“ศิษย์น้องหลิ่ว เจ้ามีท่าไม้ตายอะไรรีบงัดออกมาให้หมด ถ้าพวกเราไม่สามารถโจมตีฝ่ายตรงข้ามให้ถอยไปได้ล่ะก็ เกรงว่าสถานที่แห่งนี้คงเป็นที่ฝั่งร่างของพวกเราแล้ว” จางซิ่วเหนียงเลิกคิ้วกล่าวกับหลิ่วหมิง จากนั้นก็อ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ใส่กระบี่ยาวในมือ หลังจากกวัดแกว่งเล็กน้อย กระบี่ยาวหิมะขาวก็กลายเป็นสีเลือด ขณะเดียวกันกลิ่นไอบนร่างก็เพิ่มขึ้นมาอย่างไม่คาดคิด ราวกับว่านางเข้าใกล้ระดับผลึกแล้ว

พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รีบปล่อยพลังเวทย์ใส่ป้ายกระดูกขาวอย่างไม่รอรี จากนั้นก็สะบัดไปด้านหลังทันที

แผ่นป้ายพร่ามัวหายวับเข้าไปในร่างของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูก

ครู่ต่อมา ปีศาจมนุษย์ก็เงยหน้าคำรามเสียงออกมา ไอดำบนร่างพวยพุ่งรวมตัวกันอย่างบ้าคลั่ง จากนั้นก็กลายเป็นเปลวเพลิงสีดำที่สูงหลายจั้ง

มือทั้งสองของปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกคว้าไปกลางอากาศ “ฟู่!” “ฟู่!” กระบี่ยักษ์สีดำยาวสิบกว่าจั้งก่อตัวขึ้นมา

พอหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชากระดูกดำกระตุ้น ปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกก็พุ่งเข้าหาหญิงสาวชุดคลุมหลากสีตรงหน้าทันที ขณะเดียวกันกระบี่ยักษ์ในมือทั้งสอง ต่างก็ฟันปราณกระบี่อันน่ากลัวออกไป

แต่พริบตาที่ปราณกระบี่สีดำม้วนตัวออกไป ก็มีเปลวเพลิงสีดำจำนวนมากพุ่งออกจากในนั้น หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็พุ่งโจมตีหญิงสาวชุดคลุมหลากสี

ขณะนี้ จางซิ่วเหนียงก็ตะโกนเสียงต่ำออกมา พริบตานั้นนางกับกระบี่ยาวในมือก็กลายร่างเป็นสายรุ้งสีเลือดอันน่าตกใจ และม้วนตัวเข้าหาหญิงสาวตรงหน้า

มันคือวิชาขี่กระบี่ ที่ต้องฝึกฝนถึงระดับขั้นกลางจึงจะผสานร่างกับกระบี่ได้

สำหรับกระบี่นี้ จางซิ่วเหนียงแทบจะปล่อยพลังออกไปทั้งหมด และภายใต้การเสริมแรงของโลหิตบริสุทธิ์ อานุภาพของมันก็ใกล้เคียงกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไปแล้ว

ในขณะเดียวกัน วานรสามตาที่เหมือนว่าไม่สามารถกระดิกตัวได้ ก็พยายามสะบัดหัว ทันใดนั้นดวงตาโลหิตที่อยู่ระหว่างคิ้วก็ลืมขึ้นมา

บังเกิดเสียงดังขึ้น!

ลำแสงสีเลือดพุ่งออกจากดวงตาไปยังด้านหน้าหญิงสาวชุดคลุมหลากสีทันที และก็ไปถึงก่อนเปลวเพลิงสีดำกับสายรุ้งสีเลือดก้าวหนึ่ง

หญิงสาวที่เผชิญหน้ากับการรวมพลังโจมตีของทั้งสาม กลับไม่ท่าทีรีบร้อนเลยแม้แต่น้อย แต่นางกลับทำเสียงฮึดฮัดออกมา จากนั้นก็ใช้มือทั้งสองหนีบวงแหวนสีฟ้าไว้ ขณะเดียวกันก็ร่ายคาถาออกมา

วงแหวนสีฟ้าขนาดใหญ่กระเพื่อมออกจากร่างของนาง ทุกที่วงแหวนพุ่งผ่านล้วนหยุดชะงักในฉับพลัน

ไม่ว่าจะเป็นลำแสงหรือเปลวเพลิงปีศาจ ล้วนถูกแสงสีฟ้ากวาดล้างจนค่อยๆ ดับไป

เปลวเพลิงสีดำที่ออกปากปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกฟันลงบนวงแหวน แต่พอแสงสีฟ้าม้วนตัวกลับ เปลวไฟสีดำบนร่างก็ดับไป ทำให้มันกลายเป็นภูเขาน้ำแข็งขนาดเล็ก ที่มีสีฟ้าแวววาว

โครงกระดูกยักษ์ที่อยู่ในน้ำแข็งไม่อาจกระดิกตัวได้อีก

และหลิ่วหมิงก็ขาดการติดต่อกับมันในพริบตา

พอสายรุ้งสีฟ้าที่กลายร่างมาจากจางซิ่วเหนียงสัมผัสโดนวงแหวนแสง มันก็จมเข้าไปในวงแหวนแสงครึ่งหนึ่งท่ามกลางเสียงดังเปรี๊ยะๆ จากนั้นก็หยุดค้างอยู่อย่างนั้น โดยไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

แต่จางซิ่วเหนียงยังคงพยายามกระตุ้นกระบี่ยาวในมืออย่างสุดชีวิต ทันใดนั้นกลิ่นไอกระบี่อันน่าตกใจก็พุ่งออกจากร่างของนาง พอแสงสีเลือดเปล่งประกายออกมาอย่างบ้าคลั่งก็มีเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” แสงสีฟ้าแตกกระจายออกเป็นเสี่ยงๆ

สายรุ้งสีเลือดกระพริบแสงทีเดียว ก็สามารถทะลวงแสงสีฟ้าที่ต้านทานไว้ได้ จากนั้นก็ม้วนตัวพุ่งไปยังหญิงสาวชุดคลุมหลากสีตรงหน้าอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

ดวงตาของหญิงสาวชุดคลุมหลากสีเปล่งประกายเล็กน้อย นางเผยสีหน้าประหลาดใจออกมาเป็นครั้งแรก จากนั้นนางก็สะบัดแขนเสื้อ ง้าวสั้นสามง่ามสีทองอร่ามปรากฏออกมา มันพร่ามัวไปฟันสายรุ้งอันน่าตกใจที่อยู่ตรงหน้า

ง้าวสามง่ามส่งเสียงดังหวึ่งๆ ออกมา แสงสีทองม้วนตัวออกไป

“ตู๊ม!” บังเกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

พอสายรุ้งสีเลือดที่มีพลังแข็งแกร่งสัมผัสโดนแสงสีทอง ก็ถูกโจมตีจนกระเด็นกลับไป มันกระพริบไม่กี่ทีก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ

พอลำแสงดับไป จางซิ่วเหนียงก็มาปรากฏตัวอยู่ข้างหลิ่วหมิงด้วยใบหน้าซีดขาว

แม้ว่านางจะมีปณิธานหนักแน่นมาโดยตลอด แต่สายตาของนางที่มองไปยังหญิงสาวชุดคลุมหลากสีในตอนนี้ กลับเต็มไปด้วยความหวาดผวา

“เคล็ดกระบี่ วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง! ไม่เลว! คิดไม่ถึงว่าอายุยังน้อยก็สามารถฝึกฝนเส้นทางกระบี่ได้ถึงขั้นนี้แล้ว น่าเสียดายที่พลังเวทย์ของเจ้าในตอนนี้ ไม่ได้เกิดจากการฝึกฝนของเจ้าเอง มิใช่เช่นคงมีโอกาสบีบให้ข้าล่าถอยได้” หญิงสาวชุดคลุมหลากสีจ้องมองจางซิ่วเหนียงด้วยสีหน้าประหลาดใจ และเอ่ยปากออกมา

“รีบหนีไป! คนผู้นี้ไม่ใช่คู่ต่อสู้ของพวกเจ้า หนีได้กี่คนก็หนีเท่านั้น!”

ชายหนุ่มผมขาวกับหญิงสาวชุดเขียวที่อยู่นอกลานกว้างเห็นเช่นนี้ ก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นชายหนุ่มผมขาวก็ตะโกนออกไป

พวกเขาทั้งสอง คนหนึ่งมุดหายลงไปใต้ดินอย่างไร้ร่องรอย โดยไม่สนใจเผ่าเจ้าสมุทรที่อยู่บริเวณนั้น

ส่วนอีกคนก็โบกยันต์ในมือ จากนั้นร่างของเขาก็กลายเป็นจุดแสงสีเขียวและสลายไป

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาขยี้ยันต์สีทองที่ควักออกมาตั้งแต่แรกแล้ว จากนั้นแสงสีทองก็หมุนวนรอบตัวเขา ก่อนที่ร่างของเขาจะกลายเป็นลูกแสงสีทองทะยานขึ้นฟ้าไป

ส่วนจางซิ่วเหนียงที่อยู่ด้านข้าง ก่อนที่หลิ่วหมิงจะเคลื่อนไหว ป้ายหยกที่อยู่บนเอวของนางก็แตกร้าวออกมา แสงสีขาวพุ่งออกจากในนั้น และม้วนตัวหญิงสาวพุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

ขณะนี้ วานรสามตาก็คำรามออกมาด้วยเสียงอันดัง ร่างของมันระเบิดในพริบตา และหมอกโลหิตในนั้นก็พวยพุ่งรวมตัวเป็นแสงโลหิตก่อนพุ่งขึ้นด้านบน หลังจากหมุนวนหนึ่งรอบแล้ว ก็หนีไปยังขอบฟ้าอย่างรวดเร็วราวกับพายุบ้าระห่ำ

พวกเขาทั้งสามเป็นศิษย์สำคัญที่สุดของแต่ละนิกาย และยังเสี่ยงอันตรายทำภารกิจนี้ แต่ละคนจึงย่อมมีวิธีการเอาตัวรอดที่เตรียมไว้แต่แรกแล้ว พอเห็นท่าไม่ดีจึงพากันแยกย้ายอย่างไม่ลังเล

แต่การที่พวกเขาหนีไปอย่างเด็ดขาดเช่นนี้ ทำให้หญิงสาวขุดคลุมหลากสีตกตะลึงเล็กน้อย แต่ครู่เดียวก็หัวเราะออกมาเบาๆ จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงสีฟ้าพุ่งไปยังทิศทางที่จางซิ่วเหนียงหนีไป

……

อึดใจเดียว หลิ่วหมิงก็หนีออกมาไกลร้อยกว่าลี้โดยไม่หันหน้ากลับมามองเลย จากนั้นพลังของยันต์ก็หมดไป แสงสีทองบนร่างเขากลายเป็นจุดแสง และสลายไป

เขาหยุดการเคลื่อนไหว และส่งพลังจิตกวาดมองไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว

พอเห็นว่าไม่มีเงาร่างของหญิงสาวชุดคลุมหลากสี เขาถึงถอนหายใจอย่างโล่งอก

หญิงสาวเผ่าเจ้าสมุทรที่ปรากฏตัวขึ้นมานี้ มีพลังแข็งแกร่งที่พบเจอได้น้อยมาก และสร้างความกดดันให้เขาเป็นอย่างมาก แม้แต่ผู้อาวุโสระดับผลึกของแต่ละนิกายเขายังไม่รู้สึกเช่นนี้! หรือว่านางจะแข็งแกร่งกว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึก หรือนางจะเป็นอสูรที่มีการฝึกฝนอยู่ในระดับแก่นแท้ในตำนาน?

แต่ก็ดูเหมือนไม่น่าจะใช่!

หากอยู่ในระดับนี้จริงๆ เกรงว่าแค่นางกระดิกนิ้ว ก็สามารถสังหารพวกเขาได้อย่างง่ายดายราวกับมด

ได้ยินมาว่าผู้ฝึกฝนระดับผลึกที่สามารถฝึกฝนถึงขั้นสมบูรณ์แบบ โดยทั่วไปจะเรียกว่าขั้นแก่นเสมือน ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกโดยทั่วไปสามารถเทียบได้ นางคงอยู่ในระดับนี้! แต่ถ้าเผ่าเจ้าสมุทรมีผู้ฝึกฝนระดับนี้จริงๆ ล่ะก็ ใยต้องเก็บซ่อนไว้ด้วยเล่า? ถ้านางออกหน้าลงมือเอง แต่ละนิกายก็ไม่อาจต้านทานได้ และกองกำลังของมนุษย์ก็คงพ่ายแพ้ตั้งนานแล้ว

และปีศาจมนุษย์หมื่นกระดูกตกอยู่ในมือของนางอย่างง่ายดายเช่นนี้ กลับไปเขาคงไม่รู้จะอธิบายกับประมุขนิกายปีศาจอย่างไรดี คิดๆ ดูแล้วเป็นเรื่องที่น่าเสียดายเป็นอย่างมาก!

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว สีหน้าเขาเปลี่ยนไปมา แต่พอฉุกคิดขึ้นมาได้ก็ต้องส่ายหน้าทันที

เรื่องแบบนี้มอบให้ผู้อาวุโสระดับผลึกพิจารณาเองเถอะ! แม้เขาจะหนีออกมาไกลขนาดนี้ แต่ด้วยพลังอันน่ากลัวของนาง สถานที่แห่งนี้คงยังไม่ปลอดภัยมากนัก ทางที่ดีรีบกลับไปในเมืองจะดีกว่า

หลิ่วหมิงตัดสินใจเช่นนี้แล้ว ก็หยิบโอสถมาทานหนึ่งเม็ด และกระตุ้นเมฆเทาใต้เท้าเพื่อมุ่งไปด้านหน้าต่อ

แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงแก่หง่อมของผู้ชายดังเข้ามา

“วิเศษไปเลย ช่างวิเศษจริงๆ! เจ้าเด็กมนุษย์ คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอหน้ากันรวดเร็วเช่นนี้ คอยดูเถอะว่าครั้งนี้จะมีใครมาช่วยชีวิตน้อยๆ ของเจ้าไหม!”

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็เงยหน้ามองไปยังท้องฟ้าด้านนั้นทันที สีหน้าเขาซีดขาวเป็นอย่างมาก

บนอากาศที่อยู่ห่างออกไปหลายลี้ ผู้อาวุโสร่างผอมแห้งสวมชุดคลุมสีม่วงกำลังจ้องมาด้วยสีหน้าดุร้าย

เขาคือผู้อาวุโสแซ่ลี่แห่งเผ่าเกล็ดเงินผู้นั้นนั่นเอง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด