ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 579 ประลองใหญ่แปดสาขา (2)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 579 ประลองใหญ่แปดสาขา (2) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

อีกด้านหนึ่งของแท่นประลองก็ยังไม่มีคนเดินขึ้นมา

“หมายเลขสามร้อยหกสิบสี่ พานเทียนเฟิงจากสาขาเสวียนเหมี่ยว หากไม่ขึ้นแท่นประลองล่ะก็ จะถือว่าสละสิทธิ์ล่ะนะ” ผู้ดำเนินการระดับผลึกรออยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ตะโกนออกมาด้วยสีหน้าอึมครึม

พอคำพูดนี้หลุดออกไป ฝูงชนด้านล่างก็พากันกระซิบกระซาบขึ้นมา

“ไม่ต้องเร่ง ข้าอยู่นี่แล้ว” ขณะนั้นเองชายหนุ่มขาวอวบสวมชุดผ้าแพรสีเงิน ท่าทีสะโอดสะอง ก็มาปรากฏตัวบนแท่นประลอง

พอคนผู้นี้เหยียบลงบนแท่นประลอง ผู้คนที่อยู่ด้านล่างก็ส่งเสียงฮือฮาขึ้นมา

“ว่ากันว่าแม้พานเฟิงเทียนผู้นี้จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย แต่พลังแท้จริงของเขาไม่ได้ด้อยไปกว่าระดับผลึกเลยแม้แต่น้อย ไม่รู้ว่าจริงเท็จประการใด”

“ท่านกล่าวไม่ถูกต้อง แม้ข้าจะไม่รู้พลังที่แท้จริงของคนผู้นี้ แต่ตระกูลพานก็นับว่ามีหน้ามีตาในนิกายไม่น้อย ว่ากันว่าพานเทียนเฟิงเข้าสู่ระดับของเหลวขั้นปลายเมื่ออายุแค่ยี่สิบกว่าปีเท่านั้น สาเหตุส่วนใหญ่ล้วนเกิดจากการที่ทางตระกูลให้โอสถเพิ่มพลังเวทที่มีชื่อเสียงต่างๆ จนบรรลุขั้นขึ้นมาได้”

ขณะที่ด้านล่างแท่นประลองกำลังวิพากษ์วิจารณ์กันอยู่นั้น พานเทียนเฟิงก็มองหลิ่วหมิงทีหนึ่ง พอสะบัดแขนเสื้อ ค้อนเล็กสีดำก็ปรากฏอยู่ในมือ และกล่าวออกมาด้วยท่าทีหยิ่งยโส

“ข้าพานเทียนเฟิงจากสาขาเสวียนเหมี่ยว ศิษย์น้องผู้นี้ไม่ต้องบอกชื่อเสียงเรียงนามแล้ว ขอใช้ชัยชนะในวันนี้มาเปิดคมอาวุธจิตวิญญาณของข้าที่เพิ่งซื้อมาใหม่นี้เถอะ”

หลิ่วหมิงไม่ตอบกลับแต่อย่างใด แต่พอหดรูม่านตาสังเกตดูค้อนเล็กที่เปล่งแสงสีดำอยู่ในมือของชายหนุ่ม เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย

ค้อนเล็กนี้เป็นสิ่งที่เขานำไปขายในตลาดด้วยราคาสองล้านหินจิตวิญญาณเมื่อไม่กี่วันก่อน ดูเหมือนว่าเถ้าแก่ร้านหลอมอาวุธแห่งนั้นก็แซ่พานเช่นกัน

หลิ่งหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว จากนั้นก็มองดูพานเทียนเฟิงตรงหน้าอีกครั้ง และค่อยๆ เหยียดมุมปากขึ้นเล็กน้อย

พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้กลับรู้สึกโมโหอย่างอดไม่ได้ มือทั้งสองทำท่ามือกระตุ้นพลังเวทไปยังค้อนเล็กสีดำอย่างบ้าคลั่ง พอสะบัดข้อมือ ค้อนเล็กสีดำก็ถูกโยนขึ้นบนอากาศ

ค้อนเล็กสีดำสั่นไหวอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็เปล่งแสงสีดำออกมา พริบตาเดียวก็ขยายใหญ่จั้งกว่าๆ อักขระสีดำจำนวนมากเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิว

ขณะที่พลังจิตวิญญาณสั่นสะเทือนไปทั่วทิศร่างรุนแรง ก็ทำให้ผู้ชมบริเวณอื่นๆ รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก และพากันหันมามองแท่นประลองที่เก้า

บนแท่นสูงที่อยู่ไม่ไกล ดูเหมือนว่าผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้หลายคนก็รับรู้ถึงความเคลื่อนไหวทางด้านนี้ได้ จึงละสายตามองมา

เมื่อรู้สึกว่าตัวเองกลายเป็นศูนย์กลางของความสนใจ พานเทียนเฟิงก็รู้สึกดีใจมาก จากนั้นก็กัดฟันปล่อยพลังออกไปติดต่อกัน

ค้อนยักษ์สีดำแผดเสียงออกมา ลวดลายสีดำบนพื้นผิวค่อยๆ ชัดเจนขึ้น

หลิ่วหมิงยังคงยืนนิ่งอยู่ที่เดิม และจ้องมองค้อนยักษ์กลางอากาศด้วยรอยยิ้มที่ดูไม่เหมือนกับยิ้ม

ค้อนเล็กสีดำเป็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีสามสิบชั้นจำกัด ตอนนี้ดูเหมือนจะมีอานุภาพน่าตกใจมาก แต่พานเทียนเฟิงกลับกระตุ้นชั้นจำกัดแค่ยี่สิบกว่าชั้น ดูท่าหากไม่ใช่ว่าพลังเวทของเขาไม่เพียงพอ ก็คงทำการปรับแต่งไม่ทัน

ขณะนั้นเอง พานเทียนเฟิงก็คำรามเสียงต่ำและกระโดดขึ้นมาทันที จากนั้นก็คว้าค้อนเล็กกลางอากาศไว้ และโบกไปยังฝั่งตรงข้ามอย่างรุนแรง

“ฟู่!”

มีเสียงดังขึ้นบนพื้นแท่นประลอง เงาค้อนสีดำกลุ่มหนึ่งปรากฏออกมา และพวยพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง

หลิ่งหมิงเคลื่อนไหวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏตัวอยู่กลางอากาศที่สูงสิบกว่าจั้ง ซึ่งสามารถหลบการโจมตีได้อย่างง่ายดาย

เงาค้อนสีดำโจมตีลงบนขอบม่านแสงทันที หลังจากส่งเสียงดังตู๊ม มันก็กลายเป็นจุดแสงสีดำสลายไป แต่ม่านแสงก็สั่นสะท้านเบาๆ เห็นได้ชัดว่ามันมีอานุภาพไม่น้อย

ศิษย์จำนวนมากเห็นเช่นนี้ ก็รู้สึกใจเย็นสะท้าน สายตาที่มองดูค้อนสีดำเต็มไปด้วยความหวาดกลัว

พอพานเทียนเฟิงเห็นว่าหลิ่วหมิงหลบการโจมตีนี้ได้อย่างง่ายดาย หน้าเขาก็เริ่มแดงขึ้นมา

จากนั้นเขาก็กระตุ้นเคล็ดวิชาและโบกสะบัดค้อนยักษ์หนึ่งที ภายใต้การเปล่งประกายของแสงสีดำ เงาค้อนสิบกว่ากลุ่มก็ม้วนตัวออกไป

ดวงตาหลิ่วหมิงเป็นประกาย หลังจากร่างของเขาพร่ามัว ก็มาปรากฏตัวตรงมุมแท่นประลอง ทำให้เงาค้อนโจมตีใส่แต่ความว่างเปล่า

หลังจากผ่านการโจมตีเช่นนี้ไปสามสี่ครั้ง พานเทียนเฟิงก็มีสีหน้าซีดขาวเล็กน้อย และหายใจถี่ขึ้น แต่นอกจากหลิ่วหมิงจะหลบหลีกอยู่บ่อยครั้งแล้ว ก็ไม่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย

ค้อนนี้สิ้นเปลืองพลังเวทเป็นอย่างมาก แม้แต่หลิ่วหมิงเองก็รับไม่ไหว แล้วนับประสาอะไรกับศิษย์คนนี้ล่ะ

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้ผู้ชมรอบแท่นประลองหัวเราะออกมาอยู่ชั่วขณะหนึ่ง

“เจ้าหลบหลีกอยู่บ่อยครั้งเช่นนี้ จะนับว่าเป็นประลองได้อย่างไร! หรือว่าแค่เห็นอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดของข้า ก็กลัวแล้วหรือ?” พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ก็ตะคอกด้วยความโกรธ

“ไม่ผิด” หลิ่วหมิงได้ยินก็ถูจมูกแล้วพูดออกมาโดยไม่ต้องคิด

พอคำพูดนี้ออกจากปาก ศิษย์จำนวนมากที่อยู่บริเวณนั้นก็หัวเราะออกมา

“เจ้า……เจ้ากล้าต่อสู้กับข้าอย่างองอาจหรือไม่!” พานเทียนเฟิงประนามด้วยความโมโห

ขณะนี้ ใบหน้าขาวเกลี้ยงเกลาของเขากลับแดงขึ้นมา พอนึกถึงว่าตนเองเป็นถึงนายน้อยตระกูลพาน แต่กลับถูกฝ่ายตรงข้ามเล่นลูกไม้เช่นนี้ เขาก็เรียกค้อนยักษ์กลับมาด้วยความโมโห และใส่พลังเวทเข้าไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ค้อนยักษ์สีดำเปล่งแสงสีดำออกมา

“ได้!” หลิ่วหมิงตอบอย่างตรงไปตรงมา แต่ยังคงไม่นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย เขาเอามือทั้งสองไขว้หลังด้วยสีหน้าเคร่งขรึมเล็กน้อย

พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ ก็ถือค้อนยักษ์พุ่งเข้าหาหลิ่วหมิง

ขณะที่พานเทียนเฟิงพุ่งเข้ามาถึงตรงหน้านั้น หลิ่วหมิงกลับตั้งใจเผยช่องโหว่ออกมา

ผลลัพธ์คือดวงตาของคนผู้นี้เผยแววดีใจออกมา และทุบค้อนยักษ์ใส่หลิ่วหมิงอย่างรุนแรง ทันใดนั้นมันก็กลายเป็นเงาสีดำสลัวๆ ม้วนตัวออกไปอย่างบ้าคลั่ง

แต่หลิ่วหมิงแค่ขยับตัวเบาๆ ก็สามารถหลบเงาค้อนจำนวนมากไปได้อย่างเหลือเชื่อ และมาปรากฏตัวอีกแห่งหนึ่ง ทำให้ฝ่ายตรงข้ามคว้าน้ำเหลว

“เจ้า……” พานเทียนเฟิงเห็นเช่นนี้ก็เบิกตาสองข้าง สุดท้ายยังไม่ทันได้พูดอะไรออกมา สีหน้าของเขาก็ซีดขาว และหมดสติก่อนล้มลงพื้นด้วยเสียงดัง “โครม!”

ประจักษ์ชัดว่าการโจมตีในก่อนหน้านั้น ทำให้พลังเวทของเขาถูกค้อนสีดำดูดจนหมดสิ้น และไม่อาจยืนหยัดได้อีก

ตั้งแต่ตอนที่พานเทียนเฟิงนำค้อนเล็กสีดำออกมา จนถึงตอนที่หมดสติล้มลงบนพื้นนั้น ใช้เวลาไม่ถึงหนึ่งถ้วยชาเท่านั้น และตั้งแต่ต้นจนจบหลิ่วหมิงก็ไม่ได้นำอาวุธจิตวิญญาณออกมาเลย และยังไม่เคยลงมือโจมตีด้วย แต่กลับได้ชัยชนะมาแล้ว

สิ่งนี้สามารถกล่าวได้ว่าไม่เคยมีในประวัติศาสตร์การประลองใหญ่ของนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน

และผู้ชมที่ดูอยู่ก็รู้สึกตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

แน่นอน! นี่ก็เป็นเพราะว่าพานเทียนเฟิงอาศัยโอสถในการสะสมพลังเวท พลังต้นกำเนิดจึงไม่บริสุทธิ์ มิเช่นนั้นต่อให้จะใช้พลังเวทแค่ไหน ก็ไม่ถึงกับทนรับไม่ไหวเช่นนี้

“การประลองในรอบนี้ หลิ่วหมิงจากสาขาห่านฟ้าชนะ!”

หลังจากมีเสียงประกาศผลดังออกมา หลิ่วหมิงก็ยิ้ม และหายวับไปจากแท่นประลอง

“จุ๊ๆ! พานเทียนเฟิงผู้นี้เป็นศิษย์สาขาเสวียนเหมี่ยวของพวกท่านล่ะสิ!” หญิงงดงามหัวเราะเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

ชายอ้วยเตี้ยที่อยู่ด้านข้างก็มีสีหน้ากลืนไม่เข้าคายไม่ออก

พานเทียนเฟิงผู้นี้มีคุณสมบัติไม่เลว แต่กลับมีนิสัยเกียจคร้าน แม้ว่าพลังเวทส่วนมากจะเกิดจากการทานโอสถมหาศาล แต่วันนี้ก็เข้าถึงระดับของเหลวขั้นปลายแล้ว ลำพังแค่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่มีอยู่หลายชิ้น ย่อมมีโอกาสเอาชนะคู่ต่อสู้ระดับเดียวกันค่อนข้างมาก

แต่เขากลับคิดไม่ถึงว่า ศิษย์ผู้นี้จะนำอาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดที่ตนเองไม่สามารถควบคุมได้ออกมา ผลลัพธ์ถึงได้ออกมาเป็นเช่นนี้

“อ่ะแฮ่ม! ศิษย์สาขาห่านฟ้าผู้นั้นก็ไม่ธรรมดาจริงๆ พอมองก็รู้ว่าคู่ต่อสู้ใช้พลังเวทค่อนข้างมาก…..ท่านหัวหน้าเหลียง คนผู้นี้คือหลิ่วหมิงที่เพิ่งเข้ามาใหม่สินะ!” ชายอ้วนเตี้ยกระแอมไอเบาๆ และเปลี่ยนหัวข้อสนทนาในทันที

“ไม่ผิด! เป็นเขานั่นเอง” เหลียงจ้านเกอตอบกลับอย่างสุภาพ

“ได้ยินมาว่าวิชาที่คนผู้นี้ฝึกฝนในก่อนหน้า ก็เป็นวิชาของศิษย์สายใน การทดสอบในแดนอบอ้าวก็ได้เผยแววโดดเด่นออกมา ดูจากวันนี้แล้วคงมีความสามารถอยู่จริงๆ” ชายอ้วนเตี้ยกล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย

เหลียงจ้านเกอได้ยินกลับยิ้มให้เล็กน้อย และไม่พูดอะไรมาก

ชายอ้วนเตี้ยเห็นเช่นนี้ก็ไม่พูดอะไรออกมาอีก

เจียงจ้งกลับเอามือฟั่นหนวด และยิ้มโดยไม่กล่าวอะไรออกมาเลย

ขณะนี้ หัวหน้าสาขาอีกหลายคนกับรองหัวหน้าสาขาต่างก็มีสีหน้าแตกต่างกันไป บ้างก็ไม่สนใจเรื่องนี้เลยแม้แต่น้อย สนใจแต่ศิษย์ของตัวเองเท่านั้น

แต่ทางด้านทารกเฮ่าเยวี่ยก็มองแท่นประลองที่เก้าทีหนึ่งด้วยแววตาที่เป็นประกาย

ชายแซ่หลูที่เป็นผู้อาวุโสดูแลยอดเขาและหญิงที่อยู่ด้านข้างกลับจดจ่ออยู่กับการต่อสู้อย่างดุเดือดบนแท่นประลองอีกแห่ง

แท่นประลองแต่ละแห่งกำลังทำการต่อสู้กันอย่างดุเดือด หลิ่วหมิงเพียงแค่นั่งขัดสมาธิอยู่ในมุมเงียบสงบบางแห่งอย่างเงียบๆ และไม่ค่อยสนใจสถานการณ์การต่อสู้อื่นๆ มากนัก

ตอนบ่าย หลิ่วหมิงก็เอาชนะผู้ฝึกฝนกระบี่ที่ในมือถือกระบี่เล็กสีเขียวได้อย่างง่ายดาย ฝ่ายตรงข้ามเพิ่งจะฝึกฝนวิชาขี่กระบี่ได้ไม่นาน ซึ่งยังไม่สำเร็จขั้นต้นด้วยซ้ำ จึงถูกหลิ่วหมิงใช้ประสบการณ์คว้าเอาช่องโหว่ และโจมตีจนพ่ายแพ้ภายในกำปั้นเดียว

ขณะที่การต่อสู้ในวันที่สองใกล้จะสิ้นสุดนั้น หลิ่วหมิงก็เห็นว่าวันนี้ตนเองไม่มีการต่อสู้อีก และเขาก็ไม่สนใจการต่อสู้ของคนอื่นๆ เลยแม้แต่น้อย จึงขี่เมฆกลับไปยังที่พักของตนเอง

การประลองในวันที่สามยังคงดำเนินต่อด้วยความตื่นเต้น

ไม่รู้จะบอกว่าหลิ่วหมิงโชคดีหรือว่าคู่ต่อสู้ใช้ความโชคดีหมดแล้วหรืออย่างไร คู่ต่อสู้รอบที่สี่ของเขาถึงเป็นแค่ชายหนุ่มร่างเตี้ยที่มีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นกลางเท่านั้น ก่อนหน้านั้นชายหนุ่มผู้นี้ไม่เคยเจอกับศิษย์ระดับของเหลวขั้นปลายเลย ซึ่งถือว่าโชคดีมาก

ผลลัพธ์คือเพียงแค่ไม่กี่อึดใจ ปราณแกร่งคุ้มร่างของชายหนุ่มร่างเตี้ย ก็ถูกหลิ่วหมิงใช้เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬโจมตีจนแตกสลาย จนเขาต้องรีบยอมแพ้ก่อน

จากการประลองอย่างเป็นลำดับขั้นตอน สถานการณ์ในเขตการประลองแต่ละแห่งก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา ขณะนี้เขตประลองที่หลิ่วหมิงอยู่ ก็มีคนเหลือแค่ยี่สิบกว่าคนแล้ว

และตามกฎการประลองในรอบแรก การประลองเพื่อคัดออกในรอบที่ห้า ก็มีการต่อสู้แค่สิบรอบเท่านั้น ส่วนอีกไม่กี่คนที่เข้ารอบโดยไม่มีคู่ต่อสู้ในก่อนหน้านั้น ก็สามารถเลือกทำการต่อสู้กับหนึ่งในสิบอันดับแรกได้ตามใจ หากเอาชนะได้ก็จะให้แทนที่ไปเลย

ขณะนี้หลิ่วหมิงกำลังยืนอยู่ตรงหน้าแผ่นศิลาที่มีการเขียนสถานการณ์การต่อสู้ติดอยู่ เขาค้นพบว่าคู่ต่อสู้ในรอบสุดท้ายเป็นชายฉกรรจ์ชุดฟ้าที่เยี่ยนหมิงเคยพูดถึง ซึ่งติดหนึ่งในสิบอันดับแรกของงานประลองใหญ่ในครั้งก่อน

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด