ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 361 ผลึกโลหิตอสูร

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 361 ผลึกโลหิตอสูร at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

เมื่อเขาใช้พลังจิตตรวจสอบดู ก็ค้นพบว่าในผลึกกลมๆ นี้ มีโล่กระดูกกับคัมภีร์สีแดงหนาๆ หนึ่งเล่ม มีอักขระสีเงินสลักอยู่บนนั้น ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’

ผลึกกลมๆ นี้เป็นสมบัติย่อส่วนที่พบเจอได้น้อยมาก พื้นที่ในนั้นดูเหมือนจะมีขนาดใหญ่กว่าหอยสังข์ย่อส่วนเล็กน้อย

เขานำของทั้งสองชิ้นออกมาด้วยความประหลาดใจ

โล่กระดูกมีขนาดเท่าฝ่ามือ มีสีดำมืด และมีหัวกะโหลกสลักอยู่เก้าหัว ไอดำลอยวนเวียนอยู่บนนั้นเป็นชั้นๆ ภายใต้สถานการณ์ที่ไอดำพวยพุ่งอยู่ไม่หยุด มีใบหน้าปีศาจจำนวนมากปรากฏขาดๆ หายๆ แลดูแปลกประหลาดยิ่งนัก

ส่วน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ เล่มนั้น หลังจากเปิดดูไปหนึ่งรอบ กลับค้นพบว่าครึ่งแรกของมัน บันทึกเกี่ยวกับพลังและเคล็ดวิชาที่เหมาะสมสำหรับมนุษย์เผ่าอัคคีบริสุทธิ์ ครึ่งหลังบันทึกเกี่ยวกับประสบการณ์การหลอมอาวุธของเหยียนเจวี๋ย และวิธีการหลอมอาวุธจิตวิญญาณที่มีอานุภาพสองสามอย่าง

จากการแนะนำอาวุธจิตวิญญาณของ ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เข้าใจว่า ที่แท้โล่กระดูกสีดำมืดนั้น เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีชื่อว่า ‘โล่เก้ากะโหลก’

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ไม่เพียงแต่จะรู้สึกดีใจมาก เขารีบทำท่ามือส่งพลังเวทย์เข้าไปในโล่ทันที

“ฟู่!” “ฟู่!”

จากนั้นไอดำในโล่พวยพุ่งออกมา อักขระสีดำเริ่มลอยออกมาบนพื้นผิว และหมุนติ้วๆ รวมตัวเป็นค่ายกลอักขระเลือนลางหลายชั้น พอมองออกไปจะเห็นว่ามีมากถึงสามสิบห้าชั้น

คิดไม่ถึงว่าอาวุธจิตวิญญาณชิ้นนี้ จะมีสามสิบห้าชั้นจำกัด!

หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นสะท้าน สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกตกใจขึ้นมาจริงๆ

อาวุธจิตวิญญาณสามสิบห้าชั้นจำกัด เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอด มีชั้นจำกัดมากกว่ากระบี่จันทราทองคำในมือเขาถึงเจ็ดชั้น

อย่างที่รู้ว่า ขณะที่ระดับของอาวุธจิตวิญญาณเพิ่มสูงขึ้น ชั้นจำกัดของมันก็เพิ่มขึ้นตามไปด้วย และอานุภาพก็เพิ่มขึ้นทวีคูณ!

“เหยียนเจวี๋ยผู้นี้สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธจริงๆ โล่เก้ากระดูกอันนี้ห่างจากต้นแบบอาวุธเวทย์สามสิบหกชั้นจำกัดในตำนานเพียงก้าวเดียว ตามที่บรรยายใน ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ เดิมทีสองชั้นจำกัดสุดท้ายของอาวุธจิตวิญญาณ ต้องใช้วัสดุจิตวิญญาณมาช่วยเสริม มิน่าเหยียนเจวี๋ยถึงอยากได้ขนแข็งปีศาจยักษ์ขนาดนี้ หากเป็นข้าที่เจอสถานการณ์เช่นนี้ ก็คงไม่ต่างกัน แต่อันโล่นี้ จะสามารถประทับชั้นจำกัดที่สามสิบเจ็ด จนกลายเป็นอาวุธเวทย์ในตำนานอย่างแท้จริงได้หรือไม่นั้น คงไม่ใช่อาศัยแค่วัสดุจิตวิญญาณ แต่ยังต้องอาศัยจังหวะและโอกาสด้วย เขามีสมบัติล้ำค่าระดับนี้ กลับไม่เคยปรับแต่งมาก่อน ช่างน่าแปลกเสียจริง มิเช่นนั้นคงไม่ถึงกับเสียชีวิตง่ายๆ เช่นนี้” หลิ่วหมิงคิดอยู่ในใจ และจ้องมองโล่บนมือด้วยตาที่เป็นประกาย ใบหน้าเขาปิดบังความตื่นเต้นไม่มิด

สิ่งที่เขาไม่รู้ก็คือ เดิมทีเหยียนเจวี๋ยคิดจะหลอมชั้นจำกัดที่สามสิบหกให้เสร็จสรรพก่อน แล้วค่อยทำการปรับแต่ง

จากนั้นอาศัยเคล็ดวิชาบางอย่าง ยืมพลังของอาวุธจิตวิญญาณทะลวงคอขวดไปถึงระดับผลึก

แต่พอคิดจะหลอมชั้นจำกัดที่สามสิบหกของโล่เก้ากระโหลกออกมา ก็จำเป็นต้องใช้วัสดุจิตวิญญาณจำนวนไม่น้อย

ขณะที่เหยียนเจวี๋ยเริ่มวางแผนแย่งชิงขนแข็งจากเขานั้น คงคิดไม่ถึงว่าตนเองจะเสียชีวิตในมือผู้ฝึกฝนระดับของเหลวคนหนึ่ง

เพราะที่เขาออกมาในครั้งนี้ แค่หุ่นนักรบสองตัวก็มีพลังไม่ด้อยไปกว่าผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว และตัวเขาเองยังพกทรายทองคำร่วงที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดมาด้วย

หลิ่วหมิงเก็บโล่กระดูกเข้าไป และเปิด ‘คัมภีร์หลอมอัคคี’ ในส่วนที่เกี่ยวข้องกับโล่เก้ากระโหลก เพื่ออ่านอย่างละเอียดอีกครั้ง

ในนั้นบันทึกวิธีหลอมชั้นจำกัดที่สามสิบหกอย่างละเอียด หากจะหลอมชั้นจำกัดนี้ออกมา นอกจากต้องใช้วัสดุจิตวิญญาณจำนวนไม่น้อยแล้ว ยังต้องใช้วัสดุล้ำค่าอีกสองสามอย่างมาช่วยเสริม

“หินจื่อหยาง น้ำยาฮุ่ยหยิน……”

พอหลิ่วหมิงอ่านจบ ก็รีบจดจำชื่อของวัสดุเสริมเหล่านั้นทันที และปิดคัมภีร์สีแดงลง จากนั้นก็มองไปยังกองขี้เถ้าด้วยตาที่เป็นประกาย

เขาเพียงแค่คว้ามือไปกลางอากาศ

“ฟู่!” เม็ดทรายสีทองขนาดเท่าเมล็ดถั่วเหลืองจำนวนสิบเอ็ดเม็ดพุ่งออกมา และตกลงบนมือของเขาทั้งหมด

หลิ่วหมิงตรวจสอบดูมันอย่างละเอียด และแล้วก็ต้องเผยรอยยิ้มออกมา

ความร้ายกาจของทรายทองคำร่วงนี้ เขาได้เห็นกับตามาก่อนหน้านั้นแล้ว

ตอนนี้มาตกอยู่ในมือของเขา ทำให้เขามีอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเพิ่มขึ้นมาอีกชิ้น ย่อมเป็นเรื่องที่น่ายินดียิ่งนัก

พอหลิ่วหมิงพลิกฝ่ามือ สิ่งของทั้งหมดก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย จากนั้นก็เก็บแมงป่องกระดูกกับหัวบินเข้าไปด้วย เขาไม่กล้าอยู่ที่นี่นานมากนัก ดังนั้นจึงสะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือกลเหาะออกมา

หลิ่วหมิงแตะเท้าข้างหนึ่งลงพื้นเบาๆ จากนั้นร่างของเขาก็ไปปรากฏอยู่บนเรือกลเหาะ พอทำท่ามือด้วยมือเดียว เรือเหาะก็กลายเป็นลำแสงทะยานขึ้นฟ้า

……

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังหลบหนีอยู่นั้น มีเสียงแหลมดัง “ฟิ้ว!” บนอากาศที่อยู่ห่างจากหุบเขาเหล็กอัคคีระยะหนึ่ง

สายรุ้งสีเงินพุ่งมาจากด้านหนึ่งของขอบฟ้า พอสีแสงสีเงินเปล่งประกาย มันก็มาปรากฏตัวในระยะร้อยกว่าจั้ง

หากสังเกตดูในระยะอันใกล้นี้ ก็จะค้นพบพบว่า มีหญิงสาวงดงามสวมชุดสีขาวถูกสายรุ้งสีเงินห่อหุ้มอยู่ ดวงตาดูมืดมนเล็กน้อย แต่กลิ่นไอบนตัวยังคงดุเดือดรุนแรงมาก ราวกับกระบี่แหลมคมที่ออกจากฝัก

นางคือเย่เทียนเหมยที่ถูกหมาซู่ไล่ล่านั่นเอง

ตลอดการตามล่า เป็นเพราะว่าหมาซู่หวาดกลัววิชากระบี่อันแข็งแกร่งของเย่เทียนเหมย จึงไม่กล้าเข้าใกล้นางมากนัก ทำได้แต่รักษาระยะห่างไว้ และใช้พลังจิตจับตำแหน่งของนาง

ขณะนี้ เป็นเพราะเย่เทียนเหมยได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่ยังแสดงวิชาขี่กระบี่หลบหนี พลังเวทย์ของนางจึงเหลืออยู่ไม่มาก ความเร็วในการหลบหนีก็ช้าลงกว่าก่อนหน้านั้น

พอหมาซู่ที่ตามอยู่ห่างๆ รับรู้ถึงความรู้สึกนี้ ย่อมดีใจเป็นอย่างมาก

จากการคาดคะเนของเขา อีกไม่นานพลังเวทย์ของนางก็จะถูกใช้จนหมด พอถึงเวลานั้นก็สามารถฆ่านางได้อย่างง่ายดาย

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป

อากาศด้านหลังเย่เทียนเหมยสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง กระบี่บินยักษ์ที่อยู่ใต้เท้าของนางสั่นสะเทือน จากนั้นค่อยๆ สลายไป

เย่เทียนเหมยรีบโบกแขนเสื้อ ทันใดนั้นเรือเหาะรูปกระสวยปรากฏขึ้นตรงหน้า จากนั้นก็ทำท่ามือด้วยมือเดียว และกระโดดขึ้นไปบนเรือเหาะ

“เย่เทียนเหมย ตอนนี้เจ้าใช้พลังเวทย์จนหมดสิ้นแล้ว ข้าจะเอาหัวเจ้ามาเซ่นไหว้วิญญาณฮูหยินของข้าที่อยู่บนสวรรค์” หมาซู่ที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้งเรียกจิตรับรู้กลับคืนมา หลังจากรู้สภาพของเย่เทียนเหมยในตอนนี้แล้ว ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง พอทำท่ามือ รถเหาะรูปทรงสี่เหลี่ยมก็เพิ่มความเร็วมากกว่าเดิมครึ่งหนึ่ง

ขณะนี้เย่เทียนเหมยที่ยืนอยู่บนเรือเหาะ ไม่ได้ควบคุมอาวุธเหินเวหาอีกต่อไป แต่กลับค่อยๆ หันมองรถเหาะที่ตามมาติดๆ

ไม่กี่อึดใจ แสงสีดำก็ตามอยู่ห่างยี่สิบกว่าจั้ง พอลำแสงดับลง ก็เผยให้เห็นถึงหมาซู่ที่ยืนอยู่บนรถเหาะด้วยสีหน้าดุร้าย

เย่เทียนเหมยเลิกคิ้วขึ้น ใบอันงดงามเผยแววเยือกเย็นออกมา นางชี้นิ้วเรียวเล็กออกไปอย่างไม่ลังเล สายรุ้งสีเงินพุ่งยิงออกจากแขนเสื้อ และแผ่คลุมอยู่เหนือศีรษะของหมาซู่

“ฟู่ๆ!”

แม้เย่เทียนเหมยจะได้รับบาดเจ็บสาหัส แต่อานุภาพของวิชาขี่กระบี่กลับไม่ได้ลดลงเลยแม้แต่น้อย อากาศบริเวณที่สายรุ้งเคลื่อนตัวผ่านจะมีเสียงแหลมดังออกมา

อากาศรอบด้านบิดเบี้ยวพร่ามัว ราวกับถูกอานุภาพของสายรุ้งสีเงินสั่นสะเทือน

หมาซู่รู้สึกตกใจเมื่อเห็นเช่นนี้ เขาไม่กล้ารอรีอีกต่อไป มือเหี่ยวแห้งกดลงบนรถเหาะอย่างรวดเร็ว กลุ่มแสงสีดำปรากฏออกมาบนรถเหาะ ขณะเดียวกันสิ่งของที่อยู่ใต้ร่างก็ถอยออกไปพร้อมกันทันที

คิดไม่ถึงว่ามาถึงเวลานี้แล้ว เย่เทียนเหมยจะยังคงโจมตีรุนแรงเช่นเดิม หลังจากลังเลเล็กน้อย เขาก็คิดว่าควรรอให้พลังเวทย์ของนางหมดก่อนแล้วค่อยว่ากัน

เย่เทียนเหมยไหนเลยจะไม่รู้ความคิดของหมาซู่ นางหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น และวาดวงกลมไปทางหมาซู่

ทันใดนั้นเอง แสงสีเงินก็เปล่งประกายข้างตัวหมาซู่ สายรุ้งสีเงินเริ่มลอยวนอยู่รอบตัว และปิดทางหนีเขาไว้ทั้งหมด

นางบีบคั้นหมาซู่ให้ต่อสู้กับนางซึ่งๆ หน้า

หมาซู่เห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา!

เขาไม่ยอมตายไปพร้อมกับเย่เทียนเหมยอย่างแน่นอน แต่ก็ทำได้แค่พลิกฝ่ามือหยิบแผ่นสีทองกลมๆ ออกมาอย่างรวดเร็ว หลังส่งพลังเวทย์เข้าไปแล้ว มันก็ขยายใหญ่ตามแรงลม พริบตาเดียวก็มีขนาดใหญ่จั้งกว่าๆ และพร่ามัวเป็นเงาแผ่นกลมๆ จำนวนมากปกป้องร่างเขาไว้

ครู่ต่อมา ภายใต้การปะทะระหว่างสายรุ้งสีเงินที่ปกคลุมเต็มฟ้ากับเงาแผ่นค่ายกล แสงกระบี่อันแหลมคมทิ่มแทงทุกช่องทาง บีบคั้นจนหมาซู่ที่อยู่บนเรือเหาะร่นถอยออกไปทีละนิด

หมาซู่รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมา เขาเก็บรถบินเข้าไปโดยไม่ต้องคิด และหยิบผลึกหินรูปสี่เหลี่ยมขนมเปียกปูนออกมา

ผลึกหินมีสีแดง มีลวดลายอัปลักษณ์สีโลหิตสลักอยู่เป็นจำนวนมาก มีกลิ่นคาวอันเข้มข้นแผ่ออกมาจากในนั้น

หมาซู่ดีดผลึกหินออกไปกลางอากาศด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

พายุบ้าระห่ำก่อตัวขึ้นกลางอากาศทันที เงาร่างอสูรดุร้ายที่ดูคล้ายเหยี่ยวหัวดำก่อตัวขึ้นมา

มีเสียงร้องแหลมดังเข้ามา!

เงาร่างเหยี่ยวหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบ ลำแสงสีแดงหมุนวนอยู่บนปีกสีแดง และเปล่งแสงสีแดงออกมา

ลำแสงสีแดงแสบตาปกคลุมท้องฟ้ากว่าครึ่งหนึ่งไว้ พอมองออกไปไกลๆ เหมือนกับว่ามีพระอาทิตย์สีเลือดอยู่เหนือศีรษะหมาซู่!

เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เปลี่ยนไป สายรุ้งสีเงินที่กระตุ้นอยู่ดุเดือดรุนแรงยิ่งกว่าเดิม

หมาซู่หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น และเปลี่ยนท่ามืออยู่ไม่หยุด

เงาร่างเหยี่ยวตนนั้นขยายใหญ่ท่ามกลางลำแสงสีแดงอย่างรวดเร็ว รูปร่างก็ดูเหมือนจริงมากขึ้น ที่น่าประหลาดใจเพียงหนึ่งเดียวก็คือ สิ่งที่เปล่งประกายอยู่เหนือศีรษะนั่นเอง

เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็รู้ว่าหากจะทำลายเหยี่ยวตัวนี้ ต้องทำลายผลึกหินก้อนนั้นก่อน ดังนั้นนางจึงรีบทำท่ามือทันที กระบี่บินสั่นสะท้าน และชี้ไปยังตาข้างเดียวของเหยี่ยว

“ฟู่ๆ!” เงากระบี่สีเงินจำนวนมากพุ่งยิงใส่ผลึกหินที่อยู่บนหัวเหยี่ยวตัวนั้น

แต่ขณะนั้นเอง เงาร่างอสูรดุร้ายขยายใหญ่ประมาณสิบจั้ง มันดูราวกับมีชีวิต

พอมันแหงนหน้าส่งเสียงร้องแหลมออกมา อากาศก็สะเทือนจนบิดเบี้ยว และกลายเป็นระลอกคลื่นกระเพื่อมขึ้นมา เงากระบี่ถูกกระเทือนจนแตกกระจาย บางส่วนม้วนตัวพุ่งมาทางเย่เทียนเหมย

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด