ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 550 หุ่นสี่ทิศ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 550 หุ่นสี่ทิศ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไป!”

ขณะที่ออกคำสั่ง หลิ่วหมิงก็สะบัดแขนเสื้อออกไป แสงสีทองแวววาวพุ่งออกมา และยื่นขยายกลายเป็นอสรพิษสีทองที่ยาวหลายจั้ง จากนั้นก็กระพริบไปรัดพันหุ่นนักรบที่ถูกเส้นผมรัดไว้

ขณะนี้นักรบยันต์เกราะทองคำได้กระโจนมาถึงตรงหน้าหุ่นนักรบ และโจมตีหัวของหุ่นนักรบที่ไม่อาจเคลื่อนไหวได้

หุ่นนักรบตัวนั้นไม่ทันได้ระวัง จึงถูกโจมตีจนล้มลงพื้น

ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกตกใจมาก คิดไม่ถึงว่าปีศาจบ่มเพาะทั้งสองของหลิ่วหมิงจะแข็งแกร่งเช่นนี้ ดูจากคลื่นพลังเวทที่แผ่ออกมา นึกไม่ถึงว่าจะมีพลังระดับของเหลวขั้นปลาย!

การกระทำของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น เห็นได้ชัดว่าตั้งใจล่อหุ่นนักรบของเขาออกไปไกลๆ

“กล้าทำลายหุ่นนักรบของข้าเชียวหรือ? ข้าจะสับเจ้าเป็นหมื่นๆ ชิ้น!” ชายหนุ่มชุดเขียวตะคอกออกมา แสงสีเขียวบนตัวสว่างขึ้นกว่าเดิม จากนั้นก็กระโจนเข้ามาพร้อมกับหุ่นนักรบอีกสองตัว

แต่ร่างของหลิ่วหมิงกลับพร่ามัวไปนานแล้ว และไปปรากฏตัวอยู่ตรงหน้าหุ่นนักรบที่ถูกหัวบินกับนักรบยันต์ผ้าเหลืองโจมตีจนกระเด็น พอกระบี่บินในมือเปล่งประกาย ก็แทงใส่อักขระสีเหลืองบนอกซ้ายของมัน

สำหรับโครงสร้างของหุ่น หลิ่วหมิงก็ศึกษามาไม่น้อย เพียงแค่ทำลายบริเวณที่เป็นแกนหลักของพลัง หุ่นที่แข็งแกร่งก็จะใช้งานไม่ได้ทันที จากการสังเกตดูในก่อนหน้า เขาย่อมหาแกนสำคัญของมันเจอนานแล้ว

“ฟิ้ว!”

กระบี่บินสีแดงแทงลึกลงบนสัญลักษณ์ตรงหน้าอกของหุ่นนักรบ แสงสีทองบนตัวของมันเปล่งประกายอย่างบ้าคลั่ง และมีเสียงแตกหักดังมาจากด้านใน

ดวงตาหลิ่วหมิงเผยแววดีใจออกมา แต่ก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปอย่างรวดเร็ว

คิดไม่ถึงว่ากลไกภายในกับพลังเวทที่ไหลวนของหุ่นตัวนี้ จะไม่หยุดลงอย่างสมบูรณ์ หัวสีทองยังคงเปล่งแสงสีทองออกมา แต่เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอที่ปล่อยออกมาอ่อนแอกว่าก่อนหน้านั้นเล็กน้อย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้! คิดไม่ถึงว่าหุ่นนักรบนี้จะมีแกนสำคัญสองจุด มิน่าล่ะถึงได้เคลื่อนไหวปราดเปรียวเช่นนี้” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว พอเขาทำท่ามือ กระบี่บินสีแดงก็พุ่งออกไปอีกครั้ง หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็แทงเข้าไประหว่างคิ้วของหุ่นนักรบ

“ปัง!”

ในที่สุดหุ่นนักรบเกราะทองคำก็หยุดการเคลื่อนไหว แสงสีแดงในดวงตาดับลง จากนั้นก็ล้มลงพื้นอย่างรุนแรง

ตั้งแต่หลิ่วหมิงปล่อยปีศาจทั้งสองปิดล้อมศัตรู จนถึงตอนที่ทำลายหุ่นนักรบไปหนึ่งตัวนั้น ใช้เวลาเพียงแค่ไม่กี่อึดใจเท่านั้น

จนเมื่อหุ่นเกราะทองคำล้มลงพื้น ชายหนุ่มชุดเขียวถึงพาหุ่นทั้งสองตามมาถึง แต่พอเขากวาดสายตาดูหุ่นที่นอนเป็นอัมพาตอยู่บนพื้นกับอีกตัวที่ถูกแมงป่องกระดูกก่อกวนจนไม่อาจหลุดออกมาได้แล้ว ร่างของเขาก็หยุดชะงักในทันที ใบหน้าเขียวปัดไปทั้งแถบ จากนั้นก็จ้องมองหลิ่วหมิงด้วยความอาฆาตแค้น

หลิ่วหมิงหัวเราะเบาๆ และโบกแขนปล่อยพลังออกไป ทรายทองคำที่รัดพันหุ่นอยู่สลายออกมาทันที หลังจากหมุนวนไปหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีทองตกลงบนมือของเขา

“เจ้าคิดว่าหากข้าไม่สามารถแสดงค่ายกลสี่ทิศได้ ก็ไม่อาจทำอะไรเจ้าได้งั้นหรือ?” ชายหนุ่มชุดเขียวหัวเราะอย่างเยือกเย็น

หลิ่วหมิงยิ้มและไม่พูดอะไรออกมา แต่กลับใช้จิตสั่งหัวบินกับนักรบยันต์พลังผ้าเหลืองอย่างรวดเร็ว

“ฟู่ๆ!”

หัวบินกับนักรบพลังผ้าเหลืองพุ่งยิงออกไปในทันที และกระโจนเข้าใส่หุ่นนักรบทั้งสองที่อยู่ด้านหลังชายหนุ่มชุดเขียว

ในขณะเดียวกัน พอหลิ่วหมิงทำท่ามือ แสงกระบี่สีแดงก็เปล่งประกายตรงหน้า และฟันใส่ชายหนุ่มชุดเขียว

“รนหาที่ตาย!”

ชายหนุ่มชุดเขียวตะโกนออกมา แสงสีดำเปล่งประกายบนมือทั้งสอง จากนั้นกำปั้นสีดำสนิทก็ปรากฏออกมา และชกใส่แสงกระบี่ตรงหน้า

“ตู้ม!” กระบี่บินสีแดงถูกโจมตีจนกระเด็นกลับไป และชายหนุ่มชุดเขียวก็ถูกพลังมหาศาลกดดันจนต้องร่นถอยไปสองก้าว

ขณะที่ชายหนุ่มชุดเขียวตั้งหลักได้ และคิดที่จะสะบัดกำปั้นออกไปนั้น ก็มีเสียงหัวเราะอย่างเยือกเย็นดังเข้ามาในหู ชายหนุ่มเพียงแค่รู้สึกว่าภาพตรงหน้าพร่ามัว จากนั้นเส้นเงาดำก็สะบัดใส่หน้าอกของเขา

“ปัง!” ชายหนุ่มชุดเขียวไม่ทันได้ระวังจึงทำให้ปราณแกร่งคุ้มร่างถูกโจมตีจนแตกกระจาย และความรู้สึกปวดแสบปวดร้อนบริเวณหน้าอกก็ประดังประเดเข้ามา ร่างของเขากระเด็นออกไปสิบกว่าจั้ง และหล่นลงพื้นราวกับเป็นถุงกระสอบ

“เอื๊อก!” ชายหนุ่มชุดเขียวกระอักเลือดออกมาจำนวนมาก หน้าอกยุบลงไปทั้งแถบ แม้ขณะหายใจยังรู้สึกเจ็บปวดจนยากที่จะทนได้

“เป็นไปไม่ได้……” ชายหนุ่มชุดเขียวพลิกตัวขึ้นมา แววตาของเขาดูเหลือเชื่อเป็นอย่างมาก

ในนิกายปีศาจลี้ลับเขาเป็นที่สนใจของคนจำนวนมาก และยังมีที่พึ่งขนาดใหญ่อยู่เบื้องหลัง สามารถพูดได้ว่าเรียกลมเรียกฝนได้ ไม่เคยกระเซอะกระเซิงเช่นนี้มาก่อน

และห่างออกไปไม่ไกล หุ่นนักรบสี่ตัวที่เป็นที่พึ่งอันแข็งแกร่งที่สุดของเขา ตัวหนึ่งถูกทำลายไปแล้ว อีกสามตัวก็ถูกฝ่ายตรงข้ามก่อกวนอยู่ ทำให้ไม่สามารถปลีกตัวออกมาได้ อย่าพูดถึงว่าจะมาช่วยเขาเลย

ชายหนุ่มชุดเขียวฝืนความเจ็บปวดบริเวณหน้าอกลุกขึ้นมาพร้อมส่งเสียงตะโกน แต่พอเงาดำเคลื่อนไหวตรงหน้า ก็มีเงาคนผู้หนึ่งปรากฏออกมา ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าหวาดกลัวออกมาในที่สุด แต่พออ้าปาก แสงสีดำก็พุ่งออกมา มันคือเข็มเล็กสีดำที่ยาวหลายชุ่นเล่มหนึ่ง

หลิ่วหมิงไม่ก้าวเข้าไปด้านหน้า แต่กลับถอยออกไป หลังจากหัวบินพร่ามัว เงาเข็มดำก็กระพริบผ่านไป พอเขาสะบัดแขนเสื้อ จุดแสงสีทองก็ม้วนตัวออกมา และก่อตัวเป็นดาบแสงสีทองภายในพริบตา จากนั้นก็แทงไปด้านหน้าอย่างไร้สุ้มเสียง

ระยะห่างอันใกล้เช่นนี้ ชายหนุ่มชุดเขียวไม่สามารถหลบหลีกได้เลยแม้แต่น้อย พอจะกระตุ้นอาวุธจิตวิญญาณอย่างอื่นมาป้องกันตัว ก็ไม่ทันการเสียแล้ว ทำได้แต่พยายามขยับตัวไปด้านข้าง เพื่อหลบให้พ้นจุดสำคัญไปก่อน

พอแสงสีทองเปล่งประกาย ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มชุดเขียวก็ถูกฟันจนแตก แขนข้างหนึ่งถูกตัดออกมา และระเบิดตัวเป็นหมอกโลหิต

“อ๊าก!” ชายหนุ่มชุดเขียวร้องอย่างเวทนา

แต่เขาก็เป็นผู้ที่มีจิตใจหนักแน่น พอกัดฟันอย่างรุนแรง ร่างของเขาก็ร่นถอยออกไปหลายจั้ง มืออีกข้างหยิบยันต์มาแปะไว้บนแขนที่ขาดอย่างรวดเร็ว ทำให้เลือดบริเวณไหล่หยุดไหล และพอโบกมือข้างหนึ่ง แสงสีดำก็เปล่งประกาย พัดขนนกที่มีสีดำมากกว่าสีขาวปรากฏออกมา มันคือพัดดับวิญญาณ อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่เขาประมูลมาได้

หลิ่วหมิงค่อยๆ ขมวดคิ้วขึ้นมา หากเขาจำไม่ผิดล่ะก็ พัดด้ามนี้คงมีสามสิบชั้นจำกัด ภายใต้การกระตุ้นอย่างบ้าคลั่ง อานุภาพของมันก็ไม่อาจดูเบาได้

แต่เวลาในตอนนี้เลยงานประมูลมาแค่สองสามเดือนเท่านั้น ในเมื่อชายหนุ่มผู้นี้สามารถปรับแต่งหุ่นชุดนี้สำเร็จ คิดว่าคงยังไม่ได้ปรับแต่งพัดดับวิญญาณจนเสร็จสิ้น หากเป็นเช่นนี้ล่ะก็ ก็ไม่จำเป็นต้องกังวลมากนัก

ในขณะที่เขากำลังคิดไตร่ตรองอยู่นั้น ชายหนุ่มชุดเขียวก็เผยสีหน้าอัปลักษณ์ออกมา และปล่อยพลังเวททั้งหมดเข้าไปในพัดดับวิญญาณ ดูเหมือนว่ามันจะยังไม่พอ เขาจึงอ้าปากพ่นโลหิตบริสุทธิ์ลงไปบนพัดอีก

แสงสีขาวดำเปล่งประกายบนพัดดับวิญญาณ จากนั้นก็พัดใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง

พอไอหมอกสีม่วงพุ่งออกจากพัด มันก็ก่อตัวเป็นโครงกระดูกสีม่วง และอ้าปากดูดมาทางหลิ่วหมิง

หลิ่วหมิงรู้สึกถึงแรงดึงดูดที่ปกคลุมเต็มอากาศบริเวณรอบๆ หูทั้งสองเจ็บปวดอย่างรุนแรง และก็รู้สึกสั่นสะท้านเล็กน้อย

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน ทันใดนั้นเขาก็พลิกฝ่ามือหยิบโซ่เล็กสีเงินออกมา ขณะเดียวกันก็ทำท่ามืออย่างรวดเร็ว

โซ่เล็กสีเงินเปล่งประกาย ทำให้ดวงตาทั้งคู่ของเขาเปล่งแสงสีเงินออกมา พลังจิตอันแข็งแกร่งทะลักออกมาอย่างบ้าคลั่ง และพุ่งไปรับมือกับโครงกระดูกสีม่วงที่เพิ่งมาถึง

“ตู้ม!” โครงกระดูกสีม่วงสลายไปทันที และกลายเป็นไอหมอกสีม่วงอันพวยพุ่งก่อนที่จะค่อยๆ หายไปในอากาศ

ท่ามกลางไอหมอก เงาร่างสีเขียวเพียงแค่หมุนตัว เงาปีศาจก็หายวับไป ครู่ต่อมาเขาก็มาอยู่ห่างจากตรงหน้าชายหนุ่มชุดเขียวสองสามจั้ง

“ไม่! ข้าไม่ยอมแพ้ให้กับคนไร้ชื่อเสียงอย่างเจ้าหรอก!” ชายหนุ่มชุดเขียวมีใบหน้าซีดขาวราวกับกระดาษ พอเห็นสถานการณ์เช่นนี้ เขาก็ตะคอกออกมา พัดดับวิญญาณในมือพัดออกไปอย่างบ้าคลั่ง คมวายุสีดำจำนวนมากก็ค่อยๆ ม้วนตัวออกไป เพื่อคิดจะต่อสู้อย่างสุดชีวิต

หลิ่วหมิงมีสีหน้าเยือกเย็นขึ้นมาทันที ไอดำบนตัวเปล่งประกาย ร่างของเขาบิดตัวไปมาราวกับอสรพิษ พริบตาเดียวก็พุ่งออกจากคมวายุไปได้

ครู่ต่อมา ชายหนุ่มชุดเขียวรู้สึกว่ามีพายุสีดำพัดผ่านข้างตัว จากนั้นก็รู้สึกเย็นบริเวณหน้าอก พอหันไปมอง กลับเห็นชายผู้หนึ่งยืนอยู่ด้านหลัง และกำลังยกฝ่ามือข้างหนึ่งที่มีไอดำลอยวนขึ้นมา บนฝ่ามือมีหัวใจที่มีโลหิตสดๆ ไหลรินกำลังเต้นอย่างช้าๆ

ชายหนุ่มชุดเขียวเห็นฉากเช่นนี้ สีหน้าของเขาก็หยุดชะงักในพริบตา ดวงตาทั้งคู่เบิกโพลง ใบหน้าดูเหมือนไม่อยากจะเชื่อในสิ่งที่เกิดขึ้น

“โพล๊ะ!”

เขากุมฝ่ามืออย่างรุนแรง หัวใจถูกบีบจนแตกสลาย และโลหิตสดๆ ก็พุ่งออกมา

ชายหนุ่มชุดเขียวอ้าปากพะงาบๆ มีเสียงแหบแห้งจนฟังไม่ออกดังออกจากลำคอ จากนั้นร่างกายก็อ่อนยวบยาบแล้วล้มลงพื้น ดวงหน้าไร้ซึ่งสีสันใดๆ มีเพียงแค่รูบริเวณหน้าอกที่ยังมีเลือดไหลอยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงดึงฝ่ามือกลับด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก และสะบัดรอยเลือดบนมือออกเบาๆ

ขณะนั้นเอง ไอดำกลุ่มหนึ่งก็พุ่งออกจากศีรษะของชายหนุ่มชุดเขียว มันกระพริบแค่ทีเดียวก็พุ่งออกไปไกลหลายจั้ง และคิดจะทำการหลบหนี

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่ตายแล้วยังสามารถรักษาดวงจิตส่วนหนึ่งไว้ได้นั้น เขาเองก็ไม่ได้เจอเป็นครั้งแรก ดังนั้นย่อมไม่ให้เขาหนีไปได้เป็นอันขาด เพียงแค่โบกมือ กระบี่เล็กสีแดงก็พุ่งยิงออกไปล้อมรอบไอดำไว้

มีเสียงร้องออกจากไอดำอย่างน่าเวทนา จากนั้นก็ระเบิดด้วยเสียงดัง “ปัง!” และกลายเป็นจุดแสงสีดำก่อนสลายไป

ขณะที่หลิ่วหมิงเตรียมจะเก็บกระบี่บินด้วยสีหน้าผ่อนคลายนั้น พลันมีแสงโลหิตเส้นเล็กๆ พุ่งออกจากแสงสีดำ มันกระพริบแค่ทีเดียวก็จมหายไปในร่างของเขา

มันเคลื่อนไหวรวดเร็วมาก ทำให้เขาไม่อาจหลบได้ทัน!

หลิ่วหมิงรู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบกระตุ้นพลังจิตเข้าไปสำรวจดูภายในร่าง ไม่นานก็เห็นเส้นสีแดงจางๆ อยู่ในส่วนลึกของเส้นลมปราณ

ใจเขารู้สึกหนักอึ้งขึ้นมา นึกถึงวิชาสายปีศาจแปลกประหลาดจำนวนหนึ่งที่บันทึกไว้ในคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ ส่วนมากใช้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเอง แสดงวิชาชั่วร้ายออกมา

เขาจำได้ว่ามีเคล็ดวิชาสายปีศาจชนิดหนึ่งที่เรียกว่ากระบี่โลหิตพ่าย ซึ่งเป็นการเผาไหม้โลหิตบริสุทธิ์ของตนเองให้กลายเป็นกระบี่โลหิต เพียงสัมผัสโดนตัวของศัตรูแค่เล็กน้อย ก็สามารถบุกเข้าไปในพลังชีวิตกับจิตวิญญาณของฝ่ายตรงข้ามได้ และค่อยๆ กลืนกินพลังชีวิตของฝ่ายตรงข้ามไปจนเสียชีวิต ราวกับหนอนแมลงวันบนกระดูกข้อเท้า มันเป็นวิชาชั่วร้ายที่ผู้ฝึกฝนสายปีศาจใช้ก่อนตาย เพื่อทำให้ศัตรูตายตกไปพร้อมกัน

“หรือว่าโลหิตนี้จะเป็นหนึ่งในวิชาชนิดนี้?”

หลิ่วหมิงรู้สึกกังขาเล็กน้อย แต่พอมาคิดไตร่ตรองดูอย่างละเอียด ก็รู้สึกว่าไม่ค่อยจะเหมือนมากนัก

วิชาชั่วร้ายอย่างกระบี่โลหิตพ่าย ล้วนต้องใช้พลังชีวิตกับพลังเวทที่เพียงพอถึงจะแสดงออกมาได้ ตอนที่วิญญาณบริสุทธิ์ถูกแสงกระบี่ทำลายไปนั้น ก็ดูเหมือนจะไม่มีสัญญาณของการใช้พลังเวทเลย

จากนั้นเขาก็รีบขับไล่ไหมโลหิตออกไป แต่ไม่ว่าจะกระตุ้นพลังเวทอย่างไร ก็ไม่ได้ผลเลยแม้แต่น้อย ราวกับว่าไหมโลหิตไม่ได้มีอยู่จริง ดูท่าเคล็ดวิชานี้คงเป็นเคล็ดวิชาพิเศษของนิกายปีศาจลี้ลับ

“ช่างเถอะ! รอกลับไปตลาดแล้วค่อยจัดการ” ตอนนี้หลิ่วหมิงไม่อาจทำอะไรได้ ทำให้เพียงแค่ขมวดคิ้ว และหยุดการแสดงวิชาไว้ชั่วคราว

…………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด