ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 451 มุกพลังวารีสองเม็ด

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 451 มุกพลังวารีสองเม็ด at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอเฟิงจ้านเห็นฝูงชนไปกันหมดแล้ว เขาก็โบกมือปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และพาเว่ยจ้งกับเฟิงไฉ่จากไปเช่นกัน

เกิดเสียงดังกึกก้อง เรือเหาะเปล่งแสงสีเงินออกมาก่อนทะยานขึ้นฟ้า และพุ่งยิงไปยังเกาะมัจฉาเขียว

“การประลองคัดเลือกในครั้งนี้ สองคนนั่นกลับชนะคนอื่นๆอย่างง่ายดาย โดยเฉพาะหลิ่วหมิงผู้นั้นเป็นถึงผู้ฝึกฝนกระบี่ ช่างเหนือความคาดหมายเล็กน้อย ไม่ทราบคุณชายเว่ยจ้งมีความเห็นว่าอย่างไร?” ในห้องรับรองบนเรือเหาะ เฟิงจ้านพูดถึงการประลองในก่อนหน้า และยังถามความเห็นของเว่ยจ้งอย่างไม่ใส่ใจ

“ผู้อาวุโสเฟิง ที่ทั้งสองสองสามารถเอาชนะได้อย่างง่ายดาย ไม่ใช่ว่าพลังของพวกเขาแข็งแกร่ง แต่เป็นเพราะว่าคนอื่นๆ อ่อนแอกว่ามากก็เท่านั้น หากเป็นข้าล่ะก็ ไม่เกินสิบกระบวนท่าก็ทำให้พวกเขายอมแพ้แต่โดยดีแล้ว” เว่ยจ้งได้ยินเช่นนี้ ก็กล่าวโดยไม่ถือว่าจะเป็นเช่นนั้น

“แน่นอน แม้ทั้งสองจะมีความสามารถอยู่บ้าง แต่ไหนเลยจะเทียบกับคุณชายได้ เดิมพันการต่อสู้ในครั้งนี้ คงต้องพึ่งคุณชายเว่ยแล้ว” เฟิงจ้านกล่าว

แม้หลิ่วหมิงกับซินหยวนจะแสดงออกได้ไม่ธรรมดา แต่ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่ได้แสดงพลังออกมาทั้งหมด ย่อมทำให้เฟิงจ้านไม่อาจคาดหวังในตัวพวกเขามากนัก ด้วยเหตุนี้จึงฝากความหวังทั้งหมดไว้กับเว่ยจ้งแล้ว

“ผู้อาวุโสเฟิงโปรดวางใจ ถึงแม้ต้องสู้กับพันธมิตรจินอวี้สามต่อหนึ่ง ข้าก็สบายมาก” ขณะที่พูด เว่ยจ้งก็เหลือบมองเฟิงไฉ่ด้วยท่าทีทระนงอาจ

“ท่านพ่อ เดินพันการต่อสู้ในครั้งนี้ มีศิษย์พี่อยู่ย่อมไม่มีปัญหาอะไร แต่แขกสองคนนั่นก็คุ้มค่าที่จะบ่มเพาะพวกเขา” พอเฟิงไฉ่เห็นเช่นนี้ นางก็พูดถึงหลิ่วหมิงกับซินหยวน และดูเหมือนนางจะสนใจคนทั้งสองมาก

“เรื่องนี้ข้าตัดสินใจเอง” เฟิงจ้านได้ยินก็กล่าวออกมาราวกับกำลังคิดอะไรอยู่

……

อีกหนึ่งเดือนให้หลังถึงจะเป็นเวลาเดิมพันการต่อสู้กับพันธมิตรจินอวี้ ดังนั้นเวลาที่เหลือ หลิ่วหมิงกับซินหยวนต่างก็ตั้งใจฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พัก ขณะเดียวกัน ก็ทานโอสถชิงซ่านตามเวลาที่กำหนด เพื่อขับไล่พิษในร่างออกมา

วันนี้หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับ ทันใดนั้นก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ หลังจากนับดูวันเวลาแล้ว เขาก็ลุกขึ้นมาทันที จากนั้นก็ค่อยๆ เดินออกไปจากถ้ำที่พัก

นับๆ ดูแล้ว มันถึงเวลาที่ได้นัดหมายกับหวงเจินแล้ว

หลิ่วหมิงออกเดินทางไม่นาน ก็มาปรากฏตัวหน้าถ้ำที่พักของหวงเจินอีกครั้ง

และผู้ที่มาเปิดประตูก็เป็นหญิงผิวดำผู้นั้น ซึ่งก็คือบุตรสาวของหวงเจินนั่นเอง

“คารวะผู้อาวุผู้โสหลิ่ว อาวุธจิตวิญญาณของท่านได้หลอมเสร็จเมื่อหลายวันก่อนแล้ว ท่านพ่อมีธุระข้างนอก ก่อนไปได้กำชับข้าว่า หากผู้อาวุโสมาก็ให้พาไปเอาสิ่งของได้เลย” หญิงผิวดำกล่าวอย่างนอบน้อม จากนั้นก็ขยับตัวหลีกทางให้

“ถ้าอย่างนั้นต้องรบกวนแม่นางหวงแล้ว” พอได้ยินว่าอาวุธจิตวิญญาณของตนเองหลอมสำเร็จแล้ว หลิ่วหมิงก็รู้สึกดีใจเล็กน้อย หลังจากพยักหน้าตอบรับแล้ว ก็เดินเข้าไปอย่างไม่เกรงใจ และถูกหญิงผิวดำพามายังห้องหินแห่งหนึ่ง

หญิงสาวชี้ไปยังกล่องหยกที่อยู่บนโต๊ะหินแล้วกล่าวออกมา

“ผู้อาวุโสหลิ่ว อาวุธที่ท่านพ่อหลอมให้ท่านอยู่ในนั้นแล้ว”

หลิ่วหมิงพยักหน้าและคว้ามือไปกลางอากาศ จากนั้นกล่องหยกก็ถูกดูดเข้ามาอยู่ในมือ

พอเปิดฝาออกจะเห็นว่ามีมุกกลมๆ สีดำขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือวางอยู่เม็ดหนึ่ง พื้นผิวของมันแวววาว ไอดำลอยวนเป็นเส้นๆ มองดูจากภายนอกแล้ว มันมีลักษณะเหมือนกับมุกพลังวารีในมือเขาไม่มีผิด เพียงแต่ว่าไอเย็นชุ่มชื้นที่มันแผ่ออกมา จะมีมากกว่าเล็กน้อย

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอย่างรวดเร็ว นิ้วทั้งสองคีบมุกสีดำกลมๆ ขึ้นมาตรวจสอบอย่างละเอียด

เขาค้นพบว่ามุกพลังวารีชนิดนี้ ก็เป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับกลางที่มีสิบแปดชั้นจำกัดเช่นกัน จากนั้นเขาก็กล่าวชมด้วยความดีใจ

“สหายหวงช่างมีมือยอดเยี่ยมจริงๆ สมกับเป็นผู้เชี่ยวชาญการหลอมอาวุธที่มีชื่อเสียงในพรรค”

หลิ่วหมิงกล่าวจบ ก็หยิบถุงที่ใส่หินวารีลึกลับออกมา และโยนให้หญิงสาวผู้นี้ ประจักษ์ชัดว่านี่คือค่าใช้จ่ายของวัสดุเสริม จากนั้นหลิ่วหมิงก็ถอยออกไป

ครึ่งชั่วยามต่อมา หลิ่วหมิงก็ขี่เมฆเหาะออกจากถ้ำหวงเจินไปไกลร้อยกว่าลี้ และมาปรากฏตัวตรงตีนเขาลูกหนึ่งที่ตั้งอยู่ทางตะวันตกของเกาะมัจฉาเขียว

พอเขายืนตั้งหลักได้ก็สะบัดแขนเสื้อในทันที จากนั้นมุกพลังวารีที่เพิ่งหลอมขึ้นมาใหม่ก็ถูกนำออกมา พอเขาออกแรงที่นิ้วเบาๆ มุกพลังวารีก็เปลี่ยนรูปร่างได้ดังใจนึก

หลิ่วหมิงส่งพลังเวทเข้าไปโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง แสงสีดำเปล่งประกายออกจากพื้นผิวของมุกพลังวารี และค่อยๆ เกาะตัวเป็นไอหมอกแน่นหนา

“ไป!”

หลิ่วหมิงคำรามเสียงออกมา พอสะบัดข้อมือ มุกกลมๆ ที่มีน้ำหนักมากก็พุ่งไปกระแทกใส่เขาลูกเล็กๆ ที่อยู่ไกลออกไปหลายสิบจั้ง

“ตู๊ม!” เศษหินดินทรายกระเด็นไปทั่วทิศ

หลุมขนาดใหญ่ที่มีเส้นผ่าศูนย์กลางห้าถึงหกจั้งปรากฏบนพื้นผิวของภูเขา จากนั้นเศษหินก็กระจายไปทั่วทิศ และหินบริเวณรอบๆ หลุมขนาดใหญ่ก็ค่อยๆ แตกร้าวออกมา

ด้วยพลังระดับหลิ่วหมิง อานุภาพของมุกพลังวารีในตอนนี้ ย่อมแข็งแกร่งกว่าตอนที่ยังไม่ได้หลอมมาก

พอหลิ่วหมิงคว้ามือออกไป  ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากหลุมขนาดใหญ่ หลังจากหมุนติ้วๆ รวมตัวกันแล้ว มันก็กลายเป็นมุกกลมๆ อีกครั้ง และมืออีกข้างก็หยิบมุกพลังวารีอีกเม็ดออกมา จากนั้นก็ใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง พอถูฝ่ามือทั้งสองไปมา มุกพลังวารีทั้งสองก็รวมตัวเข้าด้วยกัน

ที่หลิ่วหมิงสามารถปรับแต่งมุกพลังวารีสองเม็ดนี้ได้ นั่นเป็นเพราะว่าอาวุธจิตวิญญาณชนิดนี้มีคุณสมบัติพิเศษ จึงสามารถรวมหรือแยกออกจากกันได้ดังใจนึก

พอเขาสะบัดข้อมืออีกครั้ง มุกพลังวารีที่รวมตัวเข้าด้วยกัน ก็ปะทะใส่เขาลูกเล็กๆ อีกลูกอย่างรุนแรง

“ตู๊มต๊าม!” เสียงแผ่นดินไหวดังสะเทือนเลือนลั่น!

ฝุ่นควันและเศษหินจำนวนมากกระจายออกไปทั่วทิศราวกับพายุบ้าระห่ำ จากนั้นหินขนาดใหญ่ก็กลิ้งลงมา เขาลูกเล็กๆ ที่สูงสิบกว่าจั้งกลายเป็นพื้นราบเรียบ ราวกับว่าถูกตัดออกไปครึ่งหนึ่ง

หลังจากรวมตัวกันแล้ว นึกไม่ถึงว่ามุกพลังวารีจะมีอานุภาพถึงเพียงนี้ มันย่อมทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

เมื่อเขาเรียกมุกพลังวารีกลับมาแล้ว ก็ชี้มือไปกลางอากาศ จากนั้นมันก็แยกตัวออกจากกัน และเขาก็เก็บมันเข้าไปอย่างระมัดระวัง

หลิ่วหมิงไม่คิดจะอยู่ที่นี่นานมากนัก พอทำท่ามือ เมฆดำก้อนหนึ่งก็ปรากฏขึ้นที่ใต้เท้า จากนั้นก็เหาะกลับไปยังถ้ำที่พักของตนเอง

ช่วงเวลาหนึ่งเดือนผ่านไปในพริบตา

ในระหว่างเวลานี้ หลิ่วหมิงเพียงแค่เก็บตัวฝึกฝนอยู่ในถ้ำที่พัก และพิษในร่างก็ได้ถูกขับออกไปจนหมดสิ้นแล้ว บนตัวเขาไม่มีภัยแอบแฝงใดๆ อีก และมุกพลังวารีสองเม็ดก็ถูกปรับแต่งไปหนึ่งรอบแล้ว

ในตอนท้ายเขายังไปหาสถานที่เปล่าเปลี่ยว เพื่อทดสอบการโจมตีของมุกพลังวารีทั้งสองอีกครั้ง เพียงแค่ค้นพบว่าพลังโจมตีของมันพอที่จะเปรียบเทียบกับอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดได้ เขาก็รู้สึกพอใจมากแล้ว

……

บนเกาะธรรมดาแห่งหนึ่งในอาณาเขตควบคุมของพรรคฉางเฟิงที่ตั้งอยู่ใกล้ๆ เขตแดนพันธมิตรจินอวี้

เกาะแห่งนี้มีขนาดแค่หนึ่งในสามส่วนของเกาะมัจฉาเขียวเท่านั้น พื้นที่ในนั้นถูกครอบครองด้วยเทือกเขารูปวงแหวน บนนั้นไม่ได้มีสิ่งก่อสร้างมากมาย มีแค่บ้านไม้เก่าๆ จำนวนหนึ่งเท่านั้น ภายใต้การพัดพาของพายุที่ส่งเสียงอื้ออึง ทำให้รู้สึกโงนเงนไปมา

ตรงตีนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาแห่งหนึ่ง แต่กลับมีถ้ำสีดำขนาดใหญ่ และทางเข้าก็ถูกท่อนไม้สองสามท่อนค้ำไว้ สถานที่แห่งนี้ก็คือถ้ำสายแร่นั่นเอง

และขณะนี้ บนทางเดินภายในส่วนลึกของถ้ำสายแร่

เงาร่างลึกลับที่สวมชุดคลุมสีเทากำลังเดินอย่างช้าๆ

ทางเดินภายในอุโมงค์ตัดสลับกัน จนดูเหมือนว่าเดินแค่ไม่กี่ก้าวก็จะมีทางแยกสายหนึ่ง และคนผู้นี้ก็ดูจะคุ้นเคยกับสถานที่แห่งนี้เป็นอย่างมาก หลังจากเดินลัดเลาะไปมา ทางเดินตรงหน้าก็ถูกผนังหินที่ปกคลุมด้วยฝุ่นสีเทาปิดตายไว้ ดูท่าด้านหน้าคงเป็นทางตันอย่างแน่นอน

แต่เงาร่างลึกลับผู้นี้กลับหยิบแผนที่ขาดๆ ออกมาจากอก หลังจากเทียบดูตำแหน่งแล้ว ก็ส่งเสียงหัวเราะออกมาอย่างเยือกเย็น จากนั้นแสงสีทองก็เปล่งประกายบนแขน และจมหายไปในผนังหินตรงหน้า เมื่อดึงแขนกลับ ก็มีหินหยกสีเขียวขนาดเท่ากำปั้นอยู่ในมือ พื้นผิวของมันเปล่งแสงแวววาวใสแจ๋ว ภายในเป็นสีสันสวยงาม มองดูก็รู้ว่าเป็นหยกจิตวิญญาณระดับสูงสุด

“ที่แท้ก็เป็นสายแร่หินหยกระดับสูงสุด มีความเป็นไปได้สูงมากที่จะมีวัสดุจิตวิญญาณเกิดขึ้นในส่วนที่อยู่ลึกเข้าไป มิน่าล่ะแม้แต่กลุ่มอิทธิพลระดับหอเทียนเซียงยังอยากได้มัน” เงาร่างลึกลับพูดพึมพำสองสามประโยค พอแสงสว่างบนแขนม้วนตัวออกไป เขาก็คิดจะทำอะไรบางอย่าง

แต่ขณะนั้นเอง มีเสียงถอนหายใจดังมาจากด้านหลังของเงาร่างลึกลับ

เขาหันตัวกลับไปอย่างรวดเร็ว และค้นพบว่ามีเงาร่างของคนอีกคนปรากฏออกมา และพอเห็นใบหน้าของคนผู้นั้นอย่างชัดเจน เขาก็ต้องหลุดปากออกมา

“ท่านประมุข”

เงาร่างของคนผู้นี้ก็คือเฟิงจ้านนั่นเอง

และหมวกที่คลุมศีรษะชายลึกลับอยู่ ก็ร่วงลงในขณะที่เขาร่นถอยออกไป ทำให้เห็นได้อย่างชัดเจนว่า คนผู้นี้ก็คือชวีหลิง รองประมุขพรรคฉางเฟิงนั่นเอง!

เพียงแต่ว่าขณะนี้เขามีสีหน้าตื่นตระหนกตกใจเป็นอย่างมาก

“คิดไม่ถึงว่าพี่เฟิงก็รู้เรื่องการดำรงอยู่ของสายแร่แห่งนี้ ดูท่าการหายตัวไปของฟ่านเจิ้งคงจะเกี่ยวข้องกับท่าน ไม่ทราบว่าตอนนี้เขาเป็นอย่างไรบ้าง?” ชวีหลิงรีบปรับสีหน้าให้เป็นปกติ แต่ความหวาดกลัวในแววตายังคงอยู่ ซึ่งปิดอย่างไรก็ปิดไม่มิด

“เจ้าว่าอย่างไรล่ะ? ข้าดีกับเจ้าทั้งสองไม่น้อย สุดท้ายพวกเจ้ากลับรวมกันหักหลังข้า คนหนึ่งสมคบคิดกับพันมิตรจินอวี้ อีกคนกลับสมคบคิดนิกายวิหคสวรรค์” เฟิงจ้านกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

“ในเมื่อท่านรู้เรื่องทั้งหมดแล้ว ใยต้องพูดจาให้มากความด้วยเล่า สายแร่ระดับนี้ ไหนเลยกลุ่มอิทธิพลอย่างพรรคเราจะสามารถครอบครองได้ พวกข้าทั้งสองก็แค่หาร้านค้าดีๆ ให้กับพรรคเราเท่านั้น แต่ท่านรู้เรื่องแหล่งที่อยู่ของสายแร่หยกตั้งแต่เมื่อใดกัน?” ชวีหลิงพูดออกมาภายในอึดใจเดียว

“แหล่งที่อยู่ของสายแร่ระดับนี้ ข้าเป็นถึงประมุขพรรคฉางเฟิง ไหนเลยจะไม่รู้ ความจริงข้ารู้เรื่องสายแร่แห่งนี้เมื่อหลายปีก่อนแล้ว เพียงแต่ว่าตอนนั้นรู้สึกหวาดกลัวไปหน่อย จึงไม่กล้าทำการขุดและปล่อยข่าวออกไป แต่กลับคิดไม่ถึงว่ามันจะถูกคนอื่นค้นพบเข้า เจ้าสารเลวกูตู๋ยังแอบซุ่มโจมตีข้าอีก แม้จะโชคดีที่ข้ารอดไปได้ แต่ก็รู้ดีว่าภายใต้สถานการณ์เช่นนี้ไม่อาจอยู่ในเขตทะเลหนานไห่ได้อีก ถึงได้ไปหลบภัยอยู่ที่แผ่นดินจงเทียน” เฟิงจ้านตอบอย่างไม่รีบร้อน

“สมคบคิดพันธมิตรจินอวี้คือฟ่านเจิ้ง วางแผนซุ่มโจมตีท่านก็เป็นแผนของเขา ข้าไม่รู้เรื่องในวันนั้นเลยแม้แต่น้อย” ชวีหลิงตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“ฮึ! ข้าสงสัยว่าเขาสมคบคิดกับคนนอกเมื่อหลายปีก่อนแล้ว เพียงแต่ยังสืบไม่ได้ว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังคือใคร จึงไม่อาจลงมือได้” เฟิงจ้านกล่าวด้วยสีหน้าอึมครึม

“อ๋อ! ตอนนี้พี่เฟิงสังหารเขาไปแล้ว ท่านไม่กลัวว่าผู้ที่อยู่เบื้องหลังของเขาจะ……” ขณะที่ชวีหลิงกำลังพูดอยู่นั้น เขากลับสะบัดแขนเสื้อในฉับพลัน

“ฟู่!” แสงสีเขียวพุ่งยิงเข้ามา ขณะเดียวกัน เขาก็ขยี้ยันต์ที่อยู่ถืออยู่ในแขนเสื้อจนแตกกระจุย แสงสีเหลืองเปล่งประกายบนตัว จากนั้นก็จมหายลงไปใต้พื้นอย่างไร้ร่องรอย

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด