ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 461 การต่อสู้รอบสุดท้าย (1)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 461 การต่อสู้รอบสุดท้าย (1) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หญิงแซ่เซียวเห็นเช่นนี้ ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา และไม่ได้ตอบอะไรกลับไป

“เช่นนี้ก็ดี” นักพรตแซ่สือคิดใคร่ครวญเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าด้วยรอยยิ้ม และเห็นด้วยกับข้อเสนอแนะนี้

“ในเมื่อสหายทั้งสองไม่มีข้อค้านใดๆ คืนนี้แต่ละฝ่ายต่างก็หาที่พักผ่อนกันเถอะ” แม่ชีชุดดำประกาศออกมาอย่างราบเรียบ

จากนั้นแม่ชีก็ไม่สนใจสายตาของคนอื่นๆ อีก นางเดินไปข้างเจียหลาน และกระซิบอะไรบางอย่างเบาๆ

เนื่องจากอยู่ไกล ทั้งยังดูเหมือนว่าแม่ชีชุดดำจะกระตุ้นชั้นจำกัดบางอย่างปิดกั้นไว้ ทำให้เฟิงจ้านและคนอื่นๆ ไม่ยินได้คำพูดที่พวกนางพูด

เห็นเพียงแค่ใบหน้าที่ดูเหมือนเต็มไปด้วยความรักและเมตตา กำลังชี้แนะอะไรบางอย่างอยู่ ทำให้หญิงสาวงดงามพยักหน้าด้วยรอยยิ้มอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

เฟิงจ้านกับนักพรตแซ่สือและคนอื่นๆ สนทนากันอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และสั่งให้คนจำนวนหนึ่งยกเว่ยจ้งกับซินหยวนที่หมดสติอยู่ขึ้นไปบนเรือ หลังจากนั้นก็พาหลิ่วหมิงกับเฟิงไฉ่และคนอื่นๆ เดินไปขึ้นเรือ

เกิดเสียงดังก้องฟ้า!

เรือเหาะทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่เปล่งประกาย และพุ่งยิงไปยังเกาะอื่นๆ ที่อยู่บริเวณหุบเขาเปลวเพลิง

ส่วนคนอื่นๆ ต่างก็ถูกนักพรตแซ่สือ หญิงงดงามแซ่เซียวพาขึ้นอาวุธจิตวิญญาณเหินเวหาของตนเอง และทะยานจากไป

พอฝูงชนไปกันหมดแล้ว แม่ชีชุดดำก็สั่งประมุขนิกายวิหคสวรรค์ให้พาคนในนิกายไปตั้งมั่นอยู่บริเวณหุบเขาเปลวเพลิง พอสะบัดแขนเสื้อ พัดขนนกสีดำก็โผล่ออกมา เมื่อโบกสะบัดอย่างไม่ใส่ใจ ลมเย็นก็กลายเป็นฉากกำบังล้อมรอบผู้คนอารามชิงสุ่ย เพื่อปิดกั้นอุณหภูมิบริเวณหุบเขาเปลวเพลิงไว้

“พวกเราไม่จำเป็นต้องไปจากที่นี่ พักผ่อนอยู่ที่นี่ก็พอแล้ว” เมื่อทำทุกอย่างเสร็จ แม่ชุดดำก็สั่งอย่างราบเรียบ จากนั้นก็นั่งขัดสมาธิลงไป

“ทราบ!”

เจียหลานและคนอื่นๆ ได้ยินเช่นนี้ ก็ตอบรับพร้อมกัน จากนั้นก็พากันนั่งขัดสมาธิทำสมาธิ

พอคนของพรรคฉางเฟิงนั่งเรือเหาะสีเงินไปจากหุบเขาเปลวเพลิงแล้ว ก็เดินทางต่ออีกครึ่งชั่วยาม ในที่สุดก็ค่อยๆ ร่อนลงบนตีนยอดเขาที่ดูไม่เตะตาลูกหนึ่ง

ทางเดินเล็กๆ ที่ทอดยาวตามภูเขา มีหินกรวดสีแดงอยู่ทั้งสองด้าน และคดเคี้ยวไปด้านหน้า ตรงจุดสิ้นสุดมีปากถ้ำอยู่รำไร

หลังจากที่ฝูงชนเข้าไปในถ้ำแล้ว ก็ค้นพบว่ามันมีขนาดไม่ใหญ่มาก มีพื้นที่ไม่กี่หมู่เท่านั้น และรอบด้านต่างก็ถูกปกคลุมไปด้วยหินย้อยสีน้ำตาลมันวาว รูปทรงแปลกประหลาดยิ่งนัก

ตรงส่วนลึกของถ้ำยังมีโพรงจำนวนมาก ราวกับว่าเป็นถ้ำที่พักของผู้ฝึกฝนที่ถูกละทิ้งไว้ ดูเหมือนว่าจะรองรับคนสิบกว่าคนของพรรคฉางเฟิงได้อย่างเหลือเฟือ

ดูเหมือนเฟิงจ้านจะค่อนข้างพอใจกับสิ่งนี้ พอโบกมือข้างหนึ่ง ธงเล็กสิบกว่าอันก็พุ่งยิงออกไป หลังจากวางค่ายกลง่ายๆ ไว้หน้าปากถ้ำแล้ว ก็สั่งให้ทุกคนแยกย้ายกันพักผ่อน

……

หนึ่งชั่วยามต่อมา

ภายในโพรงแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในถ้ำที่คนของพรรคฉางเฟิงพักอาศัยอยู่ เว่ยจ้งกำลังนอนอยู่บนก้อนหินสีดำขนาดใหญ่ คิ้วของเขาขมวดเข้าหากันแน่น ใบหน้ายังคงแสดงความเจ็บปวดออกมาตลอดเวลา ประจักษ์ชัดว่าจิตรับรู้ยังคงหลงอยู่ในวิชาละเมอฝัน จนไม่อาจฟื้นขึ้นมาได้

และขณะเดียวกัน ภายในโพรงเปล่าเปลี่ยวแห่งหนึ่ง มีชายสอง หญิงหนึ่งอยู่ในนั้น

ชายหนุ่มสองคนกำลังนั่งขัดสมาธิ ดูเหมือนกำลังเข้าฌานอยู่

และหญิงสาวกลับสวมชุดหลากสีสัน รูปร่างอรชร ใบหน้างดงาม ขณะนี้กำลังนั่งยิ้มน้อยยิ้มใหญ่อยู่บนก้อนหินขนาดใหญ่

พวกเขาก็คือหลิ่วหมิงกับซินหยวน และเฟิงไฉ่ที่เป็นบุตรสาวของประมุขพรรคฉางเฟิงนั่นเอง!

เนื่องจากซินหยวนได้รับผลกระทบของวิชาละเมอฝันไม่มาก จึงฟื้นขึ้นมาเมื่อไม่นานมานี้ และกำลังจ้องมองคนทั้งสองที่กำลังสนทนาอยู่ตรงหน้าด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

วันนี้เฟิงไฉ่เห็นหลิ่วหมิงต่อสู้จนศัตรูแข็งแกร่งพ่ายแพ้ติดต่อกันถึงสามครั้ง ดูเหมือนว่านางจะรู้สึกสนใจหลิ่วหมิงขึ้นมา แม้ก่อนหน้านั้นจะรู้ว่าหลิ่วหมิงเป็นผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่ง และยังเคยสอบถามที่มาของเขากับเฟิงจ้านมาแล้ว แต่นางก็ยังมาหาหลิ่วหมิงทั้งสองถึงที่ และสนทนาพาทีกับพวกเขาอย่างไม่ใส่ใจ

“วันนี้พี่หลิ่วแสดงอานุภาพได้น่าตกใจมาก! ดูท่าสีหน้าของเหล่าพันธมิตรจินอวี้คงดูไม่ได้เป็นอย่างมาก! ใช่สิ! วิชากระบี่ของพี่หลิ่วก็มีอานุภาพน่าตกใจ ไม่ทราบว่าฝึกมาจากสำนักใด?” หญิงชุดหลากสีจ้องมองหลิ่วหมิง และสอบถามด้วยน้ำเสียงที่นุ่มนวล

“แม่นางเฟิง ข้าเป็นแค่ผู้ฝึกฝนอิสระคนหนึ่งเท่านั้น วิชาขี่กระบี่ก็เพียงแค่ได้รับการชี้แนะจากยอดฝีมือโดยบังเอิญ จึงเรียนมาเพียงผิวเผิน ไม่คู่ควรแก่การพูดถึง” พอเผชิญหน้ากับคำถามของหญิงสาว หลิ่วหมิงก็จ้องมองนางทีหนึ่ง และตอบด้วยสีหน้าสงบ

“แค่เพียงผิวเผินก็มีอานุภาพน่าตกใจถึงเพียงนี้ ทั้งยังทำให้พันธมิตรจินอวี้ผู้นั้นแสดงวิชาอสรพิษหยกออกมา ท่านพ่อบอกว่า แม้เด็กคนนั้นจะมีการฝึกฝนอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นกลาง แต่มีพลังแข็งแกร่งมาก เป็นคู่ต่อสู้ที่รับมือได้ยากในระดับของเหลวขั้นกลางด้วยกัน ยอดฝีมือที่พี่หลิ่วกล่าวถึง จะต้องมีระดับการฝึกฝนสูงมาก ไม่ทราบว่าพอจะมีโอกาสแนะนำให้ข้าได้บ้างหรือไม่?” หญิงสาวชุดหลากสียังคงพูดคุยไม่หยุด และร่างของนางก็เข้าใกล้ยิ่งกว่าเดิม

“เฮ้อ! ยอดฝีมือผู้นั้นไปมาไร้ร่องรอย ข้าเองก็มีวาสนาพบเจอไม่กี่ครั้งเท่านั้น ใช่สิ! พี่ซิน ท่านฟื้นแล้ว ร่างกายมีอะไรผิดปกติหรือไม่?” ขณะที่พูด หลิ่วหมิงก็หันไปถามซินหยวนที่อยู่ด้านข้าง

“ข้าได้รับผลกระทบจากวิชาละเมอฝันไม่ค่อยมาก ตอนนี้ไม่มีปัญหาอะไรแล้ว” ตอนแรกซินหยวนรู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รับรู้ได้ในทันที จากนั้นก็ตอบกลับไป

“วันนี้ลำบากสหายซินแล้ว! เฟิงไฉ่ได้ยินก็หันมากล่าวกับซินหยวนด้วยรอยยิ้ม

“ขอบคุณแม่นางเฟิงที่ห่วงใย น่าเสียดายที่ความสามารถของข้าสู้ผู้อื่นมิได้ วิชาละเมอฝันของหญิงสาวนิกายวิหคสวรรค์ผู้นั้นร้ายกาจมาก บวกกับพลังพุทธะยิ่งทำให้ทำลายยากขึ้นไปใหญ่ ช่างน่าละอายใจยิ่งนัก” ซินหยวนนึกถึงศึกที่ต่อสู้กับเจียหลาน จากนั้นก็กล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“พี่ซินอย่าโทษตัวเองนักเลย หญิงสาวนิกายวิหคสวรรค์มีฝีมือไม่ธรรมดาจริงๆ แม้แต่ศิษย์พี่เว่ยของข้า ก็โดนวิชาละเมอฝันของนางจนสลบไสล ขณะนี้พี่ซินฟื้นขึ้นมาแล้ว ดูท่าคงจะมีพลังเวทหนาแน่นกว่าเขามาก” เฟิงไฉ่หันมามองซินหยวน และกล่าวออกมาด้วยน้ำเสียงที่ดูปลอบใจ

ซินหยวนได้ยินก็หัวเราะอย่างขมขื่น และไม่รู้ว่าควรจะตอบกลับไปอย่างไรดี

“พี่หลิ่ว ได้ยินว่าท่านกับพี่ซินต่างก็ไม่ใช่คนในเขตทะเลหนานไห่ พวกท่านมาจากที่ใดกันแน่ เล่าให้ข้าฟังได้หรือไม่?” พอเฟิงไฉ่เห็นว่าซินหยวนไม่ตอบ นางก็กระพริบตาปริบๆ แล้วหันมาถามหลิ่วหมิง

“ข้ากับซินหยวนมากจากสถานที่เล็กๆ ที่มีชื่อว่าทะเลชังไห่ เทียบกับแผ่นดินจงเทียนแล้ว นับว่าอยู่ห่างไกลมาก” หลิ่วหมิงตอบออกมา

“ทะเลชังไห่……ทำไมข้าถึงไม่เคยได้ยินมาก่อน ทางนั้นก็เป็นเหมือนกับทะเลหนานไห่ของเราหรือ?” เฟิงไฉ่ได้ยินก็แสดงสีหน้าครุ่นคิด

ในที่สุดหลิ่วหมิงก็แสดงสีหน้าจนปัญญาออกมา หลังจากมองดูซินหยวนที่จ้องมองตนเองด้วยรอยยิ้มแปลกๆ แล้ว ก็พูดถึงแผ่นดินอวิ๋นชวนให้นางฟังอย่างคลุมเครือ ในนั้นมีเรื่องจริงบ้างเท็จบ้าง ส่วนเรื่องสำคัญเขาย่อมไม่พูดออกมาแม้แต่น้อย

หลังจากผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม เฟิงไฉ่ก็กล่าวลาหลิ่วหมิงทั้งสองในที่สุด

…..

ตอนดึกคืนนั้น หลิ่วหมิงกำลังนั่งขัดสมาธิฟื้นฟูสภาพร่างกายให้อยู่ในสภาวะสมบูรณ์ที่สุด เพื่อเตรียมต่อสู้กับเจียหลานในวันพรุ่งนี้

ด้วยเหตุที่ว่าอยู่ในสถานที่ไม่คุ้นเคย เขาย่อมไม่กล้านำจิตเข้าฌานทั้งหมด แต่กลับใช้หนึ่งจิตสองพลังปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกมาพร้อมกัน ด้านหนึ่งใช้โคจรพลัง อีกด้านหนึ่งคอยระแวดระวังสถานการณ์ภายนอกโพรง

ทันใดนั้น เปลือกตาของเขาค่อยๆ ขยับตัว เขารับรู้ได้อย่างลางๆ ว่าโพรงที่อยู่ด้านข้างมีการเคลื่อนไหวบางอย่างที่เบาจนแทบจะไม่ได้ยิน จากนั้นก็มีเงาดำพุ่งออกมา และจากไปอย่างไร้สุ้มเสียง

กลิ่นไอบนตัวเขาปรากฏขาดๆ หายๆ หากหลิ่วหมิงไม่ใช้หนึ่งจิตสองพลัง เกรงว่าคงไม่อาจค้นพบได้ และผู้ที่สามารถทำเช่นนี้ได้ ก็มีแค่เฟิงจ้านที่เป็นผู้แข็งแกร่งระดับผลึกเท่านั้น

หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา แม้จะรู้สึกสงสัยเล็กน้อย แต่หลังจากคิดไปคิดมาแล้ว ก็นั่งพักผ่อนต่อราวกับไม่มีอะไรเกิดขึ้น

เช้าวันที่สอง

ขณะที่หลิ่วหมิงกับซินหยวนเดินออกมาจากถ้ำ ก็ค้นพบว่าเฟิงจ้านได้เอามือไขว้หลัง และยืนรออยู่ด้านนอกด้วยสีหน้าปกติแล้ว

และในขณะเดียวกัน ศิษย์ในพรรคที่มาพร้อมกัน ก็ทยอยกันเดินออกมา

“สหายหลิ่ว เมื่อคืนพักผ่อนสบายดีใช่ไหม ศึกในวันนี้ต้องพึ่งสหายหลิ่วแล้ว” พอเห็นหลิ่วหมิงทั้งสองเดินมา เฟิงจ้านก็ทักทายด้วยรอยยิ้ม

“ข้าน้อยจะพยายามอย่างสุดความสามารถ!” หลิ่วหมิงตอบด้วยน้ำเสียงทุ้มต่ำ

เฟิงจ้านเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าพอใจออกมา ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยเรือเหาะสีเงินออกมา และพาผู้คนขึ้นไปบนนั้น

จากนั้นเรือเหาะก็ทะยานขึ้นฟ้าท่ามกลางแสงสีเงินที่ห่อหุ้ม และพุ่งไปยังหุบเขาเปลวเพลิง

บนเรือเหาะ หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูผู้คนที่อยู่บนนั้น แต่กลับค้นพบว่า ขณะนี้เว่ยจ้งที่สลบไสลไม่ได้สติ ได้หายไปอย่างน่าประหลาดใจ

และเฟิงไฉ่ก็หายไปพร้อมกันด้วย

แม้หลิ่วหมิงจะรู้สึกสงสัย แต่ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญอะไร จึงไม่ถามอะไรมาก

หนึ่งชั่วยามผ่านไป

ขณะที่เรือเหาะของพรรคฉางเฟิงปรากฏตัวเหนือหุบเขาเปลวเพลิงนั้น ทุกคนก็ค้นพบว่าหุบเขาเปลวเพลิงในขณะนี้ นอกจากอารามชิงสุ่ย นิกายวิหคสวรรค์ นักพรตแซ่สือจากอารามจื่อเซียว และคนอื่นๆ แล้ว หญิงงดงามแซ่เซียวกับคนพันธมิตรจินอวี้ก็อยู่ที่นี่ด้วย

หลังจากหลิ่วหมิงและคนอื่นๆ ลงจากเรือเหาะไปแล้ว กลุ่มอิทธิพลทั้งสามก็มารวมตัวกันอีกครั้ง

แม่ชีชุดดำทำเป็นไม่ได้ตั้งใจมองไปยังหญิงงดงามแซ่เซียวใบหน้าเยือกเย็นที่ยืนเงียบอยู่ไกลๆ ทีหนึ่ง จากนั้นก็พูดกับนักพรตแซ่สืออย่างนอบน้อมสองสามประโยค และให้คนอื่นๆ นอกจากหลิ่วหมิงกับเจียหลานไปหาที่ตั้งมั่นเอาเอง เพื่อเหลือพื้นที่ตรงกลางไว้ทำการต่อสู้ครั้งสุดท้าย

“เอาล่ะ! เดิมพันการต่อสู้รอบสุดท้ายเริ่มขึ้นได้แล้ว!” แม่ชีชุดดำกระแอมไอออกมาเบาๆ แล้วประกาศออกมา

จากนั้นนักพรตแซ่สือก็ปล่อยธงค่ายกลสร้างเขตการต่อสู้ไว้

หลิ่วหมิงกับเจียหลานเดินเข้าไปกลางค่ายกล ท่ามกลางสายตาจับจ้องของผู้คนที่อยู่ในหุบเขา และยืนจ้องกันจากที่ไกลๆ

ดูเหมือนเจียหลานยังคงจำหลิ่วหมิงไม่ได้ แต่หลังจากที่เมื่อวานได้เห็นพลังอันรุนแรงของหลิ่วหมิงแล้ว นางก็แสดงสีหน้าเคร่งขรึมออกมาเป็นครั้งแรก ด้วยเหตุนี้ พอเข้ามาถึงนางก็ร่ายคาถาทันที นิ้วเรียวทั้งสิบเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว แสงสีม่วงเปล่งประกายในดวงตาไม่หยุด ครู่เดียวก็มีเงาร่างปรากฏขึ้นตรงหน้า และลอยออกไปหาหลิ่วหมิงเป็นระลอกๆ

ต่อมานางก็พลิกฝ่ามือขึ้น ลูกประคำสีทองที่เคยแสดงอานุภาพหลายครั้งในก่อนหน้าปรากฏขึ้นในมือ พอโยนออกไป มันก็หมุนติ้วๆ อยู่เหนือศีรษะ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หลับตาลงทันทีราวกับได้เตรียมการไว้ก่อนแล้ว ด้านหนึ่งปล่อยพลังจิตอันแข็งแกร่งออกไปปกป้องทะเลจิตรับรู้ไว้ อีกด้านหนึ่งก็สะบัดแขนเสื้อปล่อยทรายทองคำร่วงออกมาปกคลุมเต็มฟ้า และภายใต้การกระตุ้นด้วยท่ามือ หอกยาวสีทองที่ยาวหลายจั้งก็ก่อตัวขึ้นมา และพุ่งไปทางเจียหลาน

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด