ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 368 อสรพิษแดงเดือด

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 368 อสรพิษแดงเดือด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีทางเลือก คงได้แต่เสี่ยงเรียกตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งออกมาโจมตีฝ่ายตรงข้ามเป็นครั้งสุดท้ายแล้ว ส่วนผลลัพธ์จะเป็นเช่นใดนั้น หลิ่วหมิงไม่มีความเชื่อมั่นเลยแม้แต่น้อย

“อะไรกัน! ปีศาจเฒ่านั่นยังตามไม่เลิกราอีกหรือ?” ขณะที่หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมานั้น พลันได้ยินน้ำเสียงราบเรียบดังมาจากด้านหลัง

ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึง แต่ต่อมาก็หันหน้าไปด้วยความดีใจ

“อาจารย์อาเย่ ท่านฟื้นแล้ว!”

ไม่รู้ว่าเย่เทียนเหมยที่นอนอยู่บนหลังแมงป่องกระดูกลุกขึ้นมานั่งตั้งแต่เมื่อไหร่ แม้ใบหน้าจะซีดขาวเล็กน้อย แต่แววตายังคงเยือกเย็นราวกับน้ำแข็ง

“อืม! เจ้าทำได้ไม่เลว ตอนนี้ข้าไม่เป็นอะไรแล้ว ปีศาจเฒ่ายังไม่ยอมรามือเช่นนี้ ดูท่าคงต้องใช้ท่าไม้ตายเขาถึงจะตายใจ” เย่เทียนเหมยมองไปด้านหลัง และค่อยๆ กล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

หลิ่วหมิงได้ยินก็แสดงสีหน้าออกมาราวกับคิดอะไรอยู่ แต่ก็ไม่ได้พูดอะไรออกมา

“ศิษย์หลานหลิ่ว เจ้าสั่งให้แมงป่องกระดูกขึ้นจากพื้นชั่วคราวเพื่อหาวิธีการถ่วงเวลาก่อน ที่เหลือมอบให้ข้าจัดการเอง” เย่เทียนเหมยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกงงงวย แต่ก็พยักหน้าตอบรับ พอเขาทำท่ามือด้วยมือเดียว แมงป่องกระดูกก็พุ่งขึ้นจากใต้ดิน

ขณะนี้ เย่เทียนเหมยกลับพลิกฝ่ามือหยิบกล่องหยกสีเขียวที่ยาวชุ่นกว่าๆ ออกมา บนนั้นมียันต์สีเงินติดอยู่ผืนหนึ่ง

พอนางสะบัดแขนเสื้อ ยันต์ก็หลุดร่วงลงไป และฝากล่องก็เปิดออกมาในมันพริบ

“ฟู่!” เงาสีเขียวพุ่งออกจากกล่องหยก

เย่เทียนเหมยคว้ามันมาไว้ในมืออย่างเงียบๆ

มันคืออสรพิษเล็กแปลกประหลาดที่มีสีเขียวราวกับหยก และมีขนาดยาวฉื่อกว่าๆ ดวงตาทั้งคู่เป็นสีทอง บนหัวมีเขาสีแดงอยู่สองอัน ปากเป็นรูปสี่เหลี่ยม และยังมีหนวดสีแดงเส้นหนึ่งกวัดแกว่งไปมา

นอกจากไม่มีเท้าทั้งสี่บริเวณท้องแล้ว อย่างอื่นก็ดูคล้ายกับมังกรที่ลดขนาดลงหลายเท่า

เย่เทียนเหมยทำท่ามือด้วยนิ้วสองนิ้ว และชี้ไปยังตำแหน่งหัวใจของมัน หลังจากลังเลเล็กน้อย ก็กัดฟันกดหัวของมันลงบนข้อมือ

อสรพิษเล็กแปลกประหลาดอ้าปากจนเผยให้เห็นคมเขี้ยวอันแหลมคม จากนั้นก็กัดลงบนข้อมืออย่างไม่ปราณี และปล่อยของเหลวมีพิษเข้าไปในนั้น

หลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

เพียงชั่วพริบตาเดียว เกล็ดและเขาแปลกประหลาดบนหัวของอสรพิษเล็ก ก็ลอกคราบออกมาอย่างรวดเร็ว

ขณะที่แมงป่องกระดูกพุ่งขึ้นมาจากพื้นอย่างรวดเร็วนั้น อสรพิษเล็กก็กลายเป็นงูเขียวธรรมดาๆ ตัวหนึ่ง

เย่เทียนเหมยโยนอสรพิษเล็กในมือออกไป และยืนบนหลังของแมงป่องกระดูกทันที หน้าของนางมีสีเขียวคล้ำ แต่กลิ่นไอบนตัวเพิ่มขึ้นมาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปซักพัก สีหน้าของนางก็กลับมาเป็นปกติ ดวงตามีประกายแวววาว ดูเหมือนว่าพลังเวทย์จะฟื้นคืนมาหมดแล้ว

พอเย่เทียนเหมยแตะปลายเท้าลง แมงป่องกระดูกก็รู้สึกว่าร่างกายหนักอึ้ง และหยุดการเคลื่อนไหวลง แต่ขณะเดียวกันก็หันมามองนางด้วยความเดือดดาล และส่งเสียงร้องออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ยิ้มอย่างขมขื่น และรีบสื่อสารจิตกับแมงป่องกระดูกเพื่อปลอบใจมันเล็กน้อย

เย่เทียนเหมยทำราวกับมองไม่เห็นท่าทีของแมงป่องกระดูก นางได้แต่มองไปด้านหลังด้วยสีหน้าไร้ความรู้สึก

ขณะนี้ แสงสีฟ้าเปล่งประกายออกจากพื้นที่อยู่ไม่ไกล แท่งสามเหลี่ยมสีฟ้าพุ่งออกจากพื้น จากนั้นผู้อาวุโสคิ้วดำก็ปรากฎออกมา หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ลอยอยู่บนอากาศ แต่สายตามองไปที่แมงป่องกระดูกด้วยความตกใจ

เย่เทียนเหมยเห็นเช่นนี้ ก็เพียงแค่หัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น พอนางอ้าปาก แสงสีขาวเงินก็ถูกพ่นออกมา และหมุนวนหนึ่งรอบก่อนที่จะลอยอยู่ตรงหน้านาง

เงากระบี่เล็กสีเงินที่ยาวไม่กี่ชุ่นถูกแสงปกคลุมอยู่ มันก็ค่อยๆ สั่นสะเทือนขึ้นมา และดูปราดเปรียวยิ่งนัก

มันคือจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ที่ถูกบ่มเพาะอยู่ในร่างของเย่เทียนเหมยมานานหลายปี!

พริบตาที่กระบี่สีเงินปรากฏออกมานั้น หลิ่วหมิงพลันรู้สึกว่าจุดตันเถียนสั่นสะเทือนขึ้นมา ความร้อนแผดเผาออกมาบริเวณนั้น สีหน้าของหลิ่วหมิงค่อยๆ เปลี่ยนไป แต่ฉุกคิดขึ้นมาได้ ก็รู้ว่าจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่ง คงถูกไอกระบี่อันแข็งแกร่งของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ ที่เย่เทียนเหมยปล่อยออกมากระตุ้นเข้า

นางเพียงแค่ชี้นิ้วไปด้านหน้าเบาๆ เงากระบี่ก็กระจายแสงกระบี่สีเงินออกมา จากนั้นก็กระพริบหายไป

ครู่ต่อมา เกิดคลื่นสั่นสะเทือนตรงหน้าผู้อาวุโสคิ้วดำ สายรุ้งสีเงินกระพริบออกมา ลำแสงสีเงินกลายเป็นเงากระบี่ค้ำฟ้าบดบังท้องฟ้าส่วนเล็กๆ ไว้ กลิ่นไอปะทุออกมาเป็นจำนวนมาก ทำให้ก้อนเมฆบริเวณนั้นพวยพุ่งขึ้นมา และพุ่งใส่ผู้อาวุคิ้วดำราวกับสายฟ้าแลบ

ผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นเช่นนี้กลับต้องสูดหายใจด้วยความเย็นสะท้าน และอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกมาอย่างไม่ลังเล

มันกลายสภาพเป็นหมอก และค่อยๆ ซึมเข้าไปในแท่งสามเหลี่ยม

พอแท่งสามเหลี่ยมดูดโลหิตบริสุทธิ์ของผู้อาวุโสเข้าไป กลิ่นไอของมันก็ปะทุออกมา หลังจากกระตุ้นเคล็ดวิชา มันก็ขยายตัวอย่างบ้าคลั่ง จนกลายเป็นเงายักษ์ที่มีขนาดหกเจ็ดจั้ง และส่งเสียงแหลมดังท่ามกลางแสงสีฟ้าที่เปล่งประกาย

“ฟู่!” เงากระบี่ยักษ์ฟันลงบนเงาแท่งสามเหลี่ยมจนกระเด็นออกไปหลายจั้ง

เงาแท่งสามเหลี่ยมหายไปจนหมดสิ้น และกลับคืนสภาพเดิมพร้อมกับรอยร้าวที่ปรากฏอยู่เต็มพื้นผิว

เงากระบี่ยักษ์ยังคงโหมกระหน่ำใส่ผู้อาวุโสคิ้วดำราวกับพายุที่ยากจะต้านทานได้

“ระเบิด!”

พอผู้อาวุโสคิ้วดำเห็นจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ของเย่เทียนเหมยมีอานุภาพมากถึงเพียงนี้ สีหน้าของเขาก็ซีดขาวขึ้นมา แต่กลับเผยแววตาดุร้ายในทันที พริบตาเดียวก็ปล่อยวิชาออกไปจำนวนมาก

และแท่งสามเหลี่ยมที่พุ่งกลับมา หลังจากสั่นไหวเล็กน้อยแล้ว รูปร่างของมันก็หดขยายอยู่ไม่หยุด หลังจากอักขระทะลักออกมาแล้ว มันก็ระเบิดออกมาเป็นกลุ่มแสง

บังเกิดเสียงดังสะเทือนเลือนลั่นไปทั่วฟ้าและปฐพี คลื่นสั่นสะเทือนสีฟ้าม้วนเงากระบี่ยักษ์เข้าไปในนั้น

ขณะที่ผู้อาวุโสมีสีหน้าผ่อนคลายลงเล็กน้อยนั้น แสงสีเงินพลันเปล่งประกายท่ามกลางแสงสีฟ้า เงากระบี่สีเงินที่กลายร่างมาจากจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ มาถึงตรงหน้าผู้อาวุโสในพริบตา และฟันลงมาอย่างรวดเร็ว

ผู้อาวุโสรู้สึกตกใจมาก เขาได้เพียงแต่หยิบยันต์ผืนหนึ่งออกมาแล้วยกขึ้นด้านบน แต่พอมันกลายเป็นแสงสีแดงจางๆ ก็ถูกเงากระบี่ฟันดับไป

ผู้อาวุโสร้องออกมาอย่างเวทนา ปราณแกร่งที่ปกป้องร่าง และเกราะสีดำที่สวมอยู่ด้านใน ต่างก็ถูกฟันจนแตกเป็นชิ้นๆ ร่างกายส่วนหนึ่งกลายเป็นหมอกโลหิตปกคลุมเต็มฟ้า และล่องลอยออกไป

“ไม่! ผู้อาวุโสคิ้วดำคำรามออกมาอย่างไม่พอใจ ร่างส่วนล่างของเขาพร่ามัว จากนั้นก็กระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง

ผู้อาวุโสหลิวเป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกขั้นกลาง แต่ยังคงดูเบาอานุภาพอันน่าหวาดกลัวของจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไปหน่อย ถึงได้ดึงดันรับมือกับมันโดยตรง เพียงการโจมตีเดียว เขาก็ถูกฟันจนบาดเจ็บสาหัส

เขาจ้องมองเย่เทียนเหมยด้วยสีหน้าดุร้าย พออ้าปากก็พ่นกลุ่มแสงโลหิตออกมา มันกระจายตามแรงลม จนกลายเป็นไอโลหิตผสมปนเปกับหมอกโลหิตบริเวณรอบๆ ขณะเดียวกัน มือทั้งคู่และใบหน้าของเขาก็เริ่มแดงก่ำขึ้นมา พริบตาเดียวก็มีสีแดงสดราวกับโลหิต จนดูเหมือนจะพุ่งออกจากผิวหนัง

ผู้อาวุโสทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และพ่นโลหิตบริสุทธิ์ออกไปอีกสองครั้ง ร่างกายส่วนมากถูกปกคลุมอยู่ในหมอกโลหิต จนดูขาดๆ หายๆ

ครู่ต่อมา อากาศบริเวณที่หมอกโลหิตปกคลุมอยู่เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา ผู้อาวุโสคิ้วดำกลายเป็นสายรุ้งทะยานขึ้นฟ้า เพียงแค่กระพริบไม่กี่ทีก็ออกไปไกลร้อยกว่าจั้ง จากนั้นก็พร่ามัวหายไป

ขณะนี้เงากระบี่ยักษ์ที่โจมตีร่างของผู้อาวุโสก็ดับแสงลง และกลับมาเป็นเงากระบี่เล็กสีเงินเช่นเดิม

แต่หลังจากที่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ส่งเสียงดังออกมา มันก็กลายเป็นจุดแสงแวววาวก่อนจะสลายไป

ตั้งแต่เย่เทียนเหมยปล่อยจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่จนถึงตอนที่ร่างของผู้อาวุโสถูกฟันออกไปครึ่งส่วน และกระตุ้นเคล็ดวิชาโล่โลหิตออกมานั้น ใช้เวลาเทียบเท่ากับการดีดนิ้วและโบกมือเท่านั้น

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด