ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 294 ความแค้นแห่งเลือด

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 294 ความแค้นแห่งเลือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

วันที่สอง หลิ่วหมิงหายไปจากที่พักอย่างน่าแปลกใจ

พอเกิดเรื่องเช่นนี้ขึ้น ย่อมสร้างความฮือฮาให้กับคนในหมู่บ้าน!

แต่หลังจากผ่านไปหลายเดือน ก็ยังไม่มีข่าวคราวของหลิ่วหมิง จึงมีคนพูดถึงเขาน้อยลง ในที่สุดคนในหมู่บ้านก็ลืมเรื่อง ‘ชายหนุ่มผู้สูญเสียความทรงจำ’ จนหมดสิ้น

แม้ตอนแรกจางยาจะเป็นห่วงเรื่อง ‘หลิ่วหมิง’ แต่พอเวลาผ่านไปนานเข้า ‘หลิ่วหมิง’ ในความจำของนางก็เริ่มเลือนลาง

ครึ่งปีผ่านไป ในที่สุดจางสยงก็อนุญาตให้ตระกูลใหญ่ในอำเภอมาขอหมั้นลูกสาว และพอสิ้นปีก็ให้แต่งนางไปอยู่ในอำเภอ

เจ้าบ่าวเป็นชายหนุ่มหน้าตาหล่อเหลา สุภาพงดงาม ไม่ว่าจะเป็นฐานะทางครอบครัว หรือหน้าตาล้วนแตกต่างจาก ‘หลิ่วหมิง’ มาก และหลังจากแต่งงานแล้ว เขาก็เอาอกเอาใจ และรักจางยาเป็นอย่างมาก ทำให้นางลุ่มหลงอยู่ในชีวิตหลังแต่งงานอย่างถึงที่สุด

เงาของ ‘หลิ่วหมิง’ ยิ่งไม่หลงเหลืออยู่ในใจของนางเลย

ต้นปีที่สอง ในที่สุดจางยาก็ตั้งท้อง และจากการตรวจของหมอ พบว่านางท้องบุตรชาย

ด้วยเหตุนี้ พ่อสามีและคนในครอบครัวต่างก็ดีใจเป็นอย่างมาก ทุกคนยิ่งเอ็นดูนางมากกว่าเดิม สามีของนางก็อยู่ข้างกายไม่ห่าง พวกเขาพูดถึงชีวิตหลังลูกน้อยคลอดออกมาอยู่ตลอด

หนึ่งปีผ่านไป นางก็คลอดทารกเพศชายตัวขาวอวบอ้วนออกมา ทุกคนพากันฉลองด้วยความดีใจ

วันนี้ จางยานั่งอยู่บนม้าหินตรงลานหน้าห้องมุข นางกำลังจ้องมองลูกรักที่เพิ่งจะครบเดือน และนอนอยู่ในเปลไกล พร้อมกับพูดคุยเล่นกับสามีที่อยู่ข้างๆ นางรู้สึกว่าชีวิตนี้ไม่มีอะไรต้องเสียดายแล้ว

แต่ขณะนั้นเอง พลันมีเสียงร้องอย่างเวทนา ตามด้วยเสียงตะโกนด้วยความตกใจ “มีขโมยเข้าบ้าน!”

ขณะที่สามีจางยากำลังจะลุกไปดูด้วยความตกใจนั้น พลันมีคนวิ่งเข้ามาจากประตูใหญ่ตรงลานหน้าห้องมุข และขณะที่กำลังจะเอ่ยปากพูดนั้น ลูกธนูยาวสีดำก็พุ่งยิงเข้ามา พริบตาเดียวก็ปักลงบนพื้น

ขณะนี้ มีชายฉกรรจ์เจ็ดแปดคนวิ่งพรวดพราดเข้ามา แต่ละคนมีสีหน้าโหดเหี้ยม ในมือถือดาบอันแหลมคม

หัวโจกเป็นชายหนุ่มชุดคลุมสีดำ ใบหน้าอัปลักษณ์ หลังจากกวาดสายตามองดูนางแล้ว ก็ยิ้มออกมาด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

ภายใต้ความตกใจ สามีจางยาก็มายืนขวางอยู่ตรงหน้า ขณะที่กำลังจะอ้าปากเพื่อจะพูดอะไรออกมานั้น ก็ถูกชายฉกรรจ์คนหนึ่งเตะจนล้มลงพื้น

จางยาหวีดร้องด้วยความตกใจ และก้มลงเพื่อประคองสามีให้ลุกขึ้นมา แต่กลับรู้สึกว่าชายอัปลักษณ์ที่เป็นหัวโจกนั้นเคลื่อนไหวมาตรงหน้านางอย่างรวดเร็ว และยกขาขึ้นเหยียบชายบนพื้นอย่างรุนแรง จนเขาไม่อาจพลิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย

“เจ้าจะทำอะไร หากต้องการเงินล่ะก็ เอาไปได้เลย” ชายบนพื้นกล่าว

“ข้าไม่ต้องการเงิน แต่ข้าสนใจภรรยากับลูกชายเจ้า อย่าหาว่าข้าไม่ให้โอกาสเจ้าก็แล้วกัน ภรรยากับลูกชาย เจ้าสามารถเลือกได้คนหนึ่ง ส่วนอีกคนข้าจะพากลับภูเขา” ชายหนุ่มอัปลักษณ์กล่าวออกมาด้วยรอยยิ้ม และเอาดาบจี้อยู่บนไหล่ของชายผู้นี้

“ทำไมเจ้าต้องเอาลูกชายข้าไปด้วย!” ชายหนุ่มหลุดปากออกมาด้วยความตกใจ

“เฮ่อๆ! ข้าชอบดื่มเหล้าแกล้มหัวใจเด็ก ข้าจะนำกลับไปทำอาหารจานเด็ดไม่ได้หรือ? ข้าจะนับถึงสาม ถ้าไม่ตอบล่ะก็ ข้าจะฆ่าเจ้าเป็นคนแรก และนำไปทั้งสองคนเลย หนึ่ง สอง ……” ชายอัปลักษณ์กล่าวออกมาอย่างเย็นชา และเริ่มนับขึ้นมาจริงๆ

จางยากับชายบนพื้นได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกเหมือนสายฟ้าฟาดลงกลางกระหม่อม

“ตระกูลหลี่ของเราสืบทอดมาสามชั่วอายุคนแล้ว จะไม่ยอมสูญสิ้นสายเลือดโดยเด็ดขาด ถ้าเจ้าสนใจภรรยาของข้าจริงๆ ก็พานางไปเถอะ” ชายบนพื้นกล่าวด้วยริมฝีปากที่สั่นเครือ สายตาไม่มองหญิงข้างกายเลยแม้แต่น้อย

จางยาได้ยินเช่นนี้ ใบหน้าก็ซีดขาวในฉับพลัน แต่หลังจากมองทารกในเปลไกวแล้ว กลับกัดฟันและไม่กล่าวอะไรออกมา

“ฮ่าๆ! ดีมาก แต่ตอนนี้ข้าเปลี่ยนใจแล้ว” ชายอัปลักษณ์ได้ยินเช่นนี้ ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง ทันใดนั้นก็พลิกดาบในมือกระแทกใส่ชายบนพื้นจนสลบไป จากนั้นก็เคลื่อนไหวมาตรงหลังหญิงสาว และอุ้มทารกในเปลไกวขึ้นมา

“เจ้าหัวขโมย เจ้าจะทำอะไร” จางยาเห็นเช่นนี้ ก็ยื่นมือทั้งสองไปแย่งลูกชายของตนเองด้วยความรู้สึกตกใจ

แต่ในขณะนั้นเอง นางก็รู้สึกเจ็บที่ท้ายทอย ตาทั้งสองพลันดับมืดลง ลำตัวอ่อนยวบยาบก่อนล้มลงพื้นไป

แต่ก่อนที่จะสลบไปนั้น ก็ได้ยินเสียงตะคอกด้วยความโมโหของชายหน้าอัปลักษณ์อยู่แว่วๆ

“เจ้าโง่! ใครให้พวกเจ้าลงมือกัน ข้าบอกแล้วไม่ใช่หรือ ห้ามแตะต้องหญิงผู้นี้!”

จากนั้นจางยาก็ไม่รับรู้อะไรอีกเลย

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด เมื่อนางค่อยๆ ฟื้นขึ้นมาบนโต๊ะตัวหนึ่ง กลับค้นพบว่าตนเองอยู่ในห้องที่ประดับประดาอย่างโอ่อ่ารโหฐาน และตนเองก็สวมใส่ชุดเจ้าสาวอยู่

ชายอัปลักษณ์ตรงหน้านาง กำลังเรอและชื่นชมโซ่เงินที่ค่อนข้างคุ้นเคย

“เจ้าทำอะไรกับลูกข้า” พอจางยาเห็นโซ่เงิน ก็ถามออกไปด้วยน้ำเสียงที่สั่นสะท้าน

“เฮ่อๆ! เจ้ายังต้องถามอีกหรือ ในเมื่อเข้ามาในรังของข้าแล้ว ต้องให้ข้ากินให้อิ่ม เจ้ากับข้ามาไหว้ฟ้าดินกันเถอะ!” ชายอัปลักษณ์โยนโซ่ในมือลงบนโต๊ะ และยิ้มลามกออกมา

พอจางยาได้ยินเช่นนี้ก็ตัวสั่นเทิ้ม นางจ้องมองโซ่เงินและไม่กล้าขยับเขยื้อน แต่ดวงตาทั้งคู่กลับแดงก่ำ

“ทำไมล่ะ! ในเมื่อต้องการลูกชายถึงขนาดนี้ ก็มีลูกกับข้าอีกคนจะเป็นไร” ชายอัปลักษณ์เดินเข้าหาจางยา และเชยคางของนางขึ้นพร้อมกล่าวออกมาอย่างไม่ใส่ใจ

จางยาอ้าปากกัดนิ้วทั้งสองของชายหนุ่มอย่างรุนแรง นางพยายามกัดนิ้วของเขาให้ขาดเป็นสี่ท่อน

แต่ชายอัปลักษณ์กลับหัวเราะอย่างเยือกเย็น นิ้วทั้งสองแข็งแกร่งราวกับเหล็ก ซึ่งจางยาไม่อาจทำอะไรมันได้เลยแม้แต่น้อย

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หญิงสาวยังคงจ้องมองชายหนุ่มอย่างเคียดแค้น และกัดไม่ยอมปล่อย

“ฮ่าๆ! พลังแค่นี้ก็คิดจะทำร้ายข้า เพ้อฝันไปหน่อยละมั้ง มาเป็นภรรยาของข้าซะดีๆ เถอะ!” ชายหนุ่มอัปลักษณ์หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง เขาเพียงแค่สะบัดข้อมือ ก็ทำให้ร่างของนางก็ล้มลงพื้นไป และมือของเขาก็หลุดออกมา

“ข้าจะฆ่าเจ้า ข้าจะต้องฆ่าเจ้า……” ดวงตาแดงก่ำทั้งสองของนาง จ้องหลิ่วหมิงอย่างเคียดแค้น และกล่าวออกมา แม้แต่ชายตรงหน้าก็ต้องรู้สึกเย็นสะท้าน

“ฮึ! คิดจะฆ่าข้า? ชาตินี้อย่าได้หวังเลย” ชายหนุ่มอัปลักษณ์ มีสีหน้าหนักอึ้งขึ้นมา เขาสะบัดแขนเสื้อในทันที พายุบ้าระห่ำม้วนตัวออกไป

จางยาแค่รู้สึกเจ็บบนใบหน้าเล็กน้อย จากนั้นก็ไร้เรี่ยวแรง และสลบไปอีกครั้ง

ครั้งนี้นางฝันยาวมาก

ในฝันราวกับว่าสามารถเหาะและดำดินได้ แสดงวิชาที่ไม่คาดคิดได้ราวกับเทพเซียน และขี่กระบี่ยาวหิมะขาวเล่มหนึ่ง นางกำลังฟาดฟันอสูรประหลาดกับเทพเซียนคนอื่นๆ ที่สามารถเหาะได้

ที่แปลกประหลาดก็คือ ในความฝันจะมีเงาร่างพร่ามัวปรากฏอยู่ตรงหน้า ขณะเดียวกันยังได้ยินเสียงคนเรียก ‘ศิษน้องจาง’ ‘ซิ่วเหนียง’ และเสียงแปลกประหลาดอื่นๆ อยู่ตลอดเวลา

จางยาสะดุ้งตื่นด้วยความตกใจ แต่กลับลืมเหตุการณ์ในฝันไปแปดถึงเก้าส่วน

ตอนนี้นางยังคงอยู่ในห้องเดิม แต่เครื่องเรือนรอบด้านถูกทุบตีจนแตกละเอียด สิ่งที่ประดับประดาในห้องก็ไม่สมบูรณ์ ราวกับว่าพายุบ้าระห่ำเคยม้วนตัวผ่านสถานที่แห่งนี้

ขณะนั้นเอง มีเสียงฝีเท้าดังจากภายนอก ชายหนุ่มชุดคลุมสีดำรูปร่างสูงใหญ่ กำลังเดินเข้ามา ในมือถือกระบี่ยาวที่เต็มไปด้วยเลือด

พอนางหันมาเห็นใบหน้าชัดเจนของชายหนุ่ม ก็ร้องเรียกด้วยตัวที่สั่นเทิ้ม

“พี่หลิ่ว! คือท่าน!”

“น้องจาง ต้องขอโทษด้วย ข้ามาช้าไป” พอชายหนุ่มเสียบกระบี่ยาวเข้าไปในฝักที่สะพายอยู่บนหลังแล้ว ก็กล่าวด้วยความรู้สึกผิดเล็กน้อย

“เกิดเรื่องอะไรขึ้นกันแน่ ทำไมพี่หลิ่วถึงมาปรากฏตัวที่นี่ได้ เจ้าหัวขโมยนั่นล่ะ!” จางซิ่วเหนียงถามอย่างความตื่นเต้น

“ถ้าเจ้าพูดถึงโจรภูเขานั่นล่ะก็ เขาโดนกระบี่ของข้าไป และตอนนี้ก็หนีไปแล้ว แต่สมุนของมันคนอื่นๆ ล้วนถูกข้า ฆ่าตายจนหมดสิ้น ส่วนที่ว่าข้าโผล่มาที่นี่ได้อย่างไรนั้น ข้าได้ยินมาว่ามีคนก่อกรรมทำชั่วอยู่แถวนี้ ดังนั้นจึงตั้งใจมาจัดการพวกมันโดยเฉพาะ คิดไม่ถึงว่าเจ้าโจรนั่นจะทำเรื่องไม่ดีกับน้องจาง” หลิ่วหมิงค่อยๆ กล่าวออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ขอบคุณพี่หลิ่วที่ช่วยชีวิต ดูท่าความจำของพี่หลิ่วจะฟื้นคืนมาแล้ว ใช่สิ! พี่หลิ่วเห็นเด็กทารกอยู่แถวนี้บ้างหรือไม่?” จางยากล่าวขอบคุณ และพลันกล่าวออกมาด้วยความตื่นเต้น

แม้นางจะไม่ได้คาดหวังอะไรมาก แต่ยังหวังว่าเจ้าโจรที่จับนางมาจะไม่ได้ลงมือกับลูกของนางจริงๆ

“เด็กทารกข้าไม่เห็น แต่ดูเหมือนว่าสถานที่บางแห่งที่ดูคล้ายห้องครัว มีห่อผ้าของเด็กทารกอยู่” ชายหนุ่มเงียบไปซักพักแล้วกล่าวออกมา

“พี่หลิ่ว ท่านประคองข้าไปดูหน่อยได้หรือไม่!” จางยาได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกหน้ามืดขึ้นมา พลังเฮือกสุดท้ายหายไปจนหมดสิ้น

“เรื่องนี้ไม่มีปัญหา!” ชายหนุ่มรับปากโดยไม่สอบถามอะไรเพิ่มเติม

……

หนึ่งชั่วยามต่อมา จางยาขุดหลุมเล็กๆ ในป่าแห่งหนึ่งด้วยมือทั้งสองที่มีเลือดไหลอยู่ไม่หยุด จากนั้นก็นำสิ่งของของทารกแต่ละชิ้นวางลงในหลุมที่อยู่ตรงหน้า และเอาดินฝังกลบจนกลายเป็นก้อนนูนๆ

จากนั้นนางก็ยืนนิ่งอยู่หน้าก้อนดินด้วยสีหน้าซึมกระทือ

ชายหนุ่มชุดคลุมก็ยืนอยู่ด้านข้างด้วยสีหน้าเคร่งขรึม และไม่กล่าวอะไรออกมา

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าใด ในที่สุดจางยาก็หันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าสงบ

“พี่หลิ่ว ข้าจะต้องฆ่าเจ้าโจรที่มันฆ่าลูกรักของข้า ท่านสามารถสอนวิชาที่ท่านเรียนให้ข้าได้หรือไม่ ในเมื่อท่านจัดการเจ้าโจรนั่นได้ ถ้าข้าเรียนรู้ฝีมือที่ท่านมีทั้งหมด จะต้องฆ่ามันได้อย่างแน่นอน”

“เจ้าอยากเรียนรู้ฝีมือของข้า? เจ้าเป็นหญิงสาวที่อ่อนแอ มันต้องลำบากมากเลยนะ” หลิ่วหมิงหรี่ตาจ้องมองหญิงสาวตรงหน้า และค่อยๆ กล่าวออกมา

“ขอเพียงชำระความแค้นแห่งเลือดในครั้งนี้ได้ ต่อให้ลำบากแค่ไหนข้าก็ยินยอม!” หญิงสาวกล่าวอย่างไม่ลังเล สีหน้าของนางดูหนักแน่นเป็นอย่างมาก ไหนเลยจะดูอ่อนแอเหมือนแต่ก่อน

หลิ่วหมิงยิ่งรู้สึกว่าใบหน้าหญิงสาวตรงหน้าพร่ามัว ราวกับว่าผู้ที่ยืนอยู่ตรงหน้าคือจางซิ่วเหนียงคนเดิมจริงๆ มันทำให้เขารู้สึกตกตะลึงอย่างอดไม่ได้

“เจ้าอยากเรียนกับข้าย่อมไม่มีปัญหา แต่สามีของเจ้าล่ะ เจ้าไม่กลับไปหาเขาแล้วหรือ?” หลิ่วหมิงถามกลับไปโดยไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด