ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 432 กรงขัง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 432 กรงขัง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อย่างที่รู้ว่าผ่านมานานหลายปีขนาดนี้ หมู่เกาะกับเผ่าต่างๆ ในเขตทะเลชังไห่ ก็มีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้คนเดียวเท่านั้น

จากข่าวที่อาจารย์อาเยี่ยนกับประมุขนิกายปีศาจได้รับในตอนแรก ราชาปีศาจสมุทรผู้นี้มีบริวารไม่มาก ซึ่งเทียบไม่ได้กับราชวงศ์ชังไห่ที่มีสามเผ่าเจ้าสมุทรในอวิ๋นชวนคอยช่วยเหลือเลย

เขาอาศัยแค่พลังของตนเอง ก็ทำให้ราชาทะเลชังไห่ไม่อาจนั่งนิ่งดูดายได้ จึงต้องร่วมมือกับมนุษย์ในแผ่นดินอวิ๋นชวนไปต่อต้านเขาอย่างไม่ลังเล

ดูท่าระดับแก่นแท้คงน่ากลัวเป็นอย่างมาก และความสำเร็จของเขานั้น เพียงแค่อาศัยสิ่งของภายนอกแปลงเป็นแก่นแท้ระดับล่างเท่านั้น

ที่หลิ่วหมิงได้ยินในวันนี้ ยังมีระดับที่อยู่สูงขึ้นไปอีก สิ่งนี้ย่อมเหนือความคาดหมายของเขาไปมาก

และนี่ก็เป็นเรื่องที่เขาไม่เคยได้ยินมาก่อนเลย

คัมภีร์การฝึกฝนสูงสุดของแต่ละนิกายใหญ่ๆ ก็บันทึกไว้ถึงระดับผลึกเท่านั้น แม้แต่วิชาระดับแก่นแท้ก็ยังเป็นเรื่องใหม่

ด้วยเหตุนี้ระดับเชี่ยวชาญมหัศจรรย์จึงห่างไกลจากตัวเขามาก

“ขอบคุณผู้อาวุโสที่ชี้แนะ! ดูเหมือนว่าข้าน้อยยังคงพอมีหวังอยู่บ้าง” สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาสองสามที จากนั้นถึงเผยรอยยิ้มอันขมขื่นก่อนกล่าวออกมา

“เอาล่ะ! คำถามทั้งสามข้อข้าก็ได้ตอบไปหมดแล้ว ต่อไปข้าก็จะมอบของขวัญให้เจ้าเล็กน้อย” ชายหนุ่มชุดดำไปปรากฏตัวตรงหน้าศิลาหุนเทียนอย่างรวดเร็ว

พอเขาเอาฝ่ามือลูบลงบนก้อนศิลา ก็มีภาพดวงตายาวรีสีดำที่หลับสนิทตั้งตรงอยู่เหนือนาฬิกาทรายสีทอง

“ความจริงแล้วศิลาหุนเทียนเป็นส่วนหนึ่งของสมบัติชิ้นนี้ เมื่อเจ้าผ่านการถูกดูดพลังเวทย์สามครั้งขึ้นไป และหาไอปีศาจแท้มาได้เพียงพอ ก้อนศิลาถึงปรากฏจะออกมา นี่ก็แสดงว่าเจ้ามีคุณสมบัติพอที่เจ้าสิ่งนี้จะยอมรับเป็นร่างกาฝากแล้ว เดิมทีในขณะที่ก้อนศิลาปรากฏออกมาในครั้งก่อน ข้าควรจะปรากฏตัวออกมา แต่เพราะร่างกาฝากในก่อนหน้านั้นให้พลังไม่เพียงพอ ข้าจึงไม่อาจก่อตัวเป็นร่างนี้ต่อหน้าเจ้าได้ ได้แต่หลับชดเชยให้มากขึ้น ต่อไปข้าก็จะสามารถให้คำแนะนำเจ้าได้ บางทีอาจจะทำให้เจ้ามีอายุยาวขึ้นเล็กน้อยด้วย”

“ผู้อาวุโสโปรดชี้แนะ!” พอหลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ก็รู้สึกมีชีวิตชีวาขึ้นมา

“เจ้าเองก็ไม่ต้องเกรงใจ เรื่องที่บอกเจ้าเหล่านี้ เดิมทีก็เป็นหน้าที่ของข้าอยู่แล้ว จะว่าไปแล้วการที่เจ้าสิ่งนี้จะหาร่างกาฝากที่เหมาะสมได้นั้น มันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย ข้าเพิ่งมีคนพูดคุยด้วย จึงอยากจะถือโอกาสนี้ทำความเข้าใจสถานการณ์ในโลกภายนอก ไม่อยากให้การพบเจอกับเจ้าในครั้งต่อไป เจ้าก็ถูกดูดจนกลายเป็นศพแห้งๆ ไปแล้ว หากเป็นเช่นนี้ ข้าเองก็ต้องถูกบังคับให้เข้าสู่ห้วงนิทราอีกครั้ง เอาล่ะ! คำแนะนำเหล่านี้ ข้าพูดได้แค่ครั้งเดียว และพูดได้แค่เรื่องบางอย่างเท่านั้น การกำเนิดของข้าก็เพื่อชี้ทางให้ร่างกาฝากอย่างพวกเจ้า การพูดและการกระทำมีข้อจำกัดมากมาย แม้อยากจะบอกเจ้ามากกว่านี้ ก็ไม่อาจทำได้” ในขณะที่ชายหนุ่มกำลังกล่าวอยู่ ก็ดูเหมือนจะนึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย

แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกตกใจ แต่ยังคงพยักหน้าติดต่อกัน

ชายหนุ่มชุดดำเห็นเช่นนี้ ก็กล่าวต่อด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ก่อนอื่น แม้ข้าจะไม่รู้ที่มาของเจ้าสิ่งนี้ แต่เรียกมันมาตลอดว่า ‘กรงขัง’ เพราะสำหรับข้าและวิญญาณปีศาจที่ถูกผนึกไว้ในนี้แล้ว ที่นี่เป็นกรงขังที่มีความพิเศษเล็กน้อยเท่านั้น และที่ข้าจะแนะนำเจ้าก็คือ ประการแรกให้พยายามทำทุกอย่างที่เป็นไปได้ เพื่อเพิ่มระดับการฝึกฝนอย่างรวดเร็ว ประการที่สองพยายามหาไอปีศาจแท้มาให้ได้มากที่สุด”

“ประการแรกสามารถให้พลังกับข้าและ ‘กรงขัง’ ได้มากขึ้น และทำให้เจ้าอยู่ในห้องว่างเปล่าได้นานขึ้น ซึ่งทำให้เจ้าได้รับผลประโยชน์ดีๆ มากขึ้นด้วยเช่นกัน ในนั้นมันยังสามารถเปลี่ยนแปลงเวลาได้ คิดว่าเจ้าคงได้สัมผัสกับประโยชน์อันมหัศจรรย์ของมันแล้ว คงไม่ต้องให้ข้าพูดะไรให้มากความอีก แต่ทุกครั้งที่ถูกดูดกลืนพลังเวทเช่นนี้ เจ้าสิ่งนี้จะมีการตอบสนองตามกฎบางอย่าง ข้าเองก็ไม่อาจควบคุมได้ และได้แต่เลื่อนเวลาให้เร็วขึ้นเท่านั้น ไม่สามารถเลื่อนให้ช้าลงได้ เมื่อเม็ดทรายในนาฬิกาทรายบนศิลาหุนเทียนไหลจนหมดสิ้น ก็จะเป็นเวลาที่เจ้าสิ่งนี้ดูดกลืนพลังเวท และปริมาณพลังเวทที่ถูกดูดกลืนในแต่ละครั้ง จะมากกว่าครั้งก่อนหนึ่งเท่า แต่ขณะเดียวกัน เพื่อเป็นการตอบแทนพลังเวทที่สูญเสียไป ‘กรงขัง’ ก็จะทำพลังเวทของเจ้าให้บริสุทธิ์และส่งคืนให้ครึ่งหนึ่ง แต่หากพลังเวทของเจ้า ไม่อาจตอบสนองต่อความต้องการในการดูดกลืน มันก็จะดูดกลืนอายุขัยและโลหิตของเจ้าเป็นการชดเชย จนทำให้เจ้ากลายสภาพเป็นศพแห้งๆ แม้กระทั้งวิญญาณก็อาจจะเป็นพลังเสริมของเจ้าสิ่งนี้”

“แน่นอน หากเจ้าอยากเข้ามาในห้องว่างเปล่าชั่วคราว เพียงแค่ส่งพลังเวทย์เข้าไปในศิลาหุนเทียน ก็มาถึงที่นี่ได้เช่นกัน เพียงแต่จะสามารถอยู่ได้ในระยะเวลาสั้นๆ เท่านั้น”

หลิ่วหมิงตั้งใจฟังอย่างละเอียด สีหน้าของเขาเริ่มเปลี่ยนไปมาเล็กน้อย ประเดี๋ยวก็ขมวดคิ้ว ประเดี๋ยวก็แสดงสีหน้าเข้าใจออกมา

พอชายหนุ่มชุดดำพูดมาถึงจุดนี้ ก็หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็กล่าวต่อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ส่วนไอปีศาจแท้ที่จำเป็นนั้น ก็นำมาเสริมพลังของ ‘กรงขัง’ เพื่อป้องกันไม่ให้วิญญาณปีศาจเหล่านั้นหนีออกมา ตราประทับ ‘กรงขัง’ นี้ค่อนข้างพิเศษมาก ไม่รู้ว่ามันประกอบมาจากสิ่งใด ถึงมีเพียงไอปีศาจแท้ที่สามารถซ่อมแซมมันได้ และเวลาในการก่อตัวก็ยาวนานเกินไป ตั้งแต่วันที่ข้าถือกำเนิดขึ้นมา ก็มีสภาพไม่สมบูรณ์มาโดยตลอด ดังนั้นครั้งก่อนเจ้าจึงถูกชิงร่างไป และเห็นสถานการณ์ในขณะที่ตราประทับถูกโจมตี ถ้าตราประทับมีสภาพสมบูรณ์ล่ะก็ สถานการณ์เช่นนี้จะไม่เกิดขึ้นอย่างแน่นอน และผู้ที่ทำเรื่องเช่นนี้ ก็เป็นแค่จิตปีศาจส่วนหนึ่งของวิญญาณปีศาจที่ถูกผนึกอยู่ในนี้เท่านั้น ส่วนเจ้าของวิญญาณยังคงถูกผนึกอยู่ในส่วนลึกสุดของตราประทับจนไม่อาจกระดิกตัวได้ เป็นเพราะความพยายามของเจ้าในหลายๆ ครั้ง ตราประทับจึงถูกซ่อมแซมไปแล้วส่วนหนึ่ง และคงไม่มีปัญหาใดๆ ในช่วงระยะเวลาสั้นๆ แต่นานวันเข้าก็ไม่อาจพูดได้ และเส้นทางเดียวในการหลุดพ้นไปจากกรงขังได้อย่างแท้จริง ก็คือการแย่งชิงร่างกาฝากของเจ้าสิ่งนี้ ซึ่งก็คือกายเนื้อของเจ้านั่นเอง ดังนั้นหากเจ้าไม่อยากกลายเป็นที่สิงร่างของคนอื่นๆ ก็ต้องไปหาไอปีศาจแท้มาซ่อมแซมตราประทับให้มากๆ อย่าคิดว่าอาศัยแค่ยันต์เล็กน้อยกับอาวุธจิตวิญญาณไม่กี่ชิ้น ก็สามารถต้านทานการถูกชิงร่างได้ หากเจ้าของวิญญาณแหวกออกมาจากตราประทับได้ ต่อให้เจ้ามีอาวุธเวทระดับสูงที่ป้องกันการชิงร่างโดยเฉพาะ ก็ไม่อาจต้านทานได้ อีกอย่างหากเจ้าซ่อมแซมตราประทับนี้ได้สมบูรณ์ ข้าก็จะมอบผลประโยชน์อันยิ่งใหญ่ให้กับเจ้าหนึ่งอย่าง”

หลิ่วหมิงฟังจนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย ผ่านไปสักพักใหญ่ๆ ถึงกล่าวออกมาด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“เช่นนี้ก็หมายความว่า แม้ข้าน้อยจะถูกผู้อาวุโสหลัวโหวยอมรับแล้ว แต่นอกจากจะรู้ว่าตนเองอาจถูกดูดจนกลายเป็นศพแห้งๆ หรือถูกวิญญาณปีศาจในตราประทับชิงร่างแล้ว ในความเป็นจริงก็ไม่มีประโยชน์อันใดเลย”

“ใครบอกไม่มีประโยชน์ล่ะ ข้าไม่ได้บอกว่าจะมอบของขวัญเล็กๆ ให้เจ้าหรอกหรือ!” หลัวโหวเลิกคิ้วขึ้นมา มือข้างหนึ่งตบลงบนภาพดวงตาบนศิลาหุนเทียน และกล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“สิ่งนี้คือ……”

หลิ่วหมิงจ้องมองรูปภาพประหลาดๆ ด้วยความสงสัย

“เฮ่อๆ! ไม่ต้องถามอะไรมาก อีกประเดี๋ยวเจ้าก็จะรู้เอง” หลัวโหวหัวเราะออกมา จากนั้นก็ชี้นิ้วไปยังภาพดวงตาบนก้อนศิลา

ศิลาหุนเทียนสั่นสะเทือนขึ้นมาทันที ดวงตาตั้งตรงสีดำค่อยๆ ลืมตาขึ้นมาราวกับมีชีวิต เผยให้เห็นดวงตาที่เงินที่อยู่ด้านใน หลังจากหมุนติ้วๆ อยู่ครู่หนึ่งแล้ว มันก็จ้องมองหลิ่วหมิงทันที

พอหลิ่วหมิงสบตากับดวงตาตั้งตรง ก็รู้สึกว่ามีเสียงดัง “ตู๊ม!” ในจิตรับรู้ของตนเอง จากนั้นร่างของเขาก็ลอยละล่อง และมีความรู้สึกแปลกประหลาดราวกับจิตหลุดออกจากร่าง ไม่นานภาพบริเวณนั้นก็ดูพร่ามัว  และร่างของเขาก็มาปรากฏบนแท่นบูชาในถ้ำบนยอดเขาแห่งนั้น

และห่างจากเขาไปไม่ไกล ก็คือปีศาจหลานสี่ที่มีลวดลายสีดำปกคลุมอยู่เต็มตัว และกำลังจ้องมองเขาด้วยแววตาดุร้าย

พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ย่อมรู้สึกตกใจจนร่นถอยออกไปทันที ขณะเดียวกัน ก็กระตุ้นเกล็ดมังกรแดงออกมาปกคลุมตามจุดสำคัญ

และในขณะเดียวกัน ร่างปีศาจหลานสี่ก็พร่ามัวมาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง จากนั้นก็ยกแขนข้างหนึ่งขึ้นมา พอแสงสีดำกระพริบผ่านไป กรงเล็บปีศาจที่ปกคลุมไปด้วยลวดลายสีดำก็เจาะเข้าบริเวณหน้าอกอย่างรุนแรง

การกระทำของมันรวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ หลิ่วหมิงที่อยู่กลางอากาศรับรู้ถึงความไม่ชอบมาพากล แต่ไม่อาจทำการรับมือฝ่ายตรงข้ามได้ทัน จึงได้แต่เพิ่มความหนาของเกล็ดบริเวณหน้าอกได้เพียงไม่กี่ชั้นเท่านั้น

“เต๊ง!”

หลิ่วหมิงรู้สึกเจ็บบริเวณหน้าอกราวกับถูกผลักด้วยพลังมหาศาล ร่างของเขาที่เดิมทีร่นถอยออกไปอยู่แล้ว ก็กระเด็นออกไปหลายสิบจั้ง และกระแทกผนังด้านหลังอย่างรุนแรง จนทำให้เกิดหลุมลึกขนาดกว่าๆ

คิดไม่ถึงว่าเขาจะถูกเลี่ยมฝังอยู่ในนั้น และถูกแรงสั่นสะเทือนจนหน้ามืดตาลาย มีลอยเลือดพร่ามัวอยู่บริเวณหน้าอก และไม่สามารถกระดิกตัวได้ชั่วขณะหนึ่ง

ขณะที่หลิ่วหมิงยังไม่ทันได้สงบสติอารมณ์ และกำลังจะปีนขึ้นมานั้น ก็มีเงาสีดำกระพริบผ่านตรงหน้า จากนั้นร่างปีศาจหลานสี่ก็ปรากฏออกมา

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปโดยฉับพลัน และแอบร้องทุกข์อยู่ในใจไม่หยุด เขาค่อยๆ ยกแขนข้างหนึ่งที่มีเกล็ดมังกรปกคลุมขึ้นมา เพื่อทำการต้านทาน

“ฉับ!”

เขารู้สึกเย็นบริเวณไหล่ ความรู้สึกเจ็บปวดอย่างแสนสาหัสประดังเข้ามา พอเหลือบมองดู ก็พบว่าแขนข้างหนึ่งถูกหลานสี่คว้าเอาไว้ และดึงจนขาดออกมา จากนั้นก็โยนทิ้งอย่างไม่ใส่ใจ

ในใจเขารู้สึกหนักอึ้งเป็นอย่างมาก ยังไม่ทันได้คิดอะไร ก็มีเสียง “เพล้ง!” ดังออกมาเบาๆ จากนั้นปราณแกร่งคุ้มร่างก็ถูกอะไรบางอย่างโจมตีจนแตกออกมา ฝ่ามือข้างหนึ่งที่ดูคมกริบราวกับคมมีด แทงทะลุหน้าอกเขาอย่างรวดเร็ว และดึงออกมาพร้อมกับหมอกโลหิต

หลิ่วหมิงเพียงแค่รู้สึกเจ็บหน้าอกอย่างรุนแรง หลังจากนั้นดวงตาทั้งคู่ก็ดับมืดลง

ภายใต้ความตกใจ แสงห้าสีม้วนตัวผ่านความมืดมิดอีกครั้ง หลังจากมีเสียงดัง “หวึ่ง!” ในจิตรับรู้ เขาก็ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมาทันที

เขาค้นพบว่าตนเองยังคงอยู่ในห้องว่างเปล่าลึกลับแห่งนั้น และภาพดวงตาบนก้อนศิลาก็ค่อยๆ หลับตาลง และสุดท้ายก็กลับมาเป็นเหมือนเดิมอีกครั้ง

ชายหนุ่มชุดดำที่ยืนอยู่ข้างก้อนศิลา จ้องมองเขาด้วยสีหน้าเรียบเฉย แต่ใบหน้ากลับซีดขาวกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด