ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 374 เข็มบินพลังหยินลี้ลับ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 374 เข็มบินพลังหยินลี้ลับ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครู่ต่อมา ลำแสงจำนวนมากที่ปะทะกับฝ่ามือยักษ์ก็ค่อยๆ ระเบิดออกมา จากนั้นก็ก่อตัวเป็นกลุ่มแสงขนาดใหญ่

ฝ่ามือยักษ์กับผู้แข็งแกร่งระดับผลึก ถูกลำแสงที่ระเบิดออกมาปกคลุมจนมิด ขณะเดียวกันกลิ่นไอที่มีพลังทำลายมหาศาล ก็สั่นสะเทือนออกมากลางอากาศ

จากนั้นมีเสียงดัง “โครมคราม!” ดังมาจากลำแสงอันรุ่งโรจน์ ทำให้อากาศบริเวณนั้นเกิดการสั่นสะเทือน และยังมีคลื่นอากาศกระเพื่อมออกมาพร้อมกับเสียง มันดูคล้ายคลื่นลูกใหญ่ ทั้งยังก่อตัวเป็นระลอกคลื่น และม้วนออกไปรอบทิศทาง

พอคลื่นสั่นสะเทือนหายไปแล้ว กลุ่มแสงขนาดใหญ่ก็หายไป จากนั้นท้องฟ้ากลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง แต่ทุกคนกลับไม่รู้ว่าฝ่ามือยักษ์ร้อยจั้งหายไปไหน

แม้ตอนนี้ผู้แข็งแกร่งระดับผลึก จะยังลอยอยู่กลางอากาศ แต่ใบหน้าของเขาไม่มีเลือดเลยแม้แต่น้อย กลิ่นไอบนตัวดูอ่อนระโหยโรยแรงเป็นอย่างมาก ชุดคลุมสีดำขาดกระจุย

แต่พอเขาค้นพบว่าตนเองรอดชีวิตมาได้ แววตาที่มืดมนก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่ห่างจากอู่เหยียนไม่ไกล หลังจากทานโอสถเข้าไปหลายเม็ดแล้ว ก็เริ่มโคจรพลังรักษาอาการบาดเจ็บ

ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวจ้องมองชายต่างเผ่าผู้นั้นด้วยความประหลาดใจเล็กน้อย แต่ใบหน้าของเขากลับแสดงรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

เกือบจะในเวลาเดียวกัน หงซานและเซียนเซิ่งจีต่างก็สบตากันทีหนึ่ง พริบตาเดียวก็เหมือนจะตัดสินใจอะไรบางอย่างได้

พอหงซานขยับแขน หยกห้อยเอวก็ปรากฏบนมือ หลังจากขยี้มันจนแตกละเอียด คลื่นอากาศก็ประทุออกมาอย่างรุนแรง

อากาศบริเวณที่เขาอยู่ปรากฏรอยแตกร้าวขึ้นมาฉับพลัน แผ่นหยกแผ่แสงสีขาวน้ำนมออกมาปกคลุมเขา และม้วนร่างของเขาหายวับเข้าไปในรอยร้าว

ขณะเดียวกัน เซียนเซิ่งจีที่อยู่อีกด้านก็ยกมือขวาขึ้น ภายใต้แสงสีทองที่เปล่งประกาย ยันต์ที่มีแสงสีทองก็ปรากฏอยู่ในมือของนาง พลังเวทย์ในร่างค่อยๆ ทะลักเข้าไปในนั้น

ยันต์ประทุแสงแวววับออกมากลุ่มหนึ่ง อักขระจำนวนมากหมุนวนออกมา มันห่อหุ้มนางไว้ในนั้น จากนั้นก็ม้วนตัวเป็นสายรุ้งสีทองพุ่งไปอีกด้านทันที

การเปลี่ยนแปลงอย่างฉับพลันเช่นนี้ ทำให้ผู้คนที่อยู่ ณ ที่นั้น รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ไม่นานคนส่วนมากก็แสดงสีหน้ารู้แจ้งออกมาทันที

ในเมื่อราชาปีศาจสมุทรได้ประกาศแล้วว่าจะไม่ไว้ชีวิตเผ่าเจ้าสมุทร ก็ไม่ใช่เรื่องแปลกอะไรที่หงซานกับเซียนเซิ่งจีจะหนีเอาชีวิตรอด

พอชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวเห็นเช่นนี้ ดวงตาของเขาก็เผยแววเย้ยหยันออกมา แต่กลับไม่ได้ลงมือขัดขวางในทันที

พอสายรุ้งสีทองปะทะใส่ม่านแสงสีฟ้า แสงสีทองก็เปล่งประกายเพิ่มมากขึ้น อักขระที่ลอยวนอยู่ในนั้นค่อยๆ กระพริบหายเข้าไปในม่านแสง

พริบตาที่อักขระจำนวนมากกระพริบเข้าไปในม่านแสง คิดไม่ถึงว่าแสงกระพริบวับแวมที่ม่านแสงแผ่ออกมา จะค่อยๆ สลายไปราวกับหิมะที่ละลาย ชั่วเวลาไม่กี่อึดใจ ก็มีรูขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางสองสามฉื่อปรากฏบนม่านแสง

สายรุ้งสีทองระยิบระยับที่หญิงสาวกลายร่างมา มุดออกไปนอกม่านแสงสีฟ้าด้วยความดีใจ และพุ่งจากไปอย่างรวดเร็ว

อีกทางด้านหนึ่ง ขณะที่ร่างของหงซานปรากฏออกมาอีกครั้งนั้น เขาก็อยู่ห่างจากม่านแสงสีฟ้าร้อยจั้งแล้ว พอแกว่งยันต์ในมือ ก็กลายเป็นสายรุ้งสีขาวหนีลอยนวลไป

เจียหลานที่ยังอยู่ที่เดิมกับลี่คุนที่บาดเจ็บสาหัส จ้องมองเงาร่างทั้งสองที่หนีไปนอกม่านแสงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่หลายครั้ง แต่ก็ไม่สามารถทำอะไรได้

หากเปลี่ยนเป็นพวกเขาที่อยู่ในสถานการณ์เช่นนี้ ก็คงไม่อยากจะแบกภาระอะไรไว้เช่นกัน

เย่เทียนเหมยยืนอยู่ที่เดิมเงียบๆ นางจ้องมองเงาร่างทั้งสองที่หนีไปด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

หลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็มองไปทางด้านเจียหลานทีหนึ่ง แต่ก็ไม่ได้แสดงสีหน้าประหลาดใจมากนัก

แต่ขณะนั้นเอง ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวกลับกวาดสายตามองผู้คนที่เหลืออยู่ และยิ้มขึ้นมาในฉับพลัน พอเขากางมือออกแล้วดีดออกไปเบาๆ แสงสีฟ้าจางๆ สองลำก็พุ่งออกนิ้วของเขา มันคือเข็มบินสีฟ้าสองเล่มที่ไม่รู้ว่าสร้างมาจากวัสดุอันใด ลำตัวของมันมีสีฟ้าอ่อน อักขระหมุนวนอยู่รอบตัว เห็นได้ชัดว่าดูลึกลับมาก

และพริบตาที่เข็มทั้งสองเล่มพุ่งออกจากมือ มันก็กระพริบหายไปอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนห่างจากด้านหลังหงซานไปสิบกว่าจั้ง จากนั้นเข็มบินสีฟ้าก็ปรากฏออกมา

หงซานมีสีหน้าสั่นสะท้าน เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมาโดยที่ไม่หันหน้ากลับไปเลย ทันใดนั้นกระบองสีแดงที่มีรูปร่างคล้ายกับกระบองหนาม ก็ถูกกุมอยู่ในมือของเขา มีอักขระสีแดงหมุนวนอยู่บนพื้นผิว จากนั้นก็ขยายใหญ่หลายจั้ง

“ฟู่!”

หงซานจับกระบองหนามไว้แน่น และโบกไปทางด้านหลัง

พริบตาเดียว กระบองหนามก็กลายเป็นเงาสีแดงปกคลุมไปทั่วฟ้า ราวกับผ้าม่านสีแดงที่หล่นลงจากท้องนภา เพื่อต้านทานการมาของเข็มบิน

“ฟิ้ว!”

เข็มบินเล่มหนึ่งกลายเป็นเงาสีฟ้าจางๆ พุ่งทะลุเงาสีแดงของกระบองหนามราวกับไม่มีอะไรมากีดขวางไว้ จากนั้นก็จมเข้าในสายรุ้งยาว

“อาวุธเวทย์!”

มีเสียงดังมาจากท่ามกลางสายรุ้งยาว และดังก้องไปยังขอบฟ้า แต่น้ำเสียงนี้ยังไม่ทันหยุดลง ก็มีเสียงร้องอย่างเวทนาดังออกมา

ครู่ต่อมา เงาม่านสีแดงก็หายไปทันที สายรุ้งยาวก็กระพริบหายไป เผยให้เห็นร่างที่ไม่ขยับเขยื้อน

ขณะนี้มือข้างหนึ่งของหงซานจับกระบองหนาม ส่วนอีกข้างก็ทำท่ามืออยู่ ดูเหมือนทั่วทั้งร่างกายจะไม่มีบาดแผลใดๆ เลย ดวงตาทั้งคู่เต็มไปด้วยความหวาดผวา และรับรู้ไม่ได้ถึงการมีชีวิตอยู่ ประจักษ์ชัดว่าได้เสียชีวิตภายใต้เข็มบินสีฟ้าแล้ว แม้แต่วิญญาณในร่างก็ถูกทำลายไปพร้อมกัน

พอเซียนเซิ่งจีที่กำลังหลบหนีอยู่ตรงขอบฟ้าอีกด้าน ได้ยินเสียงร้องก่อนเสียชีวิตของหงซาน ก็รู้สึกสั่นสะท้าน มือข้างหนึ่งของนางคว้าไปที่คอโดยไม่สนใจสิ่งอื่นใด จากนั้นก็ดึงจี้หยกสีขาวแวววาวออกมา

บนจี้หยกมีวิหคเพลิงสลักอยู่ มันดูราวกับมีชีวิต และแผ่แสงทรงกรดสีม่วงออกมา

เซียนเซิ่งจีโบกมือโยนจี้หยกไปกลางอากาศโดยไม่ต้องคิด จากนั้นมันก็ประทุเปลวไฟอันร้อนแรงออกมา เสียงแหลมคมดังออกมาจากในนั้น และวิหคเพลิงสีม่วงขนาดเท่าฝ่ามือก็บินออกมา

พริบตาที่วิหคเพลิงกระพือปีก เปลวไฟก็ม้วนตัวตาม จากนั้นร่างของมันก็ขยายใหญ่สามสี่จั้ง

ขณะนั้นเอง เข็มบินสีฟ้าอีกเล่มก็ดูเหมือนจะปรากฏออกมาบริเวณนั้น จากนั้นก็พร่ามัวพุ่งใส่วิหคเพลิง

“หยุดนะ! ข้าคือธิดาเทพของเผ่าเกล็ดแดง มีชีวิตอยู่ล่ะก็ จะ……”

หลังจากเซียนเซิ่งจีรับรู้ถึงอานุภาพอันน่ากลัวที่เข็มบินแผ่ออกมา สีหน้าของนางก็ขาวเผือดลงทันที และพยายามตะโกนออกมาอย่างสุดชีวิต

แต่ว่าเสียงของนางยังไม่ทันสิ้นสุด วิหคเพลิงที่อยู่ด้านหลังก็ดับสลายไปหลังจากที่เข็มบินพุ่งทะลุเข้ามา จากนั้นเข็มบินก็กลายเป็นแสงสีฟ้าเจาะทะลุศีรษะของเซียนเซิ่งจี

เซียนเซิ่งจีแสดงสีหน้าเหลือเชื่อออกมา แต่ดวงตาทั้งคู่สูญสิ้นความมีชีวิตชีวาไปนานแล้ว จากนั้นร่างของนางก็อ่อนยวบยาบ และตกลงไปจากอากาศ!

ชายชุดคลุมสีขาวยังคงยืนอยู่ที่เดิมอย่างเงียบๆ พอมีคลื่นสั่นสะเทือนตรงหน้า เข็มบินทั้งสองก็พุ่งยิงกลับมา เมื่อเขาสะบัดแขนเสื้อ มันก็กระพริบมาอยู่ในมือของเขา

“อาวุธเวทย์……เข็มบินพลังหยินลี้ลับของข้านี้ แค่พอจะนับได้ว่าเป็นลูกๆ ของอาวุธเวทย์เท่านั้น ยังห่างจากอาวุธเวทย์ที่แท้จริงมากนัก!” ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวจ้องมองเข็มบินในมือแล้วพูดออกมาเบาๆ พอเขาค่อยๆ กำมือเข้าหากัน มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ขณะนี้เอง เขาก็กวาดสายตามาทางลี่คุนและเจียหลานในที่สุด

เพราะว่าทั้งสองเป็นเผ่าเจ้าสมุทรเพียงสองคนที่เหลืออยู่!

พอรับรู้ถึงแรงกดดันมหาศาลจากสายตาของชายหนุ่มชุดขาว แม้ลี่คุนจะหน้าเขียวปัด แต่ไม่ได้แสดงความหวาดกลัวออกมามากนัก แต่กลับหัวเราะอย่างขมขื่น และทำปากขมุบขมิบ ซึ่งเขากำลังส่งไปหาราชาปีศาจสมุทรโดยตรง

ชายหนุ่มชุดขาวฟังแค่ไม่กี่ประโยค ก็ตาเป็นประกายขึ้นมา

หลังจากเขาเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ก็พยักหน้ามาทางลี่คุนเบาๆ และกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะละเว้นเจ้าไปก่อน ไปยืนดูอยู่ข้างๆ เถอะ!”

ได้ยินราชาปีศาจสมุทรกล่าวเช่นนี้ ผู้คนที่อยู่ที่นั่นต่างก็รู้สึกตื่นตะลึง และแอบคาดเดาอยู่ในใจว่าลี่คุนพูดอะไรออกไปกันแน่ ถึงรักษาชีวิตไว้ได้อย่างง่ายดายเพียงนี้

ลี่คุนมองดูเจียหลานด้วยสีหน้าซับซ้อน จากนั้นก็เดินไปอีกข้างอย่างเงียบๆ

เมื่อสายตาทุกคนตกอยู่บนตัวเจียหลาน สีหน้าของนางก็ซีดขาวอย่างถึงขีดสุด ขณะที่นางพยายามฝืนยิ้มและกำลังจะพูดอะไรบางอย่างออกมา ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวกลับโบกมือแล้วกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“เห็นแก่ที่เจ้ามีร่างละเมอฝัน และยังไม่ได้มีสายเลือดเผ่าเจ้าสมุทรอย่างเดียว ข้าจะไว้ชีวิตเจ้าชั่วคราว จากนี้ต่อไปให้เป็นสาวใช้ข้างกายข้า ดูแลปรนนิบัติข้าก็แล้วกัน!”

ตอนแรกเจียหลานก็รู้สึกอึ้งไปทันที แต่หลังจากที่นางมีสีหน้าเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง ก็พยักหน้าและยิ้มอย่างขมขื่น

ระดับของเหลวขั้นต้นอย่างนาง ไหนเลยจะกล้าพูดปฏิเสธออกไป

ด้วยเหตุนี้ จึงเหลือแต่หลิ่วหมิงกับเย่เทียนเหมยแล้ว

เย่เทียนเหมยจ้องมองชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวด้วยแววตาเยือกเย็น

ชายหนุ่มชุดคลุมสีขาวตรงหน้ากลับเอามือไขว้หลัง และหรี่ตาสังเกตนางอย่างละเอียด จากนั้นก็พยักหน้าด้วยความพอใจแล้วกล่าวออกมา

“ไม่เลว! เจ้าก็ไม่ต้องรับฝ่ามือของข้า เป็นคู่รักฝึกฝนของข้าเถอะ!”

พอคำพูดนี้ออกจากปาก ไม่เพียงแต่อู่เหยียนและคนอื่นๆ จะรู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง แม้แต่ชิงฉิน ชื่อลี่ และผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจคนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกอึ้งไปเช่นกัน

ผู้อาวุโสหลิวก็ชะงักงันไปชั่วขณะหนึ่ง

……………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด