ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 390 สองกลุ่มอิทธิพลใหญ่

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 390 สองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

แม้ว่าสถานะผู้ฝึกฝนกระบี่กับวิชาขี่กระบี่จะน่าตกใจ แต่เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านพ้นไป นอกจากทาสเหมืองแร่จำนวนหนึ่งที่มองมาด้วยสายตาหวาดกลัวอยู่ตลอดเวลาแล้ว คนอื่นๆ ก็ละความสนใจจากการต่อสู้นี้ และทำเรื่องอื่นๆ ต่อ

ศพของชายฉกรรจ์ก็ถูกทาสเหมืองแร่สองสามคนลากออกไปจากเขตแลกเปลี่ยนอย่างฉับไว ซึ่งไม่รู้ว่าเอาไปฝังไว้ที่ไหน

แน่นอนว่าคนจำนวนหนึ่งที่ตามมาถึงอุโมงค์ ย่อมถูกคนอื่นกล่าวเตือนแล้วชี้ไปทางหลิ่วหมิง

แต่ทาสเหมืองแร่จำนวนหนึ่ง กลับไม่รู้สึกหวาดกลัว

ในความคิดของพวกเขา เป็นเพราะว่าหลิ่วหมิงยังเป็นคนใหม่อยู่ จึงมีพลังเวทย์มาก และถึงได้โจมตีออกมาได้อย่างน่ากลัว หากผ่านไปสามสี่เดือน ต่อให้เป็นผู้ฝึกกระบี่ก็ไม่อาจกระตุ้นวิชากระบี่บินได้

ไม่นาน หญิงที่ชื่อ ‘ชิงฉี’ กับพวกพ้องก็ตามมาถึงในอุโมงค์ พอเห็นหลิ่วหมิงยังนั่งอยู่กับที่โดยที่ไม่เป็นอะไรเลย ก็รู้สึกตกตะลึงมาก จากนั้นก็สอบถามคนที่รู้จักถึงรู้เรื่องราวที่เกิดขึ้น สิ่งนี้ทำให้พวกเขาตกใจมาก และต่างก็มองหน้ากันอย่างอดไม่ได้

ขณะนั้นพวกเขาไม่กล้ามองไปทางหลิ่วหมิง แต่กลับรีบหลบไปไกลๆ และรวมตัวกันพวกพ้องอีกสองสามคน

เมื่อคนที่ขุดเจาะหินแร่อยู่ในส่วนลึกของสายแร่ทยอยกลับมานั้น ผู้คนในอุโมงค์ขนาดใหญ่ก็เพิ่มมากขึ้น พริบตาเดียวก็มีคนมากกว่าสองร้อยคน ทั้งยังมีคนเข้ามาอยู่ตลอดเวลา

แต่คนที่มาทีหลังส่วนมากมีสีหน้าเหี้ยมหาญ กลิ่นไอที่ปล่อยออกมาก็แข็งแกร่งกว่าทาสเหมืองแร่โดยทั่วไปมาก

คนเหล่านี้ต่างก็อยู่รวมกันเป็นกลุ่ม กลุ่มเล็กๆ มีประมาณสามสี่คน กลุ่มใหญ่สุดมีประมาณยี่สิบถึงสามสิบคน

หนึ่งในสองกลุ่มที่มีคนเยอะที่สุด เป็นเผ่าเจ้าสมุทรที่ต่างก็มีเกล็ดสีต่างๆ อยู่บนใบหน้า แต่ละคนต่างก็มีใบหน้าหยิ่งยโส ดูเหมือนว่าจะไม่เห็นทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ อยู่ในสายตาเลย

ส่วนอีกกลุ่มก็มีผู้ฝึกฝนอยู่หลากหลายเผ่า แต่ละคนล้วนกำยำล่ำสัน สีหน้าเยือกเย็น ดูเหมือนว่าต่างก็เป็นผู้ที่ฝึกร่างสำเร็จแล้ว ทั้งยังสวมชุดคลุมหนังแขนสั้น บนแขนเสื้อต่างก็มีสัญลักษณ์เป็นดวงตาสีเหลืองปักอยู่

เมื่อทั้งสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่รวมตัวเข้าด้วยกัน ก็มีราวๆ ร้อยกว่าคน ซึ่งยึดครองพื้นที่ฝั่งตะวันออกและตะวันตกพอดี

กลุ่มเล็กๆ ที่อยู่ที่นี่มาแต่แรกต่างก็จ้องมองกลุ่มอิทธิพลทั้งสองด้วยความหวาดกลัว และต่างก็ถอยห่างออกไป

ดูท่าทั้งสองกลุ่มอิทธิพล คงจะเป็นสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่ชายหนุ่มร่างผอมแห้งได้กล่าวไว้

ณ มุมหนึ่งที่อยู่ห่างจากหลิ่วหมิงไปไม่ไกล ทาสเหมืองแร่เล็กๆ กลุ่มหนึ่งกำลังกระซิบกระซาบอะไรกันอยู่

ด้วยพลังจิตอันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิง เพียงแค่ปล่อยออกไปเล็กน้อย ย่อมได้ยินอย่างชัดเจน

“จุ๊ๆ! เผ่าเจ้าสมุทรกลุ่มนี้ยังคงใช้อำนาจบาตรใหญ่เช่นเดิม แต่ละคนยังคงมองไม่เห็นหัวคนอื่นเลย” น้ำเสียงหยาบกระด้างกล่าวออกมาด้วยความไม่พอใจ แต่เสียงดังมากจนทำให้คนด้านข้างขมวดคิ้วขึ้นมา

“เบาเสียงหน่อยจะดีกว่า หากพวกเขาได้ยินจะเกิดเรื่องยุ่งยากขึ้นได้” ชายวัยกลางคนรีบว่ากล่าวตักเตือน

“ฮึ! ก็แค่อาศัยผู้อาวุโสระดับผลึกคนหนึ่งคอยหนุนหลัง ไม่อย่างนั้นคนอื่นๆ คงไม่กลัวพวกเขาหรอก!” คนก่อนหน้านั้นทำเสียงฮึดฮัด จากนั้นก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่เบาลงเล็กน้อย

“ทั้งสองฝ่ายต่างก็ทีท่าทางดุดันเช่นนี้ พวกเจ้าว่าครั้งนี้ ‘พันธมิตรเหล็ก’ จะปะทะกับพวกเขาหรือไม่?” ขณะนี้ มีคนกล่าวออกมาอย่างระมัดระวัง

“ข้าว่าคงไม่ เพราะอีกไม่นานผู้พิทักษ์ที่รับชำระหินแร่ก็จะมาถึงแล้ว เวลานี้คงไม่มีใครโง่พอที่ลงมือหาเรื่องอย่างแน่นอน” ชายวัยกลางคนส่ายหน้า และกล่าวออกมา

ฟังจากคำพูดของพวกเขา มันช่วยยืนยันสิ่งที่หลิ่วหมิงคิดอยู่ในใจได้ ผู้นำของกลุ่มอิทธิพลใหญ่ที่มีเผ่าเจ้าสมุทรเป็นหลัก ก็คือเผ่าปีศาจที่เป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกเพียงหนึ่งเดียวในที่นี้ ว่ากันว่าเขาเป็นครึ่งเผ่าเจ้าสมุทรกับครึ่งเผ่าปีศาจ มีที่มาแปลกประหลาดยิ่งนัก

และคิดว่าผู้นำของกลุ่มที่อยู่ทางด้านตะวันวันตกที่ดูเหมือนจะชื่อว่า ‘พันธมิตรเหล็ก’ จะต้องเป็นผู้ฝึกร่างระดับของเหลวขั้นปลายของเผ่าฆ้องทองแดงอย่างแน่นอน

เมื่อหลิ่วหมิงดึงพลังจิตกลับมาแล้ว ก็เริ่มสังเกตทั้งสองกลุ่มอิทธิพลใหญ่อย่างละเอียด

ในขณะนี้ ดูเหมือนว่ากลุ่มอิทธิพลทางด้านตะวันออกที่มีเผ่าเจ้าสมุทรเป็นหลัก จะมีจำนวนคนราวๆ สี่สิบกว่าคน ในนั้นมีเผ่าเจ้าสมุทรราวๆ แปดถึงเก้าในสิบส่วน ส่วนมากมีเกล็ดสีม่วงและสีดำอยู่บนใบหน้า

นอกจากนี้ ยังมีหญิงสาวงดงามที่มีเกล็ดสีทองบนใบหน้า อายุราวๆ ยี่สิบกว่าปี ดูจากกลิ่นไอที่นางแผ่ออกมา เหมือนจะอยู่แค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น แต่ดูเหมือนว่าเผ่าเจ้าสมุทรคนอื่นๆ ต่างก็ยืนห้อมล้อมนางอยู่ และมองมาอีกฝั่งของอุโมงค์ด้วยแววตายั่วยุ

แต่ภายใต้การตรวจสอบของหลิ่วหมิง กลับไม่ค้นพบว่าในกลุ่มคนเหล่านี้จะมีผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเลย

ส่วนอุโมงค์ทางด้านตะวันตก แม้จะมีจำนวนคนมากกว่าทางด้านตะวันออกไม่น้อย แต่ด้วยเหตุที่มีคนหลากหลายเผ่า ดังนั้นจึงแบ่งแยกเป็นกลุ่มย่อยๆ และนั่งอยู่บนพื้นทั้งหมด

แต่ที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกแปลกใจก็คือ เขาไม่ค้นพบว่าในนั้นจะมีผู้แข็งแกร่งเผ่าฆ้องทองแดงผู้นั้นแต่อย่างใด

ทั้งสองกลุ่มต่างก็จ้องมองกันจากที่ไกลๆ บรรยากาศดูตรึงเครียดเป็นอย่างมาก

“ฮึ! ก็แค่พวกที่ไม่มีสังกัด จะทำอะไรได้” เผ่าเจ้าสมุทรคนหนึ่งที่มีเกล็ดสีแดงบนใบหน้าทำลายความเงียบในทันที หลังจากพูดออกไปหนึ่งประโยคแล้ว แม้น้ำเสียงของเขาจะไม่ดังมาก แต่ตอนนี้มันกลับดังเข้าหูของทุกคนในอุโมงค์อย่างชัดเจน

“นั่นน่ะสิ! ดูจากคนเหล่านี้ที่อยู่แยกกันเป็นกลุ่มๆ แล้ว คนที่ไม่รู้มาก่อนคงคิดว่าเป็นกลุ่มอิทธิพลเล็กๆ ที่มาจากไหนก็ไม่รู้” เผ่าเจ้าสมุทรเกล็ดเงินผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างเห็นเช่นนี้ก็รีบกล่าวสมทบ ซึ่งน้ำเสียงสูงกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

“เฮ่อๆ! ยังมีหน้าเรียกตนเองว่า ‘พันธมิตรเหล็ก’ ช่างน่าขันยิ่งนัก เรียกพันธมิตรสนิมน่าจะเหมาะสมยิ่งกว่า” เผ่าปีศาจผิวสีฟ้าผู้หนึ่งหัวเราะ และกล่าวออกมา

พอคำพูดนี้ออกจากปาก ก็ทำให้ผู้คนที่อยู่ในกลุ่มอิทธิพลเดียวหัวเราะออกมาพร้อมกัน

ขณะเดียวกัน กลุ่มพันธมิตรเหล็กที่อยู่ตรงข้ามกลับมีสีหน้าอึมครึมขึ้นมา และมีคนบางคนลุกขึ้นมาทันที กลุ่มย่อยที่นั่งกระจัดกระจายก็รวมตัวเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

“พวกเจ้าคิดว่าตนเองเป็นใคร ก็แค่กลุ่มมัจฉาที่ปะปนกันยุ่งเหยิงเท่านั้น” ทาสเมืองแร่ใบหน้าซีดขาวรูปร่างค่อนข้างเตี้ยกล่าวออกมาอย่างเยือกเย็น

“หากข้าจำไม่ผิดล่ะก็ หญิงสาวที่มีแสงสีทองเปล่งประกายบนใบหน้า ดูเหมือนจะเรียกตนเองว่าเผ่าเกล็ดทองของราชวงศ์ชังไห่ น่าเสียดายจริงๆ หากไม่มีเกล็ดเหล่านั้นบนใบหน้า คงเป็นหญิงสาวงดงามอย่างแน่นอน” ชายฉกรรจ์เผ่าอสูรที่มีดวงตาสีเหลืองทองพูดแทรกเข้ามา สีหน้าดูไม่ประสงค์ดีเป็นอย่างยิ่ง

พอหญิงสาวเผ่าเกล็ดทองผู้นั้นได้ยินคำพูดของชายฉกรรจ์เผ่าอสูร สีหน้าของนางก็ดูเยือกเย็นขึ้นมา

“ข้าได้ยินว่าช่วงนี้พันธมิตรของพวกท่านได้พบเจอแหล่งที่มีแร่หินสมบูรณ์เป็นพิเศษ คิดว่าเหยียนลัวคงพาคนไปขุดทุกวันสินะ ทำไมพวกเจ้าถึงไม่ไปด้วยกัน?”

พอหญิงสาวพูดออกไป กลุ่มพันธมิตรที่อยู่ตรงหน้าก็มีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาทันที

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด