ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 413 ศึกเผ่าเจ้าสมุทร (4)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 413 ศึกเผ่าเจ้าสมุทร (4) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลานสี่พูดเพียงเท่านี้ จากนั้นก็ไปนั่งขัดสมาธิอยู่บนพื้นอย่างรวดเร็ว เขาหลับตาทั้งสองลง ไม่รู้ว่ามีหินจิตวิญญาณระดับกลางอยู่บนมือเขาตั้งแต่เมื่อไหร่ ต่อมาเขาก็เริ่มทำการฟื้นฟูพลังทันที

ขณะเดียวกัน ผู้คนบนแท่นหินที่สะสมพลังมานาน ก็เริ่มกระตุ้นเคล็ดวิชาต่างๆ เพื่มโจมตีม่านแสงสีเงินที่ปรากฏขึ้นมาใหม่

คนแรกที่เริ่มโจมตีก็คือซินหยวน

ในขณะที่หลานสี่เพิ่งพูดจบ แสงสีทองจางๆ ก็เปล่งประกายออกจากร่างของซินหยวน จากนั้นเขาก็กระโดดตัวพร้อมกับหมุนควงกระบองเหล็กในมือโจมตีไปยังใจกลางม่านแสงสีเงิน

ครู่ต่อมา เงากระบองสีดำปรากฏออกมาเป็นจำนวนมาก มันทุบใส่ม่านสีเงินอย่างรุนแรง

คลื่นอากาศระเบิดตัวบนม่านแสงพร้อมกับส่งเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น และก่อตัวเป็นพายุบ้าระห่ำม้วนตัวออกไปทั่วทิศ

ซินหยวนยังคงโจมตีต่อโดยไม่สนใจสิ่งที่เกิดขึ้น กล้ามตัวบนตัวขยายใหญ่ขึ้นมาเท่าตัว จากนั้นลายเส้นสีดำก็ปรากฏบนร่างของเขา

หญิงสาวเผ่าเกล็ดทองขยับตัวลอยขึ้นกลางอากาศ จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้นมา และกระจกโบราณก็ปรากฏอยู่บนมือทันที

“ฟู่!”

จุดแสงเล็กๆ จำนวนมากพุ่งออกจากกระจกไปรวมตัวกันกลางอากาศ พริบตาเดียว ก็ก่อตัวเป็นลำแสงสีทองแล้วพุ่งยิงออกไป

และบนแท่นหินที่อยู่ใกล้ๆ หญิงสาวที่ชื่อชิงฉีก็หยิบธงที่มีไอดำลอยวนอยู่ออกมาเป็นครั้งแรก นางโบกสะบัดธงอย่างบ้าคลั่งจนหมอกดำพวยพุ่งออกมา มันค่อยๆ กลายเป็นวิหคประหลาดที่มีหน้าเป็นปีศาจร่างเป็นอินทรีย์ จากนั้นก็พัดพาพายุพุ่งใส่ม่านแสงสีเงินอย่างรุนแรง

ขณะนี้ บนแท่นหินอีกด้านหนึ่งก็มีฝุ่นปลิวว่อน ขณะเดียวกันก็มีเสียงดังแทรกเข้ามา

คนเผ่าเจ้าสมุทรสองสามคนถือธนูกระดูกขนาดใหญ่ และยิงลูกธนูหลากสีออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ

ดูจากท่าทางของพวกเขาแล้วไม่นับว่ารวดเร็วมากนัก แต่ทุกการโจมตีต่างก็ทำให้ม่านแสงสีเงินสั่นสะท้าน อานุภาพของมันแปลกประหลาดยิ่งนัก!

ทาสเหมืองแร่คนอื่นๆ ที่อยู่ริมทะเลสาบ ก็ค่อยๆ นำอาวุธที่เป็นท่าไม้ตายของตนเองออกมาร่วมทำการโจมตี

แม้การโจมตีของพวกเขาจะเทียบกับซินหยวนและคนอื่นๆ ไม่ได้ แต่ด้วยที่ว่ามีคนจำนวนมากโจมตีพร้อมกัน เมื่อมองจากที่ไกลๆ จะเห็นว่ามันดูคล้ายก้อนเมฆอันเรืองรอง อานุภาพจึงแข็งแกร่งขึ้นอีกเล็กขึ้น

ในขณะที่มีเสียงระเบิดดังออกมานั้น ม่านแสงสีเงินก็เริ่มบิดเบี้ยวขึ้นมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่ลังเลอีกต่อไป

ทันทีที่เขาสะบัดข้อมือ แสงสีฟ้าก็เปล่งประกาย เขาใช้นิ้วลูบกระบี่เล็กสีฟ้า และปล่อยพลังเวทย์เข้าไปอย่างบ้าคลั่ง

กระบี่เล็กสีฟ้าสั่นไหวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็แผ่ไอเย็นสะท้านออกมา

หลิ่วหมิงสะบัดข้อมือด้วยใบหน้าที่ไร้ความรู้สึก ทันใดนั้นเงากระบี่จำนวนมากก็ปรากฏออกมา เมื่อเขาคลายนิ้วทั้งห้า กระบี่ทั้งหมดก็พุ่งยิงออกไป มันรวมตัวเข้าด้วยกันในระหว่างทาง และขยายใหญ่ตามแรงลมอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็กลายเป็นกระบี่แสงสีฟ้าที่ยาวสามสิบสี่สิบจั้ง

มีเสียงแหลมยาวดังขึ้นมา!

พอหลิ่วหมิงกระตุ้นกระบี่เล็กสีฟ้า มันก็กลายเป็นสายรุ้งแวววาวม้วนตัวออกไป ซึ่งกระพริบแค่ทีเดียว ก็ฟันใส่ม่านแสงที่บิดเบี้ยวทันที

“ตู๊ม!” เกิดเสียงดังสนั่น!

ทันทีที่กระบี่แสงขนาดใหญ่ฟันลงบนม่านแสง มันก็สั่นคลอนเล็กน้อย!

หลิ่วหมิงยืนอยู่บนแท่นหิน เขาขยับแขนด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก จากนั้นก็ชี้นิ้วไปทางอากาศ

กระบี่แสงสีฟ้าดีดตัวออกมา และวกกลับไปฟันอีกครั้ง…….

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป!

หลังจากม่านแสงสีเงินบนทะเลสาบถูกกระหน่ำโจมตีอย่างต่อเนื่อง ในที่สุดมันก็พังทลายลง

หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ยังไม่ทันได้แสดงความดีใจออกมา ไหมแสงสีโลหิตก็ปรากฏตัวในบริเวณที่ม่านแสงสีเงินพังทลายลง มันทอสลับกันไปมาราวกับเป็นสิ่งมีชีวิต จากนั้นก็กลายเป็นกำแพงแสงโลหิตปิดกั้นไว้

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็รีบหยุดโจมตีในทันที

คนอื่นๆ ต่างก็รู้สึกใจสั่นสะท้าน และหยุดการโจมตีเช่นกัน

แต่มีสองคนที่ยังทำการโจมตีด้วยความคึกคะนอง ดูเหมือนว่าจะมีคนหนึ่งยิงลูกธนูหลากสีใส่แสงโลหิต ส่วนอีกคนก็ยกมือทั้งสองปล่อยอัคคีสายฟ้าโจมตี

ฉากแปลกประหลาดได้บังเกิดขึ้นแล้ว!

พอการโจมตีของทั้งสองมาถึงด้านหน้ากำแพงสีโลหิต ก็มีเสียงดัง “ฟู่!” “ฟู่!” จากนั้นก็จมหายไปอย่างน่าประหลาดใจ

ต่อมามีเสียงดัง “โครมคราม!” ดังออกมา จากนั้นลำแสงสีโลหิตก็พุ่งออกมาสองลำ พริบตาเดียวก็มาถึงด้านหน้าของทั้งสอง

เมื่อรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล สีหน้าของทั้งสองก็เปลี่ยนไปทันที คนหนึ่งโบกธนูในมือจนกลายเป็นม่านแสงสีขาวห่อหุ้มตนเองไว้

ส่วนอีกคนก็อ้าปากพ่นเปลวไฟใส่ลำแสงในฉับพลัน

แต่ครู่ต่อมา ลำแสงทั้งสองก็สลายตัวเป็นไหมโลหิตจำนวนมาก พอมีเสียงดัง “ซิ้วๆ!” เปลวไฟสีแดงกับม่านแสงสีขาวก็ถูกเจาะทะลุ ไหมโลหิตรัดพันทั้งสองไว้อย่างแน่นหนา ดูไกลๆ มันดูคล้ายกับรังไหมโลหิต

ทั้งสองดิ้นรนอยู่ในรังไหมโลหิตด้วยความตกใจ พร้อมทั้งตะโกนออกมา แต่ภายใต้การรัดพันของไหมโลหิต พริบตาเดียวทั้งสองก็ไม่สามารถขยับตัวได้เลยแม้แต่น้อย

ขณะที่คนที่อยู่ด้านข้างคิดจะแสดงวิชาเข้าไปช่วยเหลือนั้น ไหมโลหิตกลับรัดแน่นขึ้นมาทันที

“โพล๊ะ!” รังไหมทั้งสองระเบิดตัวเป็นหมอกโลหิตอันพวยพุ่ง กลิ่นคาวเลือดเหม็นคลุ้งไปทั่วห้อง

หลังจากกำแพงโลหิตสั่นสะท้านอยู่สองสามที มันก็กลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

“นี่คืออะไรกันแน่ หรือว่ามันจะเป็นสิ่งมีชีวิต?”

สิ่งที่เกิดขึ้นทั้งหมดใช้เวลาแค่เพียงไม่กี่อึดใจเท่านั้น ทำให้ผู้คนบนแท่นหินต้องสูดหายใจด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน เหงื่อเย็นไหลออกมาเต็มหลัง และต่างก็แอบคิดว่าโชคดีที่ตนเองไม่ได้เสี่ยงอันตรายลงมือ แต่ก็มีสหายของสองคนนั้นพูดออกมาด้วยความโมโห

”ฮึ! สิ่งมีชีวิตอะไรกัน ก็แค่โลหิตที่เป็นพิษเท่านั้น แม้เจ้าสิ่งนี้จะไม่มีสติปัญญา แต่ก็มีสัญชาตญาณในโจมตีสิ่งมีชีวิตทุกชนิดที่เข้าใกล้มัน หากยืมพลังของสมบัติล้ำค่ามาทำลายมันในตอนที่ยังไม่ได้เข้ามาที่นี่ล่ะก็ มันจะง่ายราวกับพลิกฝ่ามือ ตอนนี้น่ะหรือ คงต้องเสียเวลากันสักหน่อย อีกอย่าง ก่อนหน้านั้นข้าก็พูดชัดเจนแล้วว่า ชั้นจำกัดที่สามนี้มอบให้ข้าเป็นคนจัดการเอง พวกเขากลับไม่ฟังข้า โทษใครไม่ได้แล้ว”

หลานสี่ที่เดิมทีนั่งขัดสมาธิอยู่พลันลืมตาขึ้นมา ริมฝีปากของเขาเผยรอยยิ้มอันเยือกเย็น และค่อยๆ กล่าวออกมา

จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นในทันที ร่างของเขาพร่ามัวไปยืนอยู่ห่างจากคนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองคนที่ยืนเคียงไหล่กันอยู่ไม่ไกล นิ้วทั้งสิบกางออกอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็คว้าเอาศีรษะของทั้งสองไว้

“ผู้อาวุโสหลาน! ท่านจะทำอะไร!”

คนเผ่าเจ้าสมุทรทั้งสองต่างก็ตกใจจนหน้าถอดสี แต่กลับรู้สึกว่าตนเองหนักราวๆ หมื่นชั่งจนไม่อาจกระดิกตัวได้ พวกเขาจึงตะโกนออกมา

“ฮึ! ทำอะไรล่ะ? แน่นอนว่าต้องนำชั้นจำกัดโลหิตมาช่วยให้ทุกคนรอดน่ะสิ”

“อะไรกัน ท่านไม่ใช่บอกว่า……”

ทั้งสองยังพูดไม่ทันจบ หลานสี่ก็เผยแววตาโหดเหี้ยมออกมา นิ้วทั้งสิบออกแรงบีบลงไปด้วยพลังอันมหาศาล ทำให้ศีรษะของทั้งสองระเบิดออกมาทันที

ขณะที่ร่างไร้ศีรษะทั้งสองร่วงลงพื้นนั้น มือทั้งสองของหลานสี่ก็เปลี่ยนไปมาอย่างรวดเร็ว โลหิตพุ่งทะลักออกจากบริเวณลำคอของศพไร้ศีรษะ พริบตาเดียวก็กลายเป็นโลหิตกลมๆ สองลูก หลังจากที่มันหมุนตัวติ้วๆ แล้วก็ลอยอยู่กลางอากาศ

ดวงตาของหลานสี่เป็นประกาย เขาชี้มือข้างหนึ่งไปทางอากาศสองที โลหิตกลมๆ กลายเป็นอักขระสีเลือดที่ไม่ทราบชื่อสองตัว หลังจากถูกกระตุ้น มันก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ และเริ่มกระพริบไปมาอยู่ไม่หยุด

ซินหยวนเห็นฉากนองเลือดเช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

หากเมื่อครู่เขาไม่พูดว่า “อาศัยชั้นจำกัดกัดโลหิตช่วยให้ทุกคนรอด” ล่ะก็ เกรงว่าคงจะเกิดความวุ่นวายเป็นแน่แท้

ขณะนี้หลานสี่ไม่ได้สนใจคนอื่นๆ อีก นิ้วทั้งสิบดีดตัวออกไป และร่ายคาถาอย่างไม่ขาดสาย อักขระโลหิตสองตัวกลายเป็นสายรุ้งโลหิตสองสายก่อนพุ่งยิงออกไป มันกระพริบแค่ทีเดียวก็จมหายไปในกำแพงแสงโลหิต

หลังจากอักขระสีโลหิตจมหายเข้าไปในกำแพงแสงโลหิตแล้ว พื้นผิวของมันก็เปล่งประกายออกมา มันหดขยายไปมาอยู่ครู่หนึ่ง

ขณะที่หลานสี่ชี้มือไปกลางอากาศ ก็เกิดเสียงดังขึ้นมา จากนั้นมันก็ละลายเป็นของเหลวสีโลหิต

ทันใดนั้น รอยแยกเป็นแนวยาวสิบกว่าจั้งก็ปรากฏต่อหน้าผู้คน มันมีขนาดแคบมาก ทั้งยังดูเหมือนว่าด้านในจะเป็นฤดูหนาวอันมืดมิด

สิ่งนี้ทำให้ทุกคนมองรอยแยกด้วยความดีใจ ขณะเดียวกันก็แสดงสีหน้าลังเลออกมาเล็กน้อย

ดูเหมือนหลานสี่จะเตรียมการไว้แต่แรกแล้ว เขาจึงสะบัดแขนเสื้อ และโยนกระดูกกลมๆ ออกไปทันที

ของสิ่งนี้เพียงแค่หมุนตัวอยู่ในรอยแยกหนึ่งรอบ จากนั้นก็กลายร่างเป็นหุ่นโครงกระดูกขนาดไม่ใหญ่มากนัก และบินโซเซเข้าไปในรอยแยก

ต่อมาหลานสี่กลับทำท่ามือด้วยมือเดียว และค่อยๆ หลับตาทั้งคู่ลง

พริบตานั้น ทุกคนต่างก็จ้องมองใบหน้าของหลานสี่ตาไม่กระพริบ เพราะความปลอดภัยของมิติในรอยแยก จะตัดสินชะตากรรมของทุกคนที่อยู่ในนี้

“ดีมาก! ทางนั้นปลอดภัยมาก และไม่มีร่องรอยของอสูรโฉด รอยแยกนี้คงอยู่ได้ราวๆ หนึ่งชั่วยาม ตอนนี้ทุกท่านสามารถมาหยิบป้ายกระดูกกับของเหลวจิตวิญญาณไปคนละหนึ่งชุด จากนั้นก็พักผ่อนเล็กน้อยแล้วก็รีบเข้าไปข้างในกัน” หลานสี่หยุดทำท่ามือ หลังจากลืมตาขึ้นมาแล้วก็ค่อยๆ กล่าวออกมา

พอคำพูดนี้ออกจากปาก ทุกคนก็รู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

หลานสี่ค่อยๆ ก้าวไปด้านหน้าทางเข้าและนั่งขัดสมาธิลงอีกครั้ง พอสะบัดแขนเสื้อ ถุงหนังจำนวนมากก็กองอยู่ตรงหน้า

ครั้งนี้หลานสี่ไม่ต้องเร่งรัดอะไร ก็มีคนก้าวออกไปรับสิ่งของก่อน

หลังจากหลิ่วหมิงหยิบถุงหนังมาใบหนึ่ง และใช้พลังจิตกวาดดูเล็กน้อย ก็ค้นพบว่าในนั้นมีป้ายกระดูกกับของเหลวจิตวิญญาณที่สร้างมาจากโลหิตของอสูรโฉดอยู่ จากนั้นเขาก็เดินไปหาที่ว่างแล้วนั่งลงไป

ครึ่งชั่วยามต่อมา

“ออกเดินทาง!”

หลานสี่ลุกขึ้นมาในฉับพลัน เขานำป้ายกระดูกมาแขวนไว้ตรงเอว จากนั้นก็กระพริบหายไปในรอยแยก

คนอื่นๆ ต่างก็ลุกขึ้นมาด้วยใจที่สั่นสะท้าน จากนั้นก็ทยอยกันเข้าไปในรอยแยก

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด