ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 559 พบกันโดยบังเอิญ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 559 พบกันโดยบังเอิญ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ผ่านไปอีกหลายวัน เมื่อหลิ่วหมิงสังหารปีศาจวานรที่เป็นอสูรมายาระดับของเหลวขั้นกลางจำนวนหนึ่ง และเข้าไปในห้องโถงอีกห้องนั้น กลับค้นพบว่าไอหมอกรอบด้านเบาบางมาก ราวกับว่าไม่มีสิ่งใดอยู่เลย

เขาเดินไปใจกลางห้องสองสามก้าว พอมองอย่างละเอียด ก็ค้นพบว่ามีร่องรอยของการต่อสู้อยู่จำนวนหนึ่ง อสูรมายาในนั้นถูกจัดการไปจนหมดสิ้น

ขณะนั้นเอง ประตูใหญ่ด้านหนึ่งก็ถูกผลักออกมาในทันที มีผู้ฝึกฝนบุกเข้ามาจากด้านนอก

พอคนผู้นี้เห็นหลิ่วหมิงยืนอยู่ใจกลางห้องโถงก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย หลังจากกวาดสายตามองดูรอบด้านอยู่ครู่หนึ่งก็เผยสีหน้าเข้าใจในทันที ดูเหมือนเขาจะคิดว่าอสูรมายาในสถานที่แห่งนี้ถูกหลิ่วหมิงสังหาร

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรออกมา เพียงแค่มองดูฝ่ายตรงข้ามด้วยท่าทีเฉยๆ

คนผู้นี้มีรูปร่างผอมสูง สวมชุดคลุมสีเทา ธนูสีเขียวที่สะพายอยู่ข้างหลังดูเตะตาเล็กน้อย ระดับการฝึกฝนก็ไม่อ่อนแอ ซึ่งดูเหมือนจะอยู่ที่ระดับของเหลวขั้นปลายเช่นกัน

คนผู้นี้ก็ไม่คิดที่จะพูดอะไรออกมา ทั้งสองจ้องมองกันด้วยความระแวดระวัง สุดท้ายก็เดินไปยังประตูหินคนละบาน และออกจากห้องโถงแห่งนี้ไป

พอหลิ่วหมิงผลักประตูทางทิศตะวันออกแล้วเดินเข้าไปใจกลางห้องโถงนั้น อากาศที่เดิมทีว่างเปล่า ก็พลันมีพายุบ้าระห่ำม้วนตัวเข้ามาหาเขา

สีหน้าเขาค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย จากนั้นก็รีบทำท่ามือจนทรงตัวไว้ได้ และปล่อยจิตออกไปสำรวจสถานการณ์บริเวณรอบๆ

พอเขากวาดพลังจิตออกไป ก็ค้นพบว่ามีกลิ่นไอที่ไม่ด้อยไปกว่าระดับผลึกลอยวนเวียนรอบๆ ตัวอยู่ตลอดเวลา จนไม่สามารถจับตำแหน่งที่แม่นยำของมันได้ ขณะนั้นเขาก็รู้สึกเย็นสะท้านขึ้นมาโดยฉับพลัน

ขณะนั้นเอง มีเสียงระเบิดดังเหนือศีรษะของหลิ่วหมิง ภายใต้พายุบ้าระห่ำ กรงเล็บยักษ์ขนาดจั้งกว่าๆ คว้าลงมาอย่างรวดเร็ว ดูเหมือนมันคิดที่จะขย้ำร่างของหลิ่วหมิงให้แตกกระจายในทีเดียว

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด ทันใดนั้นก็กลายเป็นเงาร่างหายไปจากที่เดิม และมาปรากฏตัวอยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้ง

ขณะนี้เขาถึงมองเห็นรูปร่างแท้จริงของอสูรมายาตัวนี้อย่างชัดเจน มันคือวิหคยักษ์สีเทาตัวหนึ่งที่มีขนาดเจ็ดแปดจั้ง

แต่จะเห็นว่าวิหคตัวนี้มีขนสีเทาเต็มตัว ลวดลายจิตวิญญาณสีม่วงจางๆ ปรากฏบนปีกทั้งสองเป็นวงๆ ทั่วทั้งตัวถูกแสงสีขาวจางๆ ปกคลุมไว้หนึ่งชั้น ดวงตาทั้งคู่เปล่งประกายเป็นเงา

“ฟู่ๆ!” วิหคยักษ์กระพือปีกสองสามครั้งอย่างรวดเร็ว หลังจากหมุนวนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นแสงสีขาวพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง พายุบ้าระห่ำปะทะเข้ามาอย่างรวดเร็ว

หลิ่งหมิงรู้สึกว่าแรงกดดันในอากาศรอบด้านเพิ่มขึ้นมาโดยฉับพลัน เขาคิดวกไปวนมาอย่างรวดเร็ว พอสะบัดแขนเสื้อ โล่สีดำสลัวๆ ก็พุ่งออกมา และขยายใหญ่ตรงหน้าจนกลายเป็นโล่ยักษ์สีดำทีมีขนาดสองสามจั้ง

หลังจากทำท่ามือด้วยมือเดียว แสงสีดำก็เปล่งประกายบนผิวโล่ ไอหมอกดำพวยพุ่งออกมา หัวกะโหลกเก้าใบผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในไอหมอก มีเสียงร้องแปลกประหลาดที่ทำให้ผู้คนรู้สึกตื่นตระหนกตกใจดังออกมา และพ่นไอดำใส่แสงสีขาว

ไอดำเก้ากลุ่มค่อยๆ รวมตัวกันกลางอากาศ และผสมผสานกันจนกลายเป็นแสงสีดำเข้มข้นขนาดหลายจั้งก่อนพุ่งใส่แสงสีขาว

“ฟู่!”

แสงสีขาวแทงเข้าไปในไอดำอันหนาแน่น แต่กลับติดอยู่ด้านในโดยที่ไม่สามารถออกมาได้ และทำการดิ้นรนขึ้นมา

ครู่ต่อมา จะเห็นว่าแสงสีขาวผลุบๆ โผล่ๆ อยู่ในไอดำ ทำให้ไอดำพวยพุ่งอย่างรุนแรง และยังมีเสียง “ชี่ๆ” ดังออกมาติดต่อกัน

“ตู้ม!”

ไอดำอันพวยพุ่งระเบิดตัวกลางอากาศในทันที ขณะเดียวกันก็มีเสียงร้องโหยดังแผ่วโผยออกมา

เมื่อไอหมอกดำค่อยๆ สลายไปนั้น จะเห็นว่าวิหคยักษ์สีดำที่มีขนไม่สม่ำเสมอ ทั้งยังมีจุดสีดำติดอยู่ กำลังกระพือปีกและจ้องตนเองอยู่

ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น ทำให้มันเสียเปรียบไม่ใช่น้อย และรู้สึกโมโหจนถึงขีดสุด

หลิ่วหมิงเลิกคิ้วขึ้นมา มือทั้งสองทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และแอบกระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬอย่างเงียบๆ

วิหคยักษ์ส่งเสียงร้องแหลม และอ้าปากพ่นเปลวไฟสีขาวออกมาติดต่อกัน

ขณะเดียวกัน ก็กางปีกทั้งคู่และกระพืออย่างรวดเร็ว พายุบ้าระห่ำพัดเข้ามาเป็นระลอกๆ เปลวไฟสีขาวหมุนเป็นเกลียวกลางอากาศ และพุ่งเข้ามาห่อหุ้มหลิ่วหมิงจากทั่วทิศท่ามกลางเสียงที่ดังก้อง

หลิ่วหมิงคำรามออกมา ไอดำพวยพุ่งรอบตัวก่อตัวเป็นมังกรสีดำสองตัว และพุ่งออกมาทันที ตามมาด้วยเสียงร้องของมังกรที่ดังอยู่ชั่วขณะหนึ่ง มังกรดำพ่นไอหมอกออกไปรับมือกับเปลวไฟสีขาว

“ตู้ม! ตู้ม!” เสียงระเบิดดังขึ้นกลางอากาศติดต่อกัน

เปลวไฟสีขาวดำพากันระเบิดตัวกลางอากาศ คลื่นอัคคีขนาดใหญ่แตกเป็นฟองฝอยไปทั่วทิศ มันส่องสะท้อนจนห้องโถงสว่างราวกับเป็นเวลากลางวัน

ดูเหมือนวิหคยักษ์จะไม่ยอมเลิกราเพียงเท่านี้ ปีกทั้งสองสั่นสะท้านขึ้นมาทันที ขนนกสีม่วงอ่อนแต่ละเส้นพุ่งยิงออกมา และกลายเป็นเงาลูกธนูสีม่วงจำนวนมากก่อนที่จะพุ่งหาหลิ่วหมิง

พอหลิ่วหมิงสะบัดแขนเสื้อ แสงสีทองก็เปล่งประกายออกมา มันกลายเป็นม่านทรายสีทองผืนหนึ่ง และโอบล้อมขนวิหคสีม่วงจำนวนมากไว้ ทั้งยังผลักไปทางวิหคยักษ์

ทันใดนั้นมีเสียงราวกับโลหะกระทบกันดังออกมาอย่างต่อเนื่อง!

ลูกธนูสีม่วงพากันระเบิดตัวท่ามกลางแสงสีทองที่เปล่งประกาย แต่ทว่าม่านทรายสีทองเพียงแค่หยุดชะงักเล็กน้อย จากนั้นก็พุ่งไปทางวิหคยักษ์ต่อ

ดูเหมือนวิหคยักษ์สีเทาจะรับรู้ได้ถึงอันตราย มันจึงกระพือปีกทั้งสองเพื่อจะหลบออกไปจากวงล้อมของม่านทราย

ขณะนั้นเอง กระบี่บินสีแดงขนาดเจ็ดแปดจั้งก็เปล่งประกายบนอากาศบริเวณหัวของวิหคยักษ์ พริบตาเดียวก็กลายเป็นเงากระบี่ขัดขวางวิหคยักษ์ไว้

วิหคยักษ์ลดความเร็วลงด้วยความตกใจ

ในชั่วอึดใจนั้นเอง ม่านทรายสีทองก็กลายเป็นตาข่ายยักษ์ขนาดใหญ่ปกคลุมลงมา หลังจากพร่ามัวไปหนึ่งที มันก็ปกคลุมวิหคยักษ์ตัวนี้ไว้

วิหคยักษ์ที่อยู่ในนั้นกระพือปีกด้วยความโกรธแค้น แต่ก็ไม่อาจสลัดตัวให้หลุดพ้นได้

“ฟัน!”

ในขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงก็คำรามด้วยแววตาเยือกเย็น

เงากระบี่สีแดงรวมตัวเป็นแสงกระบี่ขนาดใหญ่ เพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ ก็กลายเป็นจันทราสีแดงกลมๆ และค่อยๆ ร่วงลงมา

แม้ว่าวิหคยักษ์จะพยายามชูคอพ่นเปลวไฟสีขาวอย่างไร หัวของมันก็ยังคงถูกตัดออกมาอยู่ดี

และร่างไร้หัวของมันก็ไม่ได้ระเบิดตัวเป็นไอดำในทันที ยังคงกระพือปีกทั้งคู่ไม่หยุด เพื่อทำการต้านทานครั้งสุดท้าย

ขณะนี้ ร่างหลิ่วหมิงเปล่งประกายมาปรากฏตัวด้านข้างวิหคยักษ์ พอขยับแขน เงากำปั้นนับไม่ถ้วนก็ปรากฏออกมา และกลายเป็นคลื่นยักษ์สีดำ เพื่อที่จะโจมตีร่างไร้หัวของมัน

เกิดเสียงดังตูมตามอยู่ชั่วขณะหนึ่ง ในที่สุดร่างของวิหคยักษ์ก็สลายไป จากนั้นมุกที่เปล่งแสงสีเงินสลัวๆ ก็ร่วงลงมา และถูกหลิ่วหมิงดูดเข้ามาในมือ

หลิ่วหมิงโบกมือเรียกทรายทองคำร่วงกับกระบี่บินสีแดงกลับมา และทำการจ้องมองมุกสีเงินด้วยสีหน้าครุ่นคิด

ช่วงครึ่งเดือนมานี้ เขาผ่านการสังหารอสูรมายาที่ปรากฏตัวในห้องโถงอยู่ไม่หยุด มุกแปลกประหลาดสีต่างๆ ที่อยู่ในแหวนย่อส่วนก็มีร้อยกว่าเม็ดแล้ว

อสูรมายาที่พบเจอในระหว่างเวลานี้ มีตั้งแต่ระดับศิษย์จิตวิญญาณไปจนถึงระดับผลึก แต่ว่ามุกที่ได้มาจากอสูรมายาระดับผลึกขั้นต้น ต่างก็เป็นเหมือนวิหคยักษ์ตนนี้ ซึ่งเป็นแค่มุกสีเงินเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกกลัดกลุ้มเล็กน้อย

หรือว่าในวังนภาหยกจะยังมีอสูรมายาระดับที่สูงกว่าดำรงอยู่?

แม้อสูรมายาระดับผลึกขั้นต้นเหล่านี้ จะมีสติปัญญาจำกัด แต่สำหรับผู้ฝึกฝนระดับของเหลวที่ผ่านบันไดห้าสีมาได้ เพียงแค่ใช้วิธีการบางอย่าง ก็สามารถเอาชนะได้แล้ว อย่างมากก็แค่ถอนตัวเท่านั้น มันคงไม่มีปัญหาอะไรมากนัก

แต่หากเป็นอสูรมายาระดับผลึกขั้นกลางขึ้นไป ภายใต้สถานการณ์ที่พลังแตกต่างกันมาก เกรงว่าผู้ที่สามารถสังหารได้คงมีอยู่น้อยจริงๆ

พอหลิ่วหมิงคิดมาถึงจุดนี้ก็ค่อยๆ ส่ายหน้าไปมา หลังจากเลือกทิศทางหนึ่งแล้ว ก็ผลักประตูหินเดินเข้าไปต่อ

……

แต่ทว่าในขณะที่เวลาค่อยๆ เคลื่อนย้าย อสูรมายาในห้องโถงแต่ละแห่งก็ค่อยๆ ลดลง ความถี่ในการเข้าห้องโถงที่ว่างเปล่าเริ่มเพิ่มขึ้นบ่อยครั้ง

วันนี้ ท่ามกลางห้องโถงขนาดใหญ่สิบกว่าจั้งแห่งหนึ่งที่อยู่ภายในวังมายานภาหยก

แสงสีเงินกลุ่มหนึ่งเปล่งประกาย และกลายเป็นแมงป่องกระดูกขนาดเล็ก จากนั้นมันก็กระโดดขึ้นบนไหล่หลิ่วหมิง

และบนพื้นยังมีศพของอสูรมายาที่มีหัวเป็นวัวร่างเป็นสิงโต กำลังสลายตัวออกมา และสุดท้ายก็กลายเป็นมุกสีเขียวเข้มหนึ่งเม็ด

“ทำได้ดี!” หลิ่วหมิงลูบแมงป่องกระดูกบนไหล่เบาๆ พอคว้ามือข้างหนึ่งไปกลางอากาศ มุกเม็ดนี้ก็ถูกดูดเข้ามาในมือ

ขณะนั้นเอง “แอ๊ด!” ประตูหินบางแห่งในห้องโถงค่อยๆ ถูกเปิดออกมา

หลิ่วหมิงตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวอย่างรวดเร็ว แมงป่องกระดูกกลายเป็นไอดำม้วนตัวเข้าไปด้านใน

ขณะนี้ มีเสียงฝีเท้าดังมาจากประตูหินที่อยู่ด้านหลัง ซึ่งก็คือหญิงสาวชุดม่วงแห่งตระกูลโอวหยางนั่นเอง

“อ้อ! ที่แท้ก็เป็นสหายหลิ่วจากนิกายยอดบริสุทธิ์” พอนางเข้ามาในห้องโถงและเห็นหลิ่วหมิง ก็ยิ้มมุมปากและเผยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

“ท่านเซียนรู้จักข้าหรือ?” หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้านเล็กน้อย แต่กลับถามด้วยสีหน้าสงบ

เรื่องราวเกี่ยวกับตระกูลโอวหยาง หลังจากงานประมูลเสร็จสิ้น เขาได้สอบถามสถานการณ์คร่าวๆ จากเถ้าแก่เย่มาแล้ว

น่าเสียดายที่เถ้าแก่เย่รู้เพียงแค่ว่าตระกูลโอวหยางมีอิทธิพลในแผ่นดินจงเทียนมาก ดูเหมือนว่าจะเป็นรองแค่สี่ยอดนิกายใหญ่เท่านั้น นอกจากนี้แล้วเขาก็ไม่รู้อะไรอีก

จากความคิดของหลิ่วหมิง นอกจากตอนที่เขาไปสังหารปีศาจหยินหยางแล้ว ในช่วงครึ่งปีมานี้ เขาก็ทำการอยู่ในตลาดฉางหยางอย่างระมัดระวัง จนดูเหมือนจะไม่เคยเปิดเผยใบหน้าที่แท้จริงต่อหน้าผู้คนเลย แม้แต่ตอนไปซื้อวัตถุดิบหรือขายโอสถ ก็ล้วนแล้วแต่แปลงโฉมออกไป คิดว่าคงไม่เป็นจุดสนใจของคนอื่น

แต่วันนี้เข้ามาในวังนภาหยก เขาก็ตั้งใจไม่สวมชุดศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ แต่หญิงผู้นี้กลับจำเขาได้ในทันที ทั้งยังเรียกชื่อออกมาด้วย สิ่งนี้ย่อมทำให้เขารู้สึกแปลกใจยิ่งนัก

“แม้ข้ากับสหายหลิ่วจะเจอกันเป็นครั้งแรก แต่ข้ากลับได้ยินชื่อเสียงของท่านมานานแล้ว” หญิงสาวชุดม่วงกลอกลูกตา และเอ่ยปากประจบหลิ่วหมิงไปหนึ่งประโยค แต่กลับไม่บอกชื่อของตนเองออกมา

“ท่านเซียนชมเกินไปแล้ว” ขณะเดียวกันหลิ่วหมิงก็หรี่ตาทั้งคู่สังเกตดูหญิงสาวชุดม่วงไปรอบหนึ่ง แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ท่านทูตหลิ่วมองหน้าข้าเช่นนี้ บนหน้าข้ามีอะไรไม่ถูกต้องหรือ?” หญิงสาวชุดม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้มพราย

“อ้อ! ข้าเสียมารยาทไปแล้ว ข้าเพียงแค่นึกไม่ถึงว่าจะได้พบเจอท่านเซียนโดยบังเอิญเช่นนี้” หลิ่วหมิงค่อยๆ ประสานมือคารวะ และละสายตากลับมา

“อ้อ! ฟังจากน้ำเสียงของสหายหลิ่ว ดูเหมือนจะรู้ที่มาของข้าแล้ว” หญิงชุดม่วงกล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ตระกูลโอวหยางมีชื่อเสียงโด่งดัง ไหนเลยข้าจะไม่รู้จัก แต่ว่าเวลาการเปิดวังนภาหยกแห่งนี้มีจำกัด ข้ายังต้องรวบรวมมุกนภาหยกให้มาก ต้องขอตัวก่อนแล้ว” หลิ่วหมิงหัวเราะและประสานมือกล่าวคำอำลา

จากนั้นเขาก็หายวับไปทางด้านหนึ่งของห้องโถง พอสะบัดแขนเสื้อ ประตูหินก็ถูกเปิดออกมา และเขาก็หายไปจากสายตาของหญิงสาวชุดม่วง

หญิงสาวชุดม่วงหัวเราะเบาๆ แล้วก็เดินไปยังประตูอีกบาน

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด