ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 526 มุกมูลหนอน

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 526 มุกมูลหนอน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอปีศาจหน้าดำร้องครวญครางออกมา ก็มีไอดำพวยพุ่งตรงด้านหลัง มันคือแมงป่องกระดูกที่อยู่ใต้ดินพุ่งยิงหางตะขอออกมาอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ และโจมตีได้อย่างง่ายดาย

หากเป็นผู้ฝึกฝนธรรมดา เกรงว่าคงเสียชีวิตในทันทีแล้ว

แต่ปีศาจตัวนี้กลับส่ายร่างส่วนบนสองสามที ทันใดนั้นหัวของมันก็หมุนแบบแปลกๆ เสียงร้องครวญครางหยุดลง และส่งเสียงหอนโหยหวนในฉับพลัน

พอบัณฑิตวัยกลางคนที่อยู่ไม่ไกลได้ยินเสียงนี้ ก็รู้สึกร้อนที่หน้าอกราวกับว่าถูกต่อยอย่างรุนแรงไปหนึ่งหมัด จนเกือบจะกระอักเลือดออกมา

“ร้อยปีศาจร่ำไห้!”

หลิ่วหมิงใจเต้นขึ้นมา พริบตาเดียวก็นึกถึงวิชาสายปีศาจนี้ขึ้นมาได้

นี่เป็นวิชาสายปีศาจที่ปีศาจระดับกลางถึงสูงสามารถควบคุมได้ มันส่งผลกระทบต่อจิตใจและสติปัญญาของมนุษย์ ใช้จู่โจมอย่างฉับพลันในขณะที่ฝ่ายตรงข้ามเผลอ ทำให้เลือดลมของฝ่ายตรงข้ามไหลย้อนกลับ พลังเวทสูญสลาย มีผลเช่นเดียวกับเสียงแผดร้องของอัคจิตวิญญาณที่เขาเจอในแดนลึกลับ

แต่วิชาปีศาจร่ำไห้ระดับนี้ไม่มีผลกระทบต่อเขามากนัก แต่เขากลับยกแขนเสื้อด้วยสีหน้าเคร่งขรึม สายรุ้งสีแดงกระพริบออกไป และหมุนวนปีศาจตัวนี้แค่รอบเดียวก็พุ่งกลับมา

“ตุ๊บ!”

ปีศาจหน้าดำมีสีหน้าแข็งทื่อในทันที ร่างกายส่วนบนส่ายไปส่ายมา และล้มโครมลงพื้น

ในขณะนั้นเอง มีเสียงคำรามด้วยความโมโหดังมาจากภายในถ้ำที่อยู่ไกลๆ ฟังจากน้ำเสียงแล้วมันเป็นปีศาจอีกตัวหนึ่ง

หลิ่วหมิงหันไปมองด้วยสายตาที่เย็นชา

อีกด้านหนึ่งของถ้ำเหมืองแร่ ปีศาจหน้าดำอีกตัวถูกเส้นผมสีเขียวรัดพันไว้แน่น หมอกดำรอบตัวกลายเป็นเงาอสรพิษสีดำสองสามตัว กำลังฉีกทึ้งเส้นผมสีเขียวอยู่ไม่หยุด แต่ไม่ว่ามันจะดิ้นรนแค่ไหนก็ไม่สามารถหลุดออกมาได้

และไม่รู้ว่าหัวบินใช้ความสามารถมหัศจรรย์อันใด ถึงรัดพันคอของปีศาจได้อย่างแน่นหนาเช่นนี้ หัวใหญ่หนึ่งหัวกับเล็กสองหัวกำลังกัดจุดสำคัญของปีศาจไม่ปล่อย

ตอนแรกปีศาจหน้าดำที่ดูดุร้าย ยังสามารถส่งเสียงคำรามและดิ้นรนอยู่ในตาข่ายได้ แต่หลังจากหลิ่วหมิงมองออกไปไม่กี่อึดใจ เสียงของมันก็ดูไร้เรี่ยวแรงขึ้นมา ขณะเดียวกัน ร่างของมันก็ลดขนาดและแห้งเหี่ยวลงอย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็นอนนิ่งอยู่ในตาข่าย และไม่อาจเคลื่อนไหวได้อีก

หลิ่วหมิงพยักหน้า และเคลื่อนไหวอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้ออีกครั้ง

แสงสีแดงกระพริบผ่านกลางอากาศ กระบี่บินสีแดงจมเข้าไปในช่องอกของปีศาจหน้าดำ ปลายกระบี่ทะลุออกจากด้านหลัง

จากนั้นแสงกระบี่ก็สั่นไหวและผ่าขึ้นด้านบน

เสียงร้องโหยหวนแปลกประหลาดดังออกมา!

ปีศาจหน้าดำตัวนี้ถูกกระบี่ผ่าออกเป็นสองส่วน มันตายจนไม่รู้จะตายอย่างไรแล้ว

ตั้งแต่ปีศาจหน้าดำสองตัวปรากฏออกมา จนถึงตอนที่หลิ่วหมิงกับอสูรจิตวิญญาณสองตัวลงมือสังหารมันอย่างง่ายดายนั้น ใช้เวลาไม่เกินครึ่งถ้วยชา

ตั้งแต่ต้นจนจบ หลิ่วหมิงล้วนมีท่าทีสบายๆ ราวกับว่าไม่ได้ใช้แรงอะไรมากนัก

สิ่งนี้ย่อมทำให้บัณฑิตวัยกลางคนทั้งตกใจระคนดีใจเป็นอย่างมาก

หลังจากแมงป่องกระดูกกับหัวบินพากันเก็บพลังของตัวเองแล้ว ก็พุ่งมาอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิง ส่วนผู้อาวุโสตระกูลสวี่ก็รีบเก็บโล่ตรงหน้า และก้าวเข้ามาประสานมือคารวะหลิ่วหมิง

“คิดไม่ถึงว่าสหายไม่เพียงแต่จะเป็นผู้ที่มีพลังน่าตกใจเท่านั้น ทั้งยังมีอสูรจิตวิญญาณที่เก่งกาจอีกสองตัว ช่างทำให้ข้าน้อยได้เปิดหูเปิดตาเป็นยิ่งนัก หากข้าน้อยดูไม่ผิดล่ะก็ อสูรจิตวิญญาณสองตัวนี้ คงมีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย จุ๊ๆ! สหายสมกับเป็นศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จริงๆ มีอสูรจิตวิญญาณที่เก่งกาจอยู่กับตัวเช่นนี้ เกรงว่าคงพอที่ต้านทานผู้แข็งแกร่งระดับผลึกลงมาได้”

“สหายชมเกินไปแล้ว ข้าน้อยได้อสูรสองตัวนี้มาโดยบังเอิญเท่านั้น” หลิ่วหมิงยิ้มเล็กน้อยและตอบกลับไปหนึ่งประโยค พอตบไปที่เอว แมงป่องกระดูกกับหัวบินก็กลายเป็นไอดำสองกลุ่มม้วนตัวเข้าไปในถุงหนังบนเอว

บัณฑิตวัยกลางคนเห็นเช่นนี้ ก็โค้งตัวกล่าวขอบคุณอย่างเต็มปากเต็มคำอีกครั้ง

“นี่เป็นเรื่องที่ข้าต้องทำ ไม่ต้องขอบคุณ หากไม่มีเรื่องอื่นแล้ว พวกเราก็กลับกันเถอะ!” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูรอบด้านหนึ่งรอบ พอค้นพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติแล้ว ก็กล่าวออกมา

บัณฑิตวัยกลางคนย่อมตอบรับในทันที

ดังนั้นคนทั้งสองก็รีบกลับไปทางเดิมอย่างรวดเร็ว และหลังจากออกจากถ้ำเหมืองแร่แล้ว ก็ขี่เมฆไปทางป้อมตระกูลสวี่

หลายชั่วยามต่อมา ภายในห้องโถงใหญ่ของป้อมตระกูลสวี่ หลิ่วหมิงนั่งอยู่บนเก้าอี้อย่างเงียบๆ

รอบๆ ตัวเขามีสวี่ไคหยางและผู้อาวุโสคนอื่นๆ นั่งอยู่ บัณฑิตวัยกลางคนที่ไปพร้อมกับหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ก็อยู่ที่นั่นด้วย

ผู้ฝึกฝนตระกูลสวี่เหล่านี้ ต่างก็รู้เรื่องการต่อสู้อันแข็งแกร่งของหลิ่วหมิงจากปากบัณฑิตวัยกลางคนแล้ว ในขณะที่รู้สึกตื่นเต้นเป็นอย่างมากนั้น ย่อมรู้สึกเลื่อมใสหลิ่วหมิงมากขึ้นกว่าเดิม

“ท่านทูตหลิ่ว นี่คือค่าตอบแทนที่ทางนิกายรับปากไว้ในตอนแรก ครั้งนี้ท่านฑูตยอมมาช่วยไกลถึงเพียงนี้ ข้าน้อยขอเป็นตัวแทนของตระกูลสวี่ขอบคุณท่านทูตอีกครั้ง นอกจากนี้ ของเหล่านี้ล้วนเป็นวัสดุหลอมอาวุธที่หาได้ยากจำนวนหนึ่ง ที่บรรพบุรุษของตระกูลเราได้ทิ้งไว้ หากท่านสนใจล่ะก็ เลือกไปสักอย่างสองอย่างเถิด!” ไม่นาน หัวหน้าตระกูลสวี่กับผู้อาวุโสผอมแห้งก็เดินมาจากด้านหลังห้องโถง และเดินมาวางถุงหินจิตวิญญาณไว้บนโต๊ะก่อนกล่าวออกมา

จากนั้นผู้อาวุโสใหญ่ของตระกูลสวี่ที่อยู่ด้านข้างก็สะบัดแขนเสื้อ หลังจากแสงสีขาวเปล่งประกายออกมา ก็มีกล่องหยกเล็กๆ สิบกว่าใบวางอยู่ข้างๆ ถุงใส่หินจิตวิญญาณ

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าน้อยก็ไม่เกรงใจแล้ว” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พูดออกมาอย่างราบเรียบ และเก็บถุงหินจิตวิญญาณเข้าไปก่อน จากนั้นสายตาก็ตกอยู่บนกล่องหยกเหล่านี้

……

ชั่วเวลาหนึ่งเค่อผ่านไป

หลิ่วหมิงก็ก้าวออกจากห้องโถงพร้อมกับผู้ฝึกฝนตระกูลสวี่จำนวนมาก และทำท่ามือโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เมฆดำก้อนหนึ่งพยุงตัวเขาขึ้นมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงสีดำทะยานขึ้นฟ้า

เพียงแค่ไม่กี่อึดใจก็กลายเป็นจุดสีดำหายไปตรงขอบฟ้า

ขณะนี้ผู้อาวุโสผอมแห้งถึงรู้สึกโล่งใจขึ้นมา และหันไปสอบถามบัณฑิตวัยกลางคนอีกครั้ง

“น้องเจ็ด เจ้าบอกว่าคนผู้นี้มีปีศาจระดับของเหลวขั้นปลายสองตัวหรือ เจ้าแน่ใจนะว่าไม่ได้มองพลาดไป?” ผู้อาวุโสผอมแห้งขมวดคิ้วแล้วถามออกมาเบาๆ

“เรียนพี่ใหญ่ ตอนอยู่ในถ้ำเหมืองแร่ข้าได้ใช้จิตกวาดดูไปหนึ่งรอบ มั่นใจว่าไม่ผิดอย่างแน่นอน ทั้งสองต่างก็มีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย ไม่เพียงแต่เท่านี้ ท่านฑูตหลิ่วยังเป็นผู้ฝึกฝนกระบี่ด้วย ทั้งยังมีพลังสูงส่งจนไม่อาจคาดเดาได้ ราวกับว่าสังหารปีศาจหน้าดำสองตัวเพียงช่วงเวลาเทียบเท่ากับการยกเท้าเท่านั้น พลังของปีศาจสองตัวนี้แข็งแกร่งแค่ไหน ข้ากับท่านก็รู้ดี” บัณฑิตวัยกลางคนรีบตอบกลับอย่างรวดเร็ว

“หากเจ้าไม่ได้พูดเท็จ ท่านฑูตหลิ่วผู้นี้คงไม่ใช่ระดับของเหลวขั้นกลางธรรมดาๆ คิดว่าคงจะปิดบังระดับการฝึกฝนไว้ไม่อยากให้พวกเรารู้ ดีที่พวกเราปฏิบัติต่อเขาราวกับเป็นแขกชั้นสูง ไม่อย่างนั้นไม่รู้ว่าจะก่อให้เกิดความยุ่งยากอะไรออกมาบ้าง แต่ในเมื่อเขารีบไปถึงเพียงนี้ คาดว่าคงมีเรื่องอื่นที่ต้องทำ ช่างเถอะ! เรื่องเหล่านี้ไม่ใช่เรื่องที่พวกเราต้องไปสนใจ” สวี่ไคหยางได้ยินก็กล่าวด้วยสีหน้าที่ค่อยๆ เปลี่ยนไป

“ครั้งนี้หัวหน้าตระกูลทำได้ไม่เลว พวกเรานำวัสดุเหล่านั้นมาให้เขาเลือก ก็นับว่าสร้างความสัมพันธ์อันดีกับคนผู้นี้ไว้ หากระดับการฝึกฝนของคนผู้นี้ก้าวไปอีกขั้นล่ะก็ ไม่แน่อาจจะเป็นที่พึ่งในนิกายยอดบริสุทธิ์ของตระกูลสวี่เราก็ได้” ผู้อาวุโสผอมแห้งถอนหายใจเบาๆ และกล่าวออกมา จากนั้นก็สะบัดแขนเสื้อเดินเข้าไปในห้องโถง

คนตระกูลสวี่ได้ยินเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันทีหนึ่ง และไม่รู้ว่าจะพูดอะไรออกมา จึงพากันตามเข้าไป

……

หลิ่วหมิงที่ออกไปไกลร้อยกว่าลี้แล้ว ย่อมไม่รับรู้การสนทนาของคนตระกูลสวี่

ขณะนี้ เขากำลังชื่นชมมุกสีเขียวกลมๆ ขนาดเท่าหัวแม่มือด้วยรอยยิ้ม

สิ่งนี้ทีชื่อว่ามุกมูลหนอน เป็นผลึกที่หนอนมหัศจรรย์ชนิดหนึ่งขับถ่ายออกมา ทั้งยังมีพิษร้ายแรงอย่างหาที่เปรียบมิได้ แต่พบเจอได้น้อยมาก และเป็นหนึ่งในวัสดุเสริมสำหรับปรับแต่งโล่เก้ากระโหลกของหลิ่วหมิงพอดี

หลิ่วหมิงได้มันมาโดยไม่คาดคิดเช่นนี้ ย่อมรู้สึกพอใจเป็นอย่างมาก

เขาเก็บมุกเม็ดนี้เข้าไป และพลิกฝ่ามือหยิบแผนที่บริเวณนี้ที่เขาได้เตรียมไว้ออกมา

ไม่นานเขาก็เก็บแผนที่เข้าไป และย่ำเมฆใต้เท้าเบาๆ จากนั้นก็เปลี่ยนทิศทางพุ่งออกไปทันที

หลังจากเหาะมาทางทิศตะวันตกราวๆ ครึ่งวัน ก็มีทะเลสาบที่ดูธรรมดาๆ ปรากฏอยู่ตรงหน้าไม่ไกล

น้ำในทะเลสาบใสแจ๋วจนมองเห็นพื้น มีปลาแหวกว่ายไปมาอยู่ตลอดเวลา นอกจากนี้ยังมีนกกระสาป่าสีเทาสองสามตัวกระพือปีกเล่นอยู่ริมทะเลสาบอย่างสนุกสนาน

หลิ่วหมิงบังคับเมฆดำให้ร่อนลงริมทะเลสาบ และทำท่ามือแปลกๆ บริเวณหน้าอก จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่ง และตบผ่านอากาศออกไปเบาๆ

ไอหมอกดำพุ่งออกมา อากาศตรงหน้าค่อยๆ สั่นสะท้านเบาๆ และก่อตัวเป็นระลอกคลื่นหนึ่งชั้น

จากนั้นภาพตรงหน้าหลิ่วหมิงก็พร่ามัว หุบเขาเขียวชอุ่มปรากฏออกมา และยังเห็นผู้ฝึกฝนจากทิศทางต่างๆ เหาะเข้าไปในหุบเขา และมีแสงหลบหลีกพุ่งออกมาอยู่ตลอดเวลา

หุบเขาแห่งนี้คือเป้าหมายที่แท้จริงของการเดินทางในครั้งนี้ ตลาดที่ไม่รู้อยู่ห่างจากนิกายยอดบริสุทธิ์กี่หมื่นลี้ มีชื่อว่าตลาดทะเลสาบสีฟ้า

หลังจากเขาสังเกตดูอยู่พักหนึ่งแล้ว ก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีดำพุ่งเข้าไปในหุบเขา

ครึ่งวันต่อมา หลิ่วหมิงก็เดินออกจากตลาดด้วยสีหน้าพอใจ

แม้ตลาดทะเลสาบสีฟ้าจะไม่ใหญ่มาก แต่ด้านในมีร้านค้าใหญ่เล็กครบครัน วัสดุจำพวกหลอมอาวุธจิตวิญญาณ ยันต์ และอื่นๆ ต่างก็มีครบครัน

หลิ่วหมิงแบ่งขายโอสถที่ปรุงขึ้นมาจนหมด อาจเป็นเพราะว่าสถานที่แห่งนี้อยู่ห่างไกล ราคาโอสถของที่นี่จึงสูงกว่าตลาดในนิกายหนึ่งส่วน สิ่งนี้ทำให้เขาได้หินจิตวิญญาณมาไม่น้อย บนตัวเขาในตอนนี้มีหินจิตวิญญาณสามแสนกว่าก้อน

หลังจากนั้น เขาก็เดินไปเดินมาในร้านค้าสองสามแห่ง และใช้หินจิตวิญญาณไปหลายหมื่นก้อนซื้อวัตถุดิบปรุงโอสถเป็นจำนวนมาก ยกเว้นผลผลึกเขียวที่ไม่ได้ซื้อ

หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ เขาก็ออกไปจากตลาด และขี่เมฆไปทางวิหารหินสีดำที่เป็นที่ตั้งของค่ายกลส่งตัวทันที

สิบกว่าวันต่อมา ในร้านค้าแห่งหนึ่งที่ตั้งอยู่ในตลาดนิกายยอดบริสุทธิ์ หลิ่วหมิงกำลังสังเกตดูผลสีเขียวสิบกว่าลูกที่มีขนาดเท่ากำปั้น และวางอยู่ในกล่องหยกสีขาวอย่างละเอียด

ผลเหล่านี้มีลวดลายจิตวิญญาณสีเขียวจางๆ อยู่บนพื้นผิวหนึ่งชั้น และส่งกลิ่นหอมจรุงใจอยู่ตลอดเวลา มันคือผลผลึกเขียวที่มีอายุเกือบสามร้อยปีแล้ว

ผลผลึกเขียวที่ซื้อในก่อนหน้านั้น ล้วนมีอายุประมาณสองร้อยปี และผลผลึกเขียวเกือบสามร้อยปีตรงหน้าทำให้เขาอดใจเต้นไม่ได้

อย่างที่รู้ว่าความแตกต่างของอายุวัตถุดิบหลัก จะส่งผลต่อคุณภาพของโอสถที่ปรุงออกมา ยิ่งไม่ต้องพูดถึงวัตถุดิบที่มีอายุห่างกันเกือบร้อยปีเลย

“ข้าเอาทั้งหมดนี่ เท่าไหร่?” หลิ่วหมิงถามด้วยสีหน้าสงบ

“ทั้งหมดแปดหมื่นหินจิตวิญญาณ” หญิงวัยกลางคนรูปร่างอรชรมองหลิ่วหมิงทีหนึ่งและกล่าวด้วยน้ำเสียงอ่อนนุ่ม

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด