ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 323 เผยความจริงของศิลาหุนเทียน

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 323 เผยความจริงของศิลาหุนเทียน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกายขึ้นมา ครั้งนี้เขาไม่ได้ดึงนิ้วกลับมาทันที แต่กลับแสดงสีหน้าราวกับคิดอะไรอยู่

ไม่รู้เป็นเพราะอะไร!

หลังจากที่เขาสัมผัสของสิ่งนี้สองครั้งแล้ว ก็รู้สึกคุ้นเคยกับศิลาจารึกมาก ราวกับว่ามันมีสายเลือดสัมพันธ์กับเขา

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจมาก หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ลองส่งพลังเวทย์เข้าไปในนั้น

แต่ขณะนั้นเอง ศิลาจารึกตรงหน้าก็สั่นไหวขึ้นมาทันที และส่งเสียงดังหวึ่งๆ นาฬิกาทรายเปล่งแสงสีทองออกมา

เขารีบดึงนิ้วกลับมาอย่างรวดเร็ว พอกวาดสายตามองดูรูปนาฬิกาทราย ถึงค้นพบว่าส่วนบนของมันว่างเปล่า ไม่มีทรายแม้แต่เม็ดเดียว

พอศิลาจารึกพร่ามัว ภาพนาฬิกาทรายสีทองก็กลับหัวลงอย่างน่าประหลาดใจ

จากนั้น ดวงตาทั้งสองของหลิ่วหมิงก็มืดลงในฉับพลัน ศีรษะหนักอึ้งขึ้นมา จิตของเขาหลุดออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับ และมาปรากฏตัวบนแท่นบูชาอีกครั้ง

เขาสังเกตดูรอบด้านด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป ตอนนี้ร่างของเขาลอยอยู่กลางอากาศ บาทายักษ์ที่ถูกผนึกอยู่บนแท่นบูชา หดเล็กลงสิบกว่าเท่า ไม่เพียงแต่ปากที่อยู่กลางฝ่าเท้าจะหายไปอย่างไร้ร่องรอยเท่านั้น ร่างของมันยังกลายเป็นศพแห้งๆ ที่ยาวสิบกว่าจั้ง และดูไม่มีพลังชีวิตแล้ว

เกล็ดบนบาทาก็แห้งเหี่ยวและมืดสลัวลง ทั้งยังมีผงสีขาวไม่ทราบชื่อปรากฏออกมา

หลิ่วหมิงจ้องมองผงเหล่านี้อยู่ครู่หนึ่ง ถึงค้นพบว่ามันกลายสภาพมาจากโซ่สีขาวในก่อนหน้านั้น

เพียงแต่ไม่ทราบสาเหตุที่มันกลายสภาพเป็นผงเหล่านี้

หลิ่วหมิงสังเกตดูแท่นบูชาอย่างละเอียด ถึงค้นพบว่าอักขระบนแท่นบูชาต่างก็ปรากฏรอยร้าวออกมา ค่ายกลทั้งหลังไม่มีส่วนไหนที่ยังคงสภาพสมบูรณ์ไว้ได้เลย

ประจักษ์ชัดว่าค่ายกลถูกทำลายโดยสมบูรณ์แล้ว ด้วยเหตุนี้โซ่อาญาสิทธิ์ถึงได้สายสภาพเป็นผงสีขาว

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม หลิ่วหมิงก็ไม่กล้าเสี่ยงเดินเข้าไป แต่กลับทำท่ามือด้วยมือเดียว พอสะบัดข้อมือ คมวายุก็พุ่งยิงออกไป

พอแสงสีเขียวเปล่งประกายออกมา คมวายุก็ฟันลงบนบาทายักษ์ที่แห้งเหี่ยว

ฉากที่ทำให้เขารู้สึกตกใจได้บังเกิดขึ้นแล้ว!

“ฟู่!” พริบตาที่คมวายุกระพริบผ่านไป บาทายักษ์อันแห้งเหี่ยวก็กลายเป็นกองขี้เถ้าทันที

หลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงขึ้นมาจริงๆ แล้ว

อวัยวะของปีศาจยักษ์ที่ถูกผนึกอยู่ ถูกทำลายอย่างง่ายดายเช่นนี้หรือ!

นี่เป็นสิ่งที่ผู้มีพลังจำนวนมากในสมัยบรรพกาลไม่สามารถทำได้!

หลิ่วหมิงจ้องมองขี้เถ้าสีดำบนแท่นบูชาด้วยความรู้สึกเหลือเชื่อ

เขาย่อมไม่รู้ว่า ผนึกที่นักรบผู้มีพลังในสมัยบรรพกาลวางไว้นี้ เดิมทีก็ค่อยๆ สลายพลังของอวัยวะของปีศาจยักษ์ได้ และบาทายักษ์ที่ถูกผนึกนี้ ไม่ได้โชคดีเหมือนกับมือยักษ์ค้ำฟ้า ที่ถูกปีศาจอสูรจำนวนหนึ่งทำลายผนึก จนสูญเสียพลังไปไม่น้อย พอฟื้นตัวขึ้นมา ก็ยังสามารถรักษาพลังส่วนหนึ่งไว้ได้

แต่บาทายักษ์กลับถูกผนึกอยู่บนแท่นบูชามาโดยตลอด พลังต้นกำเนิดก็ถูกสลายไปไม่ใช่น้อยแล้ว ด้วยเหตุนี้ เมื่อไอปีศาจที่หลงเหลืออยู่ เข้าไปในฟองอากาศลึกลับที่อยู่ในร่างหลิ่วหมิงแล้ว มันก็เลยดับสลายไป

พอโซ่อาญาสิทธิ์สีขาวเหล่านั้น ไม่สามารถรับรู้พลังต้นกำเนิดของบาทายักษ์ได้ ก็เผาไหม้ตนเองขึ้นมา

แม้หลิ่วหมิงจะไม่รู้เรื่องทั้งหมดนี้ แต่หลังจากคิดไตร่ตรองอย่างละเอียดแล้ว ก็พอจะคาดเดาได้บ้าง

พอความรู้สึกประหลาดใจบนใบหน้าหายไป เขาก็จ้องมองกองขี้เถ้าสีดำที่สูงกว่าครึ่งจั้ง หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็ตบถุงหนังบนเอว

แสงสีดำพุ่งออกมา หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว ก็กลายเป็นหัวผู้ชายที่มีผมสีเขียวเต็มศีรษะ

มันคือหัวบินนั่นเอง

“ไป!”

หลิ่วหมิงชี้ไปทางแท่นบูชา และออกคำสั่ง

พอหัวบินได้ยินเช่นนี้ ก็หมุนตัวไปบินไปทางกองขี้เถ้าอย่างไม่ลังเล

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกโล่งใจขึ้นมา

หากหัวบินที่มีสัมผัสไวต่อไอปีศาจ ไม่มีอะไรผิดปกติล่ะก็ แสดงว่าบนแท่นบูชาไม่มีอันตรายใดๆ

ในขณะที่เขากำลังคิดอยู่เช่นนี้ หัวบินก็ลอยอยู่เหนือกองขี้เถ้าสีดำแล้ว มันทำจมูกฟุดฟิด จากนั้นก็แสดงสีหน้าดีใจอย่างบ้าคลั่ง และร่อนลงไปทันที มันทุ่มตัวลงในกองขี้เถ้า และอ้าปากกลืนกินอย่างเมามัน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ครู่ต่อมาก็พอจะเข้าใจขึ้นมาบ้าง

เดิมทีหัวปีศาจตนนี้ เกิดจากการกลืนกินไอปีศาจ แม้บาทายักษ์จะกลายเป็นขี้เถ้าแล้ว แต่สำหรับมันแล้วอาจจะมีประโยชน์อะไรบางอย่างที่คาดไม่ถึง

แต่ก็ด้วยเหตุนี้ ความกังวลสุดท้ายของหลิ่วหมิงก็หมดไปทันที จากนั้นเขาก็ค่อยๆ ลอยไปบนแท่นบูชา และจ้องมองการกลืนกินขี้เถ้าของหัวบิน

หัวบินกลืนกินอย่างรวดเร็ว ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ก็กลืนกินขี้เถ้าเหล่านี้ไปเกือบครึ่งหนึ่ง พอถึงตอนสุดท้าย ก็อ้าปากพ่นแสงสีเขียวดูดมันเข้าไปโดยตรง

พอขี้เถ้าเข้าไปในปากหัวบินจนหมดสิ้น มันก็อ้าปากส่งเสียงร้องอย่างดีอกดีใจ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พลันนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ เขาล้วงมือเข้าไปในแขนเสื้อ เพื่อหยิบถุงหนังใบหนึ่งออกมา และโยนไปข้างหัวบิน

พอหัวบินอ้าปาก ไอสีเขียวก็ม้วนตัวผ่านไป ถุงหนังผุกร่อนจนเกิดเป็นรูจำนวนมาก และผลึกหินสีดำก็หล่นออกมาจากในนั้น

มันคือผลึกปีศาจร้อยกว่าก้อน ที่หลิ่วหมิงได้มาจากกวนจื่อยางนั่นเอง

หัวบินรู้สึกตกตะลึงในตอนแรก จากนั้นก็อ้าปากดูดเอาผลึกปีศาจเข้าไปในปาก หลังจากมีเสียงเคี้ยวดัง “กรอบแกรบ!” มันก็แสดงสีหน้าดีอกดีใจออกมา

พอมันอ้าปากอีกที ก็กลืนผลึกสีดำบนพื้นจนหมด และบินมาทางหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็สะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

“ฟู่!”

หัวบินระเบิดตัวเป็นกลุ่มไอดำ และมุดเข้าไปในถุงหนังที่อยู่บนเอว

หลิ่วหมิงถอนหายใจออกมาเบาๆ สีหน้าดูผ่อนคลายลงเล็กน้อย

ขณะที่หัวบินบินมาหาเขานั้น มันได้ส่งพลังจิตมาราวกับว่าต้องการหลับยาวๆ สักระยะหนึ่ง

ประจักษ์ชัดว่า ขี้เถ้าสีดำกับผลึกปีศาจเหล่านี้ มีประโยชน์ต่ออาการบาดเจ็บของมันมาก แม้กระทั่งอาจจะทำให้มันเปลี่ยนแปลงเข้าสู่ขั้นที่สูงขึ้นได้

สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกเฝ้ารอด้วยความปรารถนา

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงไม่ได้ไปจากแท่นบูชาในทันที แต่กลับตบลงบนกระเป๋าหนังอีกใบหนึ่ง

กลุ่มไอสีม่วงม้วนตัวออกมาทันที แมงป่องยักษ์ที่มีขนาดจั้งกว่าๆ ปรากฏขึ้นบนพื้น และพุ่งมาตรงหน้าหลิ่วหมิงด้วยความดีใจ และใช้หัวอันอัปลักษณ์ของมันถูขาของหลิ่วหมิงไปมา

“ไป! คอยเฝ้าอยู่บริเวณนี้ ห้ามให้ใครเข้าใกล้” หลิ่วหมิงลูบหัวแมงป่องยักษ์ที่สูงเท่าต้นขา และสั่งด้วยน้ำเสียงที่ทุ้มต่ำ

แมงป่องกระดูกได้ยินเช่นนี้ ก็หมุนตัวปีนไปยังขอบแท่นบูชา และหมอบอยู่ตรงนั้นไม่ขยับเขยื้อน

หลังจากแมงป่องกระดูกขาวเข้าสู่ระดับของเหลวแล้ว ดูเหมือนว่าไม่จำเป็นต้องใช้พลังจิตสื่อสาร มันก็สามารถฟังคำพูดของเขาออกได้

ด้วยเหตุนี้ หลิ่วหมิงย่อมรู้สึกสะดวกขึ้นมามาก

ขณะนี้ หลิ่วหมิงได้นั่งขัดสมาธิลงบนพื้น พอทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง ไอดำก็พวยพุ่งออกจากตัว และค่อยห่อหุ้มร่างของเขาไว้

ในเวลาเดียวกัน พลังจิตของเขาก็จมดิ่งลงไป และเริ่มทำการตรวจสอบไปทั่วทุกส่วนของร่างกาย

ขณะที่อยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับนั้น แม้ว่าไหมสีดำวาวที่โจมตีเขา จะถูกทำลายไปกว่าครึ่งหนึ่ง แต่ยังมีไอดำบางส่วนที่เข้าไปในระหว่างคิ้วเขา

แม้ว่าตอนนี้ เขายังไม่รู้สึกมีอะไรผิดปกติก็ตาม แต่จะให้วางใจได้อย่างไร ดังนั้นเขาย่อมตรวจสอบอย่างละเอียดหลายๆ รอบ

ฟองอากาศลึกลับในทะเลจิตวิญญาณ ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยอีกครั้ง

แต่ส่วนอื่นๆ ของร่างกาย ไม่ว่าจะเป็นชีพจรหรือว่าจุดตันเถียน และส่วนอื่นๆ ล้วนปกติทุกอย่าง ไม่มีไอดำหลงเหลืออยู่เลยแม้แต่น้อย

แต่ยิ่งเป็นเช่นนี้ เขาก็ยิ่งรู้สึกหนักใจมากขึ้น

พอถอนหายใจแล้ว เขาก็เปลี่ยนท่ามือ และแบ่งจิตส่วนหนึ่งไปตรวจสอบทะเลจิตรับรู้

ผลลัพธ์กลับทำให้เขาตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

นอกจากจะพบไอดำไม่ทราบชื่ออยู่ในทะเลจิตรับรู้ของเขาแล้ว ยังมีวัตถุทรงสีเหลี่ยมผืนผ้าเปล่งแสงอยู่ในนั้น

ครึ่งหนึ่งมีสีดำราวกับหมึก อีกครึ่งหนึ่งแวววาวราวกับหยก มีรูปนาฬิกาทรายสีทองสลักอยู่บนพื้นผิว มันคือ ‘ศิลาหุนเทียน’ ที่เขาเจอในห้องว่างเปล่าลึกลับนั่นเอง

ไม่รู้ว่าสิ่งที่อยู่ในห้องว่างเปล่า เข้ามาอยู่ในทะเลจิตรับรู้ของเขาตั้งแต่เมื่อไหร่

หลิ่วหมิงรู้สึกสับสนเล็กน้อยแล้ว!

แต่เพราะเขาไม่ใช่คนธรรมดาทั่วไป ครู่เดียวก็สงบสติอารมณ์ไว้ได้ และเริ่มลังเลขึ้นมา

เดิมทีห้องว่างเปล่าสีเทาก็ลึกลับเป็นอย่างมาก สิ่งที่อยู่ข้างในก็ไม่ใช่สิ่งที่เป็นรูปธรรม หากสามารถออกมาจากห้องว่างเปล่า และมาปรากฏในทะเลจิตรับรู้ของเขาได้ ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกแต่อย่างใด

ที่สำคัญที่สุดในตอนนี้คือ เขาต้องรู้ให้ได้ว่า การที่ศิลาจารึกมาปรากฏในทะเลจิตรับรู้ของเขา มันจะส่งผลเสียกับเขาหรือไม่

หลิ่วหมิงคิดเช่นนี้อยู่ในใจ พอจิตของเขาเคลื่อนไหว ศิลาจารึกก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้า

พอหลิ่วหมิงสังเกตอย่างละเอียด ก็แสดงสีหน้าแปลกใจออกมาอย่างช่วยไม่ได้

หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ ตอนอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับ ดูเหมือนว่าด้านบนของศิลาหุนเทียนจะเป็นสีขาว ด้านล่างจะเป็นสีดำ แต่ตอนนี้กลับสลับกัน

หรือว่าศิลาจารึกนี้จะกลับหัวลง?

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่เช่นนี้ และส่งจิตไปยังด้านหลังของศิลา อักขระสีม่วงโบราณสามตัวสลักอยู่บนนั้นอย่างชัดเจน ไม่มีการกลับหัวเลยแม้แต่น้อย

เขาส่งจิตมาด้านหน้าศิลาจารึกอีกครั้ง และมองไปบนนาฬิกาทรายสีทอง

ด้านล่างของนาฬิกาทรายล้วนว่างเปล่า ไม่มีสิ่งของใดๆ ส่วนด้านบนกลับเต็มไปด้วยเม็ดทรายสีเงิน

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง และคิดถึงตอนที่ออกจากห้องว่างเปล่า ตอนนั้นส่วนบนของนาฬิกาทรายก็ว่างเปล่าเช่นกัน

หรือว่าของสิ่งนี้จะเป็น……

พอคาดเดาอะไรบางอย่างได้ สีหน้าเขาก็เปลี่ยนไปทันที

หลังจากไม่รู้ว่าผ่านไปนานเท่าใด หลิ่วหมิงก็คิดจะทดสอบศิลาหุนเทียนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจ

เขาสูดหายใจเข้าไปลึกๆ และทำท่ามือด้วยมือเดียว ทันใดนั้น พลังเวทย์ก็ถูกส่งขึ้นไปบนศีรษะ และค่อยๆ พุ่งเข้าไปในศิลาหุนเทียน

พริบตาที่พลังเวทย์สัมผัสกับศิลาหุนเทียน มันก็จมหายเข้าไปในนั้น ราวกับไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้

สิ่งนี้ทำให้จิตหลิ่วหมิงกระเพื่อมขึ้นมา และค่อยๆ เพิ่มพลังเวทย์เข้าไปในนั้น

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด