ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 597 เจดีย์ซวีหลิง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 597 เจดีย์ซวีหลิง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“เจ้าเด็กนี่ไม่ธรรมดา ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่เขาสืบข่าวทั้งสามคนในก่อนหน้า ได้เสียชีวิตไปหมดแล้ว ลำดับเหตุการณ์และเวลาล้วนสอดคล้องกับที่มาสืบข่าว คิดว่าเขาคงเป็นคนลงมือเอง” ผู้อาวุโสชุดดำกล่าวอย่างราบเรียบ

“ดูอย่างไรเขาก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับของเหลวขั้นปลาย คิดไม่ถึงว่าจะสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งได้ ดูเหมือนว่ายังตั้งใจใช้เคล็ดวิชาเปลี่ยนแปลงรูปโฉม ไม่ทราบว่าผู้อาวุโสเก่อสามารถดูที่มาของเขาจากเคล็ดวิชาที่ฝึกฝนได้หรือไม่?” ชายวัยกลางคนชุดขาวได้ยิน ก็กล่าวด้วยสีหน้าประหลาดใจ

“เจ้าเด็กนี้ทำการรอบคอบมาก ดูจากข้อมูลที่หอเรารวบรวมมาในก่อนหน้า จะต้องมาจากนิกายยอดบริสุทธิ์อย่างแน่นอน เจ้าให้คนจัดระเบียบข้อมูลที่เกี่ยวข้องกับเขา และบันทึกลงในคัมภีร์เฉียบแหลม เผื่อใช้ตรวจสอบในอนาคต” ผู้อาวุโสชุดดำค่อยๆ กล่าวออกมา

“รับทราบ!” ชายวัยกลางคนชุดขาวรีบตกปากรับคำทันที

……

ไม่ต้องพูดถึงหอเป๋ยโต่วที่มีคนให้ความสนใจหลิ่วหมิง แม้แต่ในนิกายยอดบริสุทธิ์เอง เรื่องที่ปีศาจขวานโลหิต หมัวเฟิงซ่างเหริน และหลวงจีนกระดูกแห้ง ถูกขีดชื่อออกไปติดต่อกัน และถูกลบออกไปจากบัญชีความเป็นความตายอย่างเงียบๆ ก็ถูกค้นพบโดยศิษย์สายนอกบางคนที่ไปที่นี่ และปล่อยข่าวนี้ออกไปอย่างรวดเร็ว

ชั่วขณะนั้น ศิษย์ในนิกายยอดบริสุทธิ์ต่างก็ฮือฮาขึ้นมา และพากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตกใจ

เพราะแม้ว่าผู้ที่มีรายชื่ออยู่ในสิบอันดับแรกของบัญชีความเป็นความตาย จะมีการฝึกฝนระดับของเหลวเช่นกัน แต่ว่าเคยสังหารศิษย์ระดับผลึกของนิกายยอดบริสุทธิ์มาก่อน มิเช่นนั้นคงไม่ถูกจัดอยู่ในอันดับที่สูงเช่นนี้

และตั้งแต่หลวงจีนกระดูกแห้งถูกบันทึกในบัญชีความเป็นความตายมาเป็นเวลากว่าสิบกว่าปี ก็เคยไม่มีใครเขย่าอันดับของเขา

แม้กระทั่งผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ในนิกายบางคนที่รู้เรื่องนี้ ก็สืบหาด้วยความสงสัยว่าเป็นศิษย์สายนอกคนใดที่ทำเรื่องนี้

แต่ว่าหอความเป็นความตายกลับปิดบังข้อมูลหลิ่วหมิงไว้เป็นอย่างแน่นหนา โดยไม่หลุดปากออกไปเลยแม้แต่น้อย ประกอบที่หลายปีมานี้ หลิ่วหมิงค่อยๆ จางหายไปจากสายตาของคนส่วนใหญ่ จึงไม่มีคนสงสัยเขา แต่กลับสงสัยกันว่าเป็นการกระทำของศิษย์สายในมากกว่า

ภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงไม่ได้สนใจข่าวลือที่เกิดขึ้นภายนอกเลยแม้แต่น้อย แต่กลับนั่งขัดสมาธิคิดไตร่ตรองเรื่องราวของตนเองอย่างเงียบๆ

ห้าปีมานี้ เขาอาศัยการทานโอสถผลึกเย็น จนยกระดับการฝึกฝนขึ้นมามาก และฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬขั้นที่สามจนใกล้จะสมบูรณ์แบบแล้ว น่าเสียดายที่ไม่อาจเข้าถ้ำวายุสรรค์ได้ จึงไม่อาจฝึกฝนจนถึงระดับสมบูรณ์แบบได้อย่างแท้จริง

ขณะเดียวกัน เขาก็ใช้พลังจิตไปกับความเชี่ยวชาญอื่นๆ ไม่น้อย วิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง ดรรชนีกระบี่ และความเชี่ยวชาญอื่นๆ ก็ถูกยกระดับไปหนึ่งขั้น

และวิชาเงาสามส่วนก็ฝึกฝนขั้นที่สองจนสำเร็จแล้ว สามารถแบ่งเงาร่างขึ้นมาได้หนึ่งเงา ที่หลิ่วหมิงสังหารหลวงจีนกระดูกแห้งในก่อนหน้า เคล็ดวิชาเงาสามส่วนก็มีความดีความชอบไม่น้อย

ตอนนี้ถึงเวลาที่เขาจะท้าทายเจดีย์ซวีหลิงแล้ว

แม้จะดูเหมือนว่าใครก็สามารถท้าทายเจดีย์ซวีหลิงได้ แต่ความจริงแล้วทุกครั้งที่เข้าไปในเจดีย์ ต้องชำระแต้มคุณูปการจำนวนมากจนน่าตกใจ เพราะทุกครั้งที่เปิดเจดีย์แห่งนี้ ต้องสูญเสียทรัพยากรไปไม่น้อย

อย่ามองแค่ว่าตอนนี้หลิ่วหมิงมีแต้มคุณูปการหลายแสนแต้ม บนตัวยังแบกรับภาระหนี้อันน่าทึ่ง ประกอบกับหลังจากเข้าเป็นศิษย์สายในแล้ว ค่าใช้จ่ายอื่นๆ และถ้ำวายุสวรรค์ก็จำเป็นต้องสูญเสียแต้มคุณูปการเป็นจำนวนมาก ที่เขามีอยู่ในตอนนี้เป็นเหมือนรายได้ที่ไม่พอกับรายจ่าย

ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่อติดสิบอันดับแรกในบัญชีความเป็นความตาย เป็นโอกาสอันดีในการเพิ่มแต้มคุณูปการให้กับเขา มิเช่นนั้นพอเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว ต่อให้จะสังหารผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านี้ ก็จะไม่ได้รับแต้มคุณูปการแม้แต่แต้มเดียว ทั้งยังกระตุ้นให้ผู้แข็งแกร่งที่แท้จริงในบรรดาผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเกิดความโมโหขึ้นมาได้

เพราะบัญชีความเป็นความตายนี้ เดิมทีก็เป็นเรื่องที่นิกายยอดบริสุทธิ์กับผู้แข็งแกร่งชั่วร้ายรู้อยู่แก่ใจโดยไม่ต้องบอกกล่าว

หากนิกายยอดบริสุทธิ์ส่งศิษย์ระดับผลึกไปล่าตัวผู้ที่มีรายชื่อในบัญชีความเป็นความตาย กลุ่มอิทธิพลของผู้ฝึกฝนชั่วร้ายเหล่านี้จะต้องตอบโต้กลับมาเช่นกัน เช่นนี้แล้ว นิกายบริสุทธิ์เองก็จะรับไม่ไหวด้วย

เพราะผู้ฝึกฝนชั่วร้ายที่มีชื่อในบัญชีความเป็นความตาย ก็เป็นแค่ผู้ฝึกฝนระดับของเหลวเท่านั้น สิ่งนี้เป็นเรื่องที่ผู้ฝึกฝนชั่วร้ายทั้งหมดไม่อาจอดกลั้นได้

และสามผู้ฝึกฝนชั่วร้ายสูงสุดของแผ่นดินจงเทียน ก็เป็นสิ่งที่สี่ยอดนิกายใหญ่ไม่อยากจะหาเรื่อง

ในเมื่อหลิ่วหมิงคิดจะไปบุกเจดีย์ซวีหลิง เวลาในหลายวันต่อจากนี้ เขาก็ต้องเข้าออกหอที่เก็บข้อมูลของนิกายอยู่บ่อยๆ เพื่อหามูลมาเตรียมการไว้

“คิดไม่ถึงว่าจะมีข้อจำกัดนี้ด้วย……” ห้องลับภายในถ้ำที่พัก หลิ่วหมิงค่อยๆ นำจิตออกจากแผ่นหยก และแสดงสีหน้าครุ่นคิด

บนแผ่นหยกระบุอย่างชัดแจ้งว่า ชั้นจำกัดพิเศษที่วางไว้ในเจดีย์ซวีหลิงนั้น ไม่อาจใช้อสูรเลี้ยงกับหุ่นใดๆ ได้

ไม่มีแมงป่องกระดูกกับหัวบิน แม้แต่หุ่นสี่ทิศก็ใช้ไม่ได้ล่ะก็ พลังของหลิ่วหมิงก็จะถูกลดลงไปครึ่งหนึ่ง

แต่เจดีย์ซวีหลิงต้องการทดสอบพลังแท้จริงของผู้ที่บุกเข้าไป ย่อมมีกฎเช่นนี้เป็นธรรมดา

“เดี๋ยวก่อน! แม้บนแผ่นหยกจะระบุอย่างชัดแจ้งว่าไม่สามารถใช้อสูรเลี้ยงกับหุ่นได้ แต่นักรบยันต์ถือว่าเป็นยันต์ชนิดหนึ่ง คงไม่นับรวมอยู่ในนั้น” เมื่อคิดถึงจุดนี้หลิ่วหมิงก็รู้สึกใจเต้นขึ้นมา

แต่ก่อนเขาใช้นักรบยันต์ต่อสู้ไม่ค่อยมาก ส่วนมากจะใช้เป็นร่างเสมือนเพื่อดึงจุดสนใจของฝ่ายตรงข้ามหรือให้ความช่วยเหลือง่ายๆ เท่านั้น ไม่ได้ใช้มันเป็นกำลังหลักในการต่อสู้ และไม่ได้สำรวจการใช้งานของมันอย่างละเอียด

หลังจากหลิ่วหมิงคิดเช่นนี้แล้ว ก็หมกหมุ่นอยู่กับการตรวจสอบคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับยันต์นักรบทันที จากนั้นถึงเข้าใจยันต์ลึกลับในมือขึ้นมาเล็กน้อย ที่แท้มันก็เป็นยันต์นักรบยันต์พลังผ้าเหลืองที่มีชื่อเสียงในสมัยบรรพกาลนั่นเอง

แม้ว่านิกายยอดบริสุทธิ์จะเก็บคัมภีร์ไว้มากมาย แต่นักรบยันต์บรรพกาลชนิดนี้กลับมีบันทึกไว้ไม่มากนัก รู้แค่ว่ายันต์ที่ตกทอดมาอย่างสมบูรณ์นั้นมีไม่มาก และยังว่ากันว่ายันต์แต่ละผืนจะมีจุดมหัศจรรย์ของมัน ซึ่งแตกต่างจากนักรบยันต์ที่แต่ละนิกายสร้างขึ้นมาในปัจจุบันนี้มาก

หลังจากหลิ่วหมิงอ่านคัมภีร์จบแล้ว ก็แสดงสีหน้าครุ่นคิดออกมา จากนั้นก็รีบออกไปจากหอเก็บคัมภีร์

เมื่อเขากลับถึงห้องลับในถ้ำที่พัก และพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งขึ้น ยันต์นักรบพลังผ้าเหลืองก็ปรากฏอยู่บนมือ จากนั้นก็เอามือแตะลงบนยันต์

พลังเวทบริสุทธิ์พุ่งเข้าไปในยันต์ จากนั้นนักรบยันต์ก็ค่อยๆ ก่อตัวขึ้นมา

ในขณะเดียวกัน พลังจิตของหลิ่วหมิงก็ถูกส่งเข้าไปในยันต์ด้วยเช่นกัน และทำการตรวจสอบความลี้ลับของมัน

……

หนึ่งเดือนต่อมา

เหนือทะเลสาบสีฟ้าขนาดหลายสิบหมู่ที่อยู่บริเวณเจดีย์ซวีหลิงของเทือกเขาหมื่นวิญญาณ พอแสงสีดำลำหนึ่งดับลง ก็เผยให้เห็นร่างของชายหนุ่มชุดเขียวที่เหยียบเมฆดำอยู่ ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ขณะนี้ เขาหรี่ตาทั้งคู่จ้องมองเจดีย์ยักษ์สีเทาสูงเสียดเมฆที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าลี้

เจดีย์นี้สูงราวๆ สี่ห้าร้อยจั้ง ตั้งอยู่บนยอดเขาเขียวชอุ่ม ตัวเจดีย์ถูกหมอกสีเทาสลัวๆ ห่อหุ้มไว้ ด้านล่างเจดีย์มีค่ายกลสีเลือดขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏอยู่รำไร คงเป็นชั้นจำกัดบางอย่าง

ด้านหนึ่งของฐานเจดีย์มีคนยืนอยู่เป็นกลุ่มๆ ดูเหมือนจะมีทั้งหมดสิบกว่าคน

หลังจากหยุดนิ่งไปครู่หนึ่งแล้ว หลิ่วหมิงก็กลายเป็นแสงสีดำพุ่งไปทางเจดีย์ซวีหลิงอีกครั้ง

ระยะทางสิบกว่าลี้สำหรับหลิ่วหมิงในตอนนี้แล้ว ใช้เวลาแค่พริบตาเดียวเท่านั้น ขณะที่เริ่มเข้าใกล้ยอดเขา แต่ละชั้นของเจดีย์ที่อยู่ตรงหน้าก็ค่อยๆ ชัดเจนขึ้นมา

เจดีย์นี้เป็นสีเทาจางๆ แต่ละชั้นต่างก็สูงสี่ห้าจั้ง ด้านนอกของเจดีย์แต่ละชั้นมีอักขระที่ก่อตัวจากลวดลายสีต่างๆ ประทับอยู่ ทั้งยังมีจำนวนไม่เท่ากันด้วย

ตั้งแต่ชั้นสามสิบหกลงมา แต่ละชั้นต่างก็มีอักขระสีเขียวสามตัว ชั้นเจ็ดสิบสองลงมาก็เป็นอักขระสีม่วงหนึ่งตัว ชั้นเจ็ดสิบสองขึ้นไปต่างก็มีอักขระสีดำขนาดใหญ่แค่ตัวเดียว

ขณะนี้ อักขระสีเขียวบนชั้นที่สามสิบสามกับชั้นที่สามสิบห้าต่างก็เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด

และค่ายกลสีเลือดที่หลิ่วหมิงมองดูในก่อนหน้า ที่แท้ก็เป็นหยกสีเลือดที่วางอยู่รอบๆ เจดีย์อย่างแน่นหนา แสงทรงกลดสีแดงเปล่งประกายอยู่บนหยก ดูเหมือนว่าแต่ละก้อนจะแฝงไปด้วยพลังบางอย่าง

พอเขาการกวาดสายตามองออกไป ถึงค้นพบว่ากลุ่มคนที่อยู่นอกเจดีย์ถูกแบ่งออกเป็นสองกลุ่ม หญิงสาวรูปร่างอ่อนช้อย ใบหน้างดงามที่อยู่ท่ามกลางหนึ่งในกลุ่มที่มีจำนวนคนมากหน่อย ก็คือหลงเหยียนเฟยนั่นเอง

ด้านหลังของนางมีศิษย์สายในหลายคนยืนอยู่ ดูเหมือนว่ากลิ่นไอจะเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว เสื้อผ้าบนตัวมีคำว่า ‘กระบี่สวรรค์’ ประทับอยู่

ศิษย์เหล่านี้มีท่าทีนอบน้อมกับหลงเหยียนเฟยมาก ดูเหมือนว่านางจะเป็นหัวหน้าด้วย

การติดต่อกับนางหลายครั้งในก่อนหน้า เขารู้เพียงแค่ว่านางฝึกฝนวิชาซ่อนเร้นบางอย่าง ทำให้เขาไม่อาจรับรู้ถึงระดับการฝึกฝนได้ ดูจากสถานการณ์ในวันนี้ นางคงมีระดับการฝึกฝนอย่างน้อยระดับผลึกแล้ว

หลิ่วหมิงเอามือลูบจมูก จากนั้นก็ร่อนลงพื้นที่ว่างด้านข้างคนเหล่านี้

นางค้นพบการเคลื่อนไหวของหลิ่วหมิงตั้งแต่แรกแล้ว หลิ่วหมิงยังไม่ทันเอ่ยปาก นางก็หันมากล่าวด้วยรอยยิ้มพราย

“ศิษย์น้องหลิ่ว ไม่เจอกันนานเลย วันนี้ได้เจอกันคงไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกนะ?”

“ที่แท้ก็เป็นศิษย์พี่หลง มิน่าข้าถึงรู้สึกคุ้นเคยตั้งแต่ไกล วันนี้ข้ามาบุกเจดีย์ซวีหลิง” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยสีหน้าสงบ

ได้ยินหลิ่วหมิงกล่าวเช่นนี้ หลงเหยียนเฟยก็เผยสีหน้าตกใจออกมา

ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ที่อยู่ด้านหลังนางก็รู้สึกตกใจเช่นกัน จากนั้นก็ฉายแววตาดูถูก ประจักษ์ชัดว่าพวกเขาคิดว่าการบุกเจดีย์ด้วยการฝึกฝนระดับของเหลวอย่างหลิ่วหมิง เป็นเรื่องที่หาเรื่องใส่ตัวเท่านั้น

“ศิษย์น้องหลิ่วน่าจะรู้ว่า ศิษย์สายนอกที่ต้องการบุกเจดีย์ซวีหลิงต้องชำระแต้มคุณูปการห้าหมื่นแต้ม นี่เป็นจำนวนที่ไม่น้อยเลย” หลงเหยียนเฟยดวงตาเป็นประกาย หลังจากเงียบไปครู่หนึ่งแล้ว ริมฝีปากสีแดงก็ค่อยๆ เอ่ยออกมา

“เรื่องนี้ข้าน้อยทราบดี แต่ได้ยินมาว่าหากผ่านชั้นที่สามสิบหกได้จะมีรางวัลให้ ซึ่งนอกจากจะคืนจำนวนแต้มคุณูปการให้แล้ว ยังมีรางวัลให้จำนวนไม่น้อยด้วย” ดูเหมือนหลิ่วหมิงจะพูดโดยไม่สนใจสายตาของศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ แต่กลับพูดออกมาอย่างราบเรียบ

ขณะที่หลิ่วหมิงพูดถึงชั้นที่สามสิบหกนั้น สีหน้าของหลงเหยียนเฟยก็ค่อยๆ เปลี่ยนไป และสีหน้าของศิษย์ที่อยู่ด้านหลังของนางก็ดูแปลกประหลาดเล็กน้อย

“ศิษย์น้องหลิ่วกล่าวได้ไม่มีผิด เมื่อผ่านชั้นสามสิบหกได้ ก็จะถูกรับเป็นศิษย์สายในโดยตรง และศิษย์สายในก็มีโอกาสหนึ่งครั้งในการบุกเจดีย์ซวีหลิงโดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ด้วยเหตุนี้แต้มคุณูปการที่ไปจ่ายไปย่อมได้คืนกลับมา นอกจากนี้เพียงแค่ผ่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก ห้าสิบสี่ เจ็ดสิบสอง เก้าสิบ และหนึ่งร้อยแปดได้ ก็จะมีรางวัลให้เป็นจำนวนมาก เพียงแต่ว่าหลายปีมานี้ ผู้ที่อาศัยการบุกเจดีย์ซวีหลิงเพื่อเป็นศิษย์สายในมีอยู่น้อยมาก” หลงเหยียนเฟยเผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ยังคงอธิบายอย่างช้าๆ

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด