ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 307 คนในโลงศพ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 307 คนในโลงศพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ม่านแสงสีแดงนี้ ย่อมเกิดจากชั้นจำกัดของเกราะหนังมังกรตัวนั้น แม้จะด้วยข้อจำกัดของระดับการฝึกฝน ทำให้ไม่สามารถแสดงอานุภาพออกมาได้ทั้งหมด แต่ก็เหลือเฟือที่จะต้านทานเกล็ดหิมะอันแหลมคมตรงหน้านี้ได้

แต่พอหลิ่วหมิงเห็นแผ่นน้ำแข็งขนาดใหญ่ที่ก่อตัวขึ้นบริเวณรอบๆ ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป เขาทำเสียงฮึดฮัด และทำท่ามือด้วยมือทั้งสองอย่างรวดเร็ว

แสงสีแดงรุมล้อมรอบตัวเขา อึดใจเดียวก็ก่อตัวเป็นลูกเปลวไฟสีแดงจำนวนสิบกว่าลูกที่มีขนาดเท่ากำปั้น

ภายใต้การกระตุ้นเคล็ดวิชา มันพุ่งยิงออกไปรอบทิศทางทันที

“ตู๊มๆ!” เสียงระเบิดดังขึ้นติดต่อกัน

ลูกเปลวไฟปะทะใส่แผ่นน้ำแข็งบริเวณนั้นแล้วม้วนตัวออกไป

ขณะนั้นเอง อสรพิษหมอกดำที่วนรอบตัวเขาอยู่ ก็กระโจนออกไปพร้อมกับเสียงมังกรคำราม มันแยกเขี้ยวยิงฟันหมุนวนอยู่กลางอากาศ จนเกิดเป็นพายุบ้าระห่ำพัดพาเกล็ดหิมะแวววาวร่วงหล่นลงไป

แต่ขณะนี้ ชายหนุ่มที่อยู่ไกลๆ ได้แสดงสีหน้าดุร้ายออกมา เขาขยับแขนในทันที นิ้วมือกึ่งโปร่งแสงชี้มาทางหลิ่วหมิง

มีเสียงดังขึ้นกลางอากาศ!

เกล็ดหิมะที่ร่วงหล่นลงมาหายไปอย่างไร้ร่องรอย แต่ไม่นานก็มีเสียงดังขึ้นมา แท่งวารีแวววาวร่วงลงมาเป็นจำนวนมาก

แต่ละแท่งล้วนยาวครึ่งฉื่อกว่าๆ ปลายแหลมคม มองดูไกลๆ ราวกับว่าเป็นคมมีดแวววาวพุ่งยิงลงมาพร้อมกัน

แม้อสรพิษหมอกดำจะส่ายไปมาอย่างบ้าคลั่ง แต่ร่างของมันก็ถูกแทงจนบังเกิดบาดแผลจำนวนมาก ในที่สุดก็กลายเป็นไอดำ และหายเข้าไปในร่างของหลิ่วหมิง

ด้วยเหตุนี้ แท่งวารีจึงตกใส่ม่านแสงสีแดงโดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้ แม้ว่ากว่าครึ่งหนึ่งจะกระเด็นออกไป แต่ยังมีส่วนหนึ่งที่ตกลงบนม่านแสงแล้วระเบิดออกมา

แม้ม่านแสงสีแดงจะมีพลังต้านทานอันน่าตกใจ แต่ภายใต้การโจมตีอย่างต่อเนื่องของแท่งวารี มันก็เริ่มจะต้านทานไม่ไหว

แต่ขณะนี้เอง หลิ่วหมิงได้ลงมืออีกครั้งแล้ว

เขาคว้ามือไปกลางอากาศโดยไม่เปล่งคำพูดใดๆ ออกมา หมอกดำพวยพุ่งกลางฝ่ามือ และกลายเป็นมุกสีดำเม็ดหนึ่ง เขาสะบัดแขนโยนมันออกไป

“ฟิ้ว!”

มุกสีดำหมุนวนอยู่สองสามรอบ ก็ขยายใหญ่เท่าปากถ้วย ขณะเดียวกันก็มีหมอกดำกระเพื่อมออกมา หนึ่งชั้น สองชั้น สามชั้น…… ติดต่อกันไม่หยุด พริบตาเดียวก็กลายเป็นระลอกน้ำสีดำขนาดใหญ่หมู่กว่าๆ มันปั่นแท่งวารีที่ตกลงมาจนแตกละเอียด

แท่งวารีก็ตกลงมาอยู่ไม่หยุด มันยังคงตกลงมาอย่างต่อเนื่องราวกับสายฝนที่โปรยปราย

ชายหนุ่มที่อยู่ไกลๆ เห็นเช่นนี้ ก็เขม้นตามองมา หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อมาทางด้านหลิ่วหมิง

“ฟู่!”

แท่งวารีกลางอากาศหยุดชะงักในฉับพลัน ไอเย็นสะท้านรอบด้านหายไปในพริบตา

“ดีมาก! เจ้าสามารถต้านทานวิชาหิมะบินของข้าได้ เจ้ามีสิทธิ์เข้าเจดีย์กักปีศาจพร้อมกับข้าแล้ว หวังว่าเวลาที่เผชิญกับปีศาจอสูรตนนั้น เจ้าจะยังองอาจเช่นนี้” ขายหนุ่มกล่าวด้วยน้ำเสียงซึมกระทือ จากนั้นก็กลายร่างเป็นแสงสีขาวพุ่งยิงออกไป

หลิ่วหมิงยังคงมีสีหน้าปกติ แต่มือที่จับกระบี่สั้นสีทองอยู่ในแขนเสื้อค่อยๆ คลายออกมา จากนั้นก็โบกมือไปทางอากาศ

ระลอกคลื่นสีดำกลางอากาศหายไปในทันที มุกสีดำลดขนาดเท่าเดิมและร่วงหล่นลงมา ม่านแสงสีแดงบนตัวก็หายไปในพริบตา

ขณะนี้ หลิ่วหมิงถึงได้มองไปยังนอกลานทีหนึ่ง และเผยรอยยิ้มออกมา

เขาก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และกลายร่างเป็นสายรุ้งยาวพุ่งทะยานออกไป

ผู้คนที่อยู่นอกลานเห็นเช่นนี้ ย่อมส่งเสียงฮือฮาด้วยความตกใจ แต่ในที่สุดก็ต้องแยกย้ายกันไป

มีแค่หญิงสาวผมยาวที่ชื่อ ‘โหรวเอ๋อร์’ ที่ยืนอยู่ที่เดิม แต่สายตากลับจ้องมองไปยังทิศทางที่หลิ่วหมิงจากไป และแสดงสีหน้าลังเลที่ดูขัดแย้งกับอายุมาก

หลายชั่วยามต่อมา บริเวณไหล่เขาบนยอดเขาปีศาจยักษ์ ในวิหารสีดำที่ถูกชั้นจำกัดแต่ละชั้นล้อมรอบไว้ หญิงสาวที่ชื่อโหรวเอ๋อร์ปรากฎตัวอย่างไร้สุ้มเสียง และกราบไหว้โลงศพสีดำที่วางอยู่ตรงหน้าเบาๆ

“โหรวเอ๋อร์ ทำไมเจ้าถึงมาที่นี่ มีเรื่องสำคัญอันใดหรือ?” เสียงทุ้มต่ำของผู้ชายดังมาจากโลงศพสีดำ

“ท่านปู่ เมื่อครู่ ข้าได้พบเรื่องบางอย่างในนิกาย ซึ่งตอบสนองกับหินใจปีศาจที่ท่านมอบให้” หญิงสาวตอบกลับด้วยท่าทีเคร่งขรึม จากนั้นก็แบมือทั้งสองออก เผยให้เห็นหินสีดำที่รูปร่างคล้ายหัวใจ

“อะไรนะ! หินใจปีศาจตอบสนองแล้ว!” น้ำเสียงที่แต่เดิมดูสุขุมหลุดปากออกมาในฉับพลัน ราวกับว่าเป็นเรื่องที่เหลือเชื่อมาก

“ใช่แล้วท่านปู่! แต่ที่น่าแปลกก็คือ ตอบสนองเพียงชั่วพริบตาเท่านั้น จากนั้นก็กลับมาเป็นปกติ ต่อมาข้าได้ตั้งใจตรวจสอบดูอีกครั้ง ก็ไม่พบความผิดปกติใดๆ อีก” หญิงสาวกล่าวด้วยสีหน้าฉงนสนเท่ห์

“เจ้าเล่าเรื่องนี้ให้ข้าฟังอย่างละเอียดอีกรอบ ข้าจะทำการวิเคราะห์ดู” ผ่านไปนานสองนาน ชายผู้นี้ถึงกล่าวออกมาอย่างเคร่งขรึม

“ทราบ! ท่านประมุขให้ศิษย์นิกายปีศาจผู้หนึ่งเข้าไปเจดีย์กักปีศาจแทนศิษย์พี่กวน ทำให้……” หญิงสาวเล่าเรื่องที่เกิดขึ้นทั้งหมดด้วยน้ำเสียงที่ดูสดใส จากนั้นก็รออย่างเงียบๆ โดยไม่ปริปากออกมาอีก

ผ่านไปสักพัก ถึงมีน้ำเสียงของชายผู้นั้นดังออกจากในโลง

“พูดอย่างนี้ก็แสดงว่า ที่หินใจปีศาจตอบสนองนั้น เกิดขึ้นตอนที่กวนจื่อยังแสดงวิชาเรียกปีศาจ เรียกพลังสังหารออกมา ถ้าเป็นเช่นนี้ล่ะก็ มีความเป็นไปได้สองประการ ประการแรก พลังเทพปีศาจที่กวนจื่อยางเรียกออกมา สัมผัสโดนไอปีศาจแท้ แต่ภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ ไม่อาจเก็บไอปีศาจแท้ไว้ได้ พริบตาที่เข้าสู่เขตแดนนี้ ก็จะละลายเข้าไปในพลังฟ้าดิน ดังนั้นหินใจปีศาจถึงได้ตอบสนองเพียงชั่วครู่ ประการที่สอง เป็นเพราะว่ากวนจื่อยางหรือเจ้าเด็กนิกายปีศาจนี่ อาจบ่มเพาะไอปีศาจแท้ไว้ในร่าง แต่ไม่รู้เพราะเหตุใดถึงถูกพลังเทพปีศาจกระตุ้น จนแผ่กลิ่นไอออกมาโดยไม่ตั้งใจ แต่ก็รับรู้ได้อย่างรวดเร็ว และเก็บเข้ามันเข้าไปทันที เมื่อเทียบกันแล้ว ประการแรกควรจะมีความเป็นไปได้แปดถึงเก้าส่วน แต่แค่อาจารย์จิตวิญญาณผู้หนึ่ง หากมีไอปีศาจแท้หลุดออกมาจริงๆ ล่ะก็ ต่อให้จะมีแค่นิดเดียว ก็ทำให้เขากลายเป็นปีศาจได้อย่างง่ายดาย ซึ่งไม่สามารถรักษาสภาพเดิมไว้ได้ แต่พลังเทพปีศาจที่ใช้วิชาปีศาจเรียกมานี้ ไม่คิดว่าจะสามารถสัมผัสไอปีศาจแท้ได้ มันเป็นเรื่องที่ข้าไม่เคยคิดถึงมาก่อน”

“พูดเช่นนี้ก็แสดงว่า ไม่ต้องไปใส่ใจศิษย์พี่กวนกับศิษย์นิกายปีศาจแล้วใช่ไหม?” หญิงสาวได้ยินเช่นนี้ ถึงได้เข้าใจขึ้นมาบ้าง และถามออกไปอย่างอดไม่ได้

”ไม่ใส่ใจก็คงจะไม่ได้! เพราะที่กล่าวมาในก่อนหน้านี้ เป็นแค่เพียงการคาดเดาของข้าเท่านั้น ยังคงต้องจับตามองคนสองคนนี้ให้ดี ถึงจะยืนยันได้ หากคนทั้งสองซ่อนไอปีศาจแท้ไว้จริงๆ ต่อให้มีของล้ำค่าหรือวิชาบดบังไว้ ก็ไม่อาจรอดพ้นหูตาข้าไปได้ โหรวเอ๋อร์ เมื่อเจ้าออกไปแล้ว ให้เรียกตันกานมาหาข้าในคืนนี้ ในที่สุดก็ถึงเวลาใช้เขาแล้ว” ชายผู้นี้ลังเลเล็กน้อยแล้วกล่าวออกมา

”อะไรนะ! ท่านปู่จะใช้วิธีการนั้นแล้วหรือ! ท่านไม่ได้กล่าวไว้หรอกหรือว่า ถ้าไม่เข้าตาจนจริงๆ จะไม่ใช้วิธีนั้น?” หญิงสาวรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

“สภาพของข้าในตอนนี้ เลวร้ายกว่าที่คาดคิดไว้มาก หากไม่ใช้วิธีการช่วยเหลือตนเองล่ะก็ เกรงว่าคงไม่อาจเรียกคืนกลับมาได้ เดิมทีต่อให้ไม่เกิดเรื่องอะไรขึ้นกับเจดีย์กักปีศาจ ข้าเองก็จะสั่งให้เปิดเจดีย์ในระยะใกล้ๆ นี้อีกครั้ง แต่ในเมื่อตอนนี้พวกเขาตัดสินใจจะเปิดเจดีย์ในอีกไม่นาน ย่อมเป็นเรื่องที่ดีเป็นอย่างมาก ถ้าเข้าไปในครั้งนี้ ข้าจะต้องหาของสิ่งนั้นอย่างแน่นอน อีกอย่างหลายวันนี้ ข้ามีเรื่องบางอย่างจะมอบหมายให้เจ้า” ขณะนี้น้ำเสียงของชายผู้นี้ดูหม่นหมองขึ้นมา

“ท่านปู่วางใจเถอะ! โหรวเอ๋อร์รู้ว่าจะทำเช่นไร” ผ่านไปสักพัก หญิงสาวถึงกล่าวอย่างนอบน้อม

“ดีมาก! ตอนนี้ปู่สองของเจ้าเป็นอย่างไรบ้าง? เขาแบกรับชื่อเสียงของหยวนหมัวไว้เพียงคนเดียว คาดว่าคงจะมีความสุขมากสินะ” ชายผู้นี้ถามขึ้นมาในฉับพลัน

“ตอนนี้ปู่สองพาศิษย์พี่เย่ไปร่วมคัดเลือกสามแก่นหกศิษย์ที่พันธมิตร สถานการณ์ที่แน่ชัดเป็นเช่นใดนั้น หลานไม่ทราบจริงๆ” พอหญิงสาวได้ยินเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป และตอบกลับอย่างคลุมเครือ

“สามแก่นหกศิษย์อะไรกัน? เขาคิดจริงๆ หรือว่า อาศัยทรัพยากรเพียงเล็กน้อย ก็สามารถสร้างผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ได้ ถ้ามันง่ายเช่นนี้ ข้าจะตกอยู่ในสภาพนี้ได้อย่างไร หากไม่สามารถเกาะตัวเป็นแก่นแท้ได้ ต่อให้อวิ๋นชวนจะมีผู้ฝึกฝนระดับแก่นเสมือนอย่างเขาอีกสองสามคน ก็ไม่สามารถรับมือกับเผ่าเจ้าสมุทร และราชาปีศาจสมุทรได้ ทั่วทั้งอวิ๋นชวนจวบจนกระทั่งศิษย์นิกายเรา ต่างก็คิดว่าผู้นำหยวนหมัวมีแค่ปู่สองของเจ้าคนเดียวเท่านั้น ไหนเลยจะรู้ว่า ถ้าแต่ก่อนข้าไม่ชิงชื่อเสียงอันดับหนึ่งในแผ่นดินอวิ๋นชวนมาให้หยวนหมัว และทุ่มเทแรงกายแรงใจช่วยเขาบรรลุเขตแดนล่ะก็ เขาจะมีโอกาสเข้าสู่ระดับแก่นเสมือนได้อย่างไร และจะใช้ชื่อเสียงหยวนหมัวเดินเฉิดฉายอยู่ภายนอกได้อย่างไร” ชายผู้นี้ทำเสียงฮึดฮัด และกล่าวด้วยน้ำเสียงประชดประชัน

หญิงสาวนั่งกึ่งคุกเข่าอยู่ตรงหน้าโลงศพ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

“เอาล่ะ! เจ้าออกไปเถอะ! เรื่องที่ข้าพูดกับเจ้าในวันนี้ ห้ามแพร่งพรายให้คนอื่นรู้โดยเด็ดขาด” ในสุดสุดชายผู้นี้ก็กลับมาสงบดังเดิม และสั่งด้วยน้ำเสียงที่ดูอ่อนล้า

หญิงสาวตอบรับอย่างนอบน้อมแล้วรีบถอยออกไปจากวิหารทันที

“เฮ่อๆ! ไอปีศาจแท้ หยวนหมัว! น้องรอง เจ้าอย่าได้ดีใจเร็วเกินไป และอย่าได้คิดว่าตนเองเป็นหยวนหมัวตัวจริงเด็ดขาด ตอนนี้เจ้าเป็นแค่ตัวแทนเท่านั้น รอข้าได้ของสิ่งนั้นแล้ว ข้าไม่เพียงแต่จะจัดการกับภัยที่แฝงอยู่ในเคล็ดวิชาได้ แต่ยังมีโอกาสสำเร็จแก่นแท้ไม่ใช่น้อย พอถึงแม้เวลานั้น ชื่อของหยวนหมัวจะตกอยู่ในมือข้าอีกครั้ง เจ้าจะเป็นแค่เงาของข้าเท่านั้น”

พอหญิงสาวออกไปแล้ว ชายในโลงศพก็พูดพึมพำกับตนเอง แต่น้ำเสียงค่อยๆ เบาลง ในที่สุดก็จางหายไป

กลางดึก มีเสียงฝีเท้าดังมาจากนอกวิหาร และเงาร่างคนผู้หนึ่งก็เดินเข้ามาโดยไม่สนใจชั้นจำกัดจำนวนมากเหล่านั้นเลย เขาคุกเข่าหน้าโลงศพด้วยสีหน้านอบน้อม

“ตันกานคารวะอาจารย์ปู่ ไม่ทราบว่าอาจารย์ปู่เรียกศิษย์หลานมาครานี้ มีเรื่องอันใดให้รับใช้ แม้ตายเป็นหมื่นๆ ครั้ง ศิษย์ก็จะทำให้สำเร็จอย่างแน่นอน”

คนผู้นี้ก็คือตันกานที่นำทางหลิ่วหมิงเข้ามาในนิกายหยวนหมัวนั่นเอง

“ตันกาน อาจารย์ปู่ปฏิบัติกับเจ้าอย่างไรบ้าง?” ผ่านไปนานสองนาน ก็มีน้ำเสียงเนิบนาบของผู้ชายดังออกมาจากโรงศพ

………………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด