ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 603 ต่อสู้กับอสูรสิงโตพยัคฆ์ (3) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ฟู่!”

ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ไม่ทันได้ป้องกัน จึงเกิดบาดแผลขนาดชุ่นกว่าๆ บนตัว ทั้งยังได้รับผลกระทบจากไอดำบริเวณนั้น ทำให้การฟื้นฟูของมันลดช้าลงมาก

อสูรยักษ์ส่ายหัวด้วยความโมโห ทันใดนั้นลูกเปลวไฟยักษ์จำนวนมากก็พุ่งใส่ปราณกระบี่

“ตู้ม!” หลังจากมีเสียงดังขึ้น ภายใต้เปลวเพลิงอันพวยพุ่ง ทำให้ไอดำบริเวณนั้นถูกม้วนหายไปจนหมดสิ้น แต่ที่นั่นกลับว่างเปล่าเป็นอย่างมาก ซึ่งหลิ่วหมิงได้ย้ายไปอยู่ตำแหน่งอื่นแล้ว

ขณะเดียวกัน เงาหัวกะโหลกที่ระเบิดตัวในตอนแรก ก็ก่อตัวขึ้นในอีกด้านหนึ่งของไอดำ

เป็นเช่นนี้อยู่หลายครั้ง แม้ว่าปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์จะใช้คมวายุ ลูกเปลวไฟ แท่งน้ำแข็ง ลูกสายฟ้า แต่ยังคงไม่สามารถโจมตีเงาร่างของหัวกะโหลกได้เลยแม้แต่น้อย และบนตัวของมันก็มีรูสิบกว่ารู

แม้ว่าการโจมตีเหล่านี้จะไม่ได้สร้างความเสียหายอันใดให้อสูรยักษ์ถึงกับเสียชีวิต แต่กลับทำให้กลิ่นไอของมันลดลงไปไม่น้อย

ขณะที่หลิ่วหมิงเคลื่อนไหวราวกับปีศาจนั้น ก็หลบแท่งน้ำแข็งจำนวนมากไปได้ จากนั้นก็คิดที่จะควบแน่นปราณกระบี่รูปเกลียวบนปลายนิ้ว

แต่ขณะนั้นเองกลับมีเสียงคำรามดังจนหูแทบหนวก ทำให้เขาต้องขมวดคิ้วขึ้นมาเล็กน้อย!

กลิ่นไอของอสูรสิงโตพยัคฆ์ที่อยู่ท่ามกลางไอดำเพิ่มขึ้นในฉับพลัน ลวดลายจิตวิญญาณสี่สีบนตัวเลื้อยขยุกขยิก พริบตาเดียว ร่างก็ขยายใหญ่เกือบครึ่งหนึ่ง ขณะเดียวกัน มีลูกแสงสามกลุ่มกระพริบผ่านตรงด้านหลังหัวและคอ จากนั้นก็กลายเป็นหัวที่ดูคล้ายพยัคฆ์สามหัว ดวงตาแต่ละลูกดูโหดเหี้ยมเป็นอย่างมาก

แต่ว่าหลังจากอสูรตัวนี้แปลงร่างแล้ว ดูเหมือนว่ามันจะมีพลังในการมองทะลุไอดำได้ มันเขม้นตามองมายังบริเวณที่หลิ่วหมิงซ่อนตัว และร่างของมันก็แผ่กลิ่นไอโหดเหี้ยมออกมา

หลิ่วหมิงรู้สึกใจเย็นสะท้าน แต่ก็ไม่ได้เสี่ยงทำการโจมตี ด้านหนึ่งถือกระบี่จ้องมองอสูรตัวนี้ไม่ขยับเขยื้อน ด้านหนึ่งก็ฟื้นฟูพลังเวทอย่างเงียบๆ

ชั้นสามสิบหกที่เคยมีเสียงดังอยู่ไม่หยุด กลับเงียบสงัดเป็นอย่างมาก

แสงแวววาวหมุนวนอยู่ในลูกตาทั้งแปด ทันใดนั้นมันก็อ้าปากพ่นลำแสงสีต่างๆ ออกมาพร้อมกันสี่ลำ บริเวณที่ลำแสงเคลื่อนตัวผ่าน เกิดเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ไม่กล้าให้มันเลยเถิดไปกว่านี้แล้ว พอร่างของเขาพร่ามัวก็กลายเป็นเงาร่างสองเงาจนสามารถหลบลำแสงทั้งสี่ไปได้ ขณะเดียวกัน พอสะบัดข้อมือ เงากระบี่แน่นขนัดก็พุ่งยิงออกไป

อสูรสิงโตพยัคฆ์เพียงแค่สะบัดตัว ม่านแสงสีเขียวก็ปรากฏขึ้นมา พอเงากระบี่โจมตีลงบนนั้น ก็ต้องกระเด็นกลับไปด้วยเสียงอันดัง

หลิ่วหมิงทำเสียงฮึดฮัด ขณะที่กำลังจะโยนยันต์ในมือออกไปนั้น พลันมีเสียงดังสะเทือนเลือนลั่น

ลำแสงทั้งสี่ที่เขาหลบไปได้กลับรวมตัวกันด้านหลังของเขา และแทงทะลุออกจากไอดำจนเกิดเป็นทางเดินสายหนึ่ง

ลำตัวของสิงโตพยัคฆ์เปล่งประกายแสงสีเขียวด้วยความดีใจ จากนั้นก็กลายเป็นเงาร่างสีเขียวพุ่งยิงออกไป

หลิ่วหมิงกลับมีสีหน้าเคร่งขรึมในทันที เขากระตุ้นเคล็ดวิชาโดยไม่ต้องคิด จุดแสงสีทองปรากฏบนทางเดิน หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว ก็กลายเป็นกำแพงทรายทองคำปิดกั้นทางเดินนี้ไว้

อสูรสิงโตพยัคฆ์ไม่ทันได้ป้องกันจึงชนเข้าอย่างจัง แม้ว่ากำแพงจะถูกชนจนแตกกระจาย แต่ตัวมันเองก็ต้องหยุดชะงักลง

ขณะนั้นเอง มีเสียงร่ำไห้ท่ามกลางไอดำบนทางเดินทั้งสองด้าน เงาหัวกะโหลกพุ่งยิงออกไปพร้อมกัน พริบตาเดียวก็กัดขาทั้งสี่และจุดสำคัญของอสูรยักษ์ไว้ และดูดเอาพลังในร่างของมันอย่างบ้าคลั่ง

พอปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ส่งเสียงคำรามออกมา เปลวเพลิงร้อนแรงกับสายฟ้าสีทองก็พวยพุ่งอยู่บนตัว

เงาหัวกะโหลกทั้งเก้าถูกเผาจนเกิดเสียงดัง “ฟู่ๆ!” ขณะเดียวกันมันก็แตกกระจุยท่ามกลางสายฟ้าที่พัวพัน

แต่ในระหว่างเวลานี้ ทางเดินที่ถูกเปิดในก่อนหน้านั้นก็มีไอดำพวยพุ่ง จากนั้นก็ถูกปิดสนิทดังเดิม

โล่เก้ากะโหลกที่กลายเป็นต้นแบบอาวุธเวทแล้ว ความมหัศจรรย์ของมันไม่ใช่สิ่งที่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดโดยทั่วไปจะสามารถเปรียบเทียบได้

ขณะนั้นเอง เกิดเสียงแหลมดังขึ้นมา แสงกระบี่สีเทาที่ยาวสิบกว่าจั้งเปล่งประกาย จากนั้นก็พุ่งไปรัดพันอสูรยักษ์ไว้ ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ใช้วิชาที่สิ้นเปลืองพลังเวทมากที่สุดอย่างวิชากระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!

พออสูรสิงโตพยัคฆ์เห็นทางออกถูกปิดไว้หมดแล้ว ดวงตาทั้งแปดก็แดงก่ำขึ้นมา หัวทั้งสี่คำรามออกมาพร้อมกัน ลวดลายจิตวิญญาณบนร่างพร่ามัวกลายเป็นค่ายกลแสงอันงดงาม ขณะเดียวกัน หัวเล็กๆ ทั้งสามที่อยู่บริเวณคอก็ขยายใหญ่จนมีขนาดพอๆ กับหัวเดิมของมันแล้ว กลิ่นไอที่แข็งแกร่งกว่าเดิมแผ่ออกจากลำตัวขนาดใหญ่ของมัน

……

ภายในถ้ำเร้นลับแห่งหนึ่งในเทือกเขาหมื่นวิญญาณที่อยู่ห่างจากเจดีย์ซวีหลิงไปหลายร้อยลี้ มีผู้อาวุโสผมสีดอกเลาสวมชุดคลุมสีเทากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่

ทันใดนั้น ผู้อาวุโสก็ค่อยๆ ขมวดคิ้ว และลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา เขาพลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบแผ่นค่ายกลสีทองขนาดชุ่นกว่าๆ ออกมา มีภาพเหตุการณ์ภายในเจดีย์ซวีหลิงเกิดขึ้นในนั้นอยู่รำไร หลังจากพร่ามัวอีกครั้ง ภาพของปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ก็ปรากฏออกมา

ผู้อาวุโสกวาดสายตาดูอสูรยักษ์ที่ถูกแสงกระบี่สีเทาก่อกวนแค่ทีเดียว ก็เก็บแผ่นค่ายกลเข้าไปอย่างเงียบๆ จากนั้นก็นั่งเข้าฌานต่อ

……

บนยอดเขาแห่งหนึ่งที่อยู่ห่างจากเจดีย์ซวีหลิงไปไม่ไกล ชายหนุ่มชุดคลุมสีทองจ้องมองเจดีย์ซวีหลิงชั้นที่สามสิบหกด้วยสีหน้าครุ่นคิด

เขาก็คือจินเทียนชื่อนั่นเอง

“น่าสนใจแล้ว นานแล้วที่ไม่มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้ ดูท่าสายตาของข้าก็นับว่าไม่เลว”

จินเทียนชื่อหัวเราะเบาๆ และพูดพึมพำกับตัวเองสองสามประโยค จากนั้นก็กลายเป็นแสงสีทองพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้าม

หนึ่งชั่วยามต่อมา

ณ มุมหนึ่งในห้องโถงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหก ไอดำที่เคยพวยพุ่งได้หายไปจนหมดสิ้น โล่เก้ากะโหลกก็ได้หายไปอย่างไร้ร่องรอยแล้ว และพื้นบริเวณนั้นก็เต็มไปด้วยรอยกรงเล็บและรอยกระบี่จำนวนมาก

หลิ่วหมิงที่ถือกระบี่เล็กสีเทากำลังยืนหอบหายใจด้วยสีหน้าซีดขาว แม้ว่ารอบตัวจะยังมีแสงสีทองเปล่งประกายไม่หยุด แต่กลับดูมืดลงเป็นอย่างมาก บริเวณหน้าอกก็มีรอยกรงเล็บอยู่สามรอย ผิวหนังและเนื้อแตกเป็นรอยจนมองเห็นกระดูกขาวอยู่รำไร แต่กลับไม่มีโลหิตไหลออกมาเลยแม้แต่น้อย

ห่างจากตรงหน้าไปไม่ไกล ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์ที่สูงหลายจั้ง ก็มีสภาพกระเซอะกระเซิงไม่น้อย

หัวเล็กๆ สามหัวที่เคยปรากฏออกมาได้หายไปแล้ว เหลือไว้เพียงหัวเดิมของมันเท่านั้น ขาหลังข้างหนึ่งมีเลือดซึมออกมา บนนั้นมีบาดแผลขนาดใหญ่ ดูเหมือนว่าขาข้างนี้จะถูกกรีดเป็นรอยทั้งหมด ค่ายกลแสงอันงดงามที่ปกคลุมรอบตัว ก็เปล่งประกายติดๆ ดับๆ ราวกับว่าสามารถพังทลายได้ตลอดเวลา

แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม อสูรยักษ์ยังคงใช้ขาที่ได้รับบาดเจ็บค้ำยันตัวไว้ ดวงตาทั้งคู่จ้องมองหลิ่วหมิงไม่หยุด และแผ่กลิ่นไอกระหายเลือดอันดุร้ายออกมาอยู่รำไร

“ดูท่าเจ้ากับข้าคงจะมีพลังในโจมตีครั้งสุดท้ายแล้ว ดีมาก! ศึกนี้ก็ควรตัดสินแพ้ชนะได้แล้ว” หลังจากหลิ่วหมิงหายใจเป็นปกติแล้ว ก็กล่าวด้วยน้ำเสียงที่สงบเป็นอย่างมาก

พอสะบัดแขนเสื้อ ทรายทองคำร่วงที่อยู่รอบตัว ก็พุ่งยิงออกไปราวกับสายฝนกระหน่ำ หลังจากมีเสียงตะคอกดังออกมา ไอดำบนตัวก็พวยพุ่งอีกครั้ง กระบี่เล็กในมือสั่นสะท้านในทันที จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นแสงกระบี่สีเทาพุ่งใส่ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์

ปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์คำรามอย่างโหดเหี้ยม ค่ายกลแสงรอบตัวควบแน่นในทันที พอเท้าหลังกระทืบลงพื้น พายุบ้าระห่ำจำนวนมากก็พุ่งออกไป

แสงสีทองที่โจมตีลงบนตัวอสูร ถูกค่ายกลแสงดีดกระเด็นออกไป

อสูรยักษ์ที่อยู่บนอากาศคว้ากรงเล็บข้างหนึ่งออกไปอย่างโหดเหี้ยม หลังจากเกิดเสียงดัง “ตู้ม!” แสงกระบี่สีเทาก็ถูกโจมตีจนแตกกระจาย แต่แสงบนตัวมันก็ดับลง และพุ่งออกไปด้านหลัง

ขณะนั้นเอง มีคลื่นสั่นสะเทือนท่ามกลางทรายทองคำร่วงที่กระเด็นออกไปรอบด้าน นักรบยันต์เกราะทองคำตัวหนึ่งปรากฏออกมา พอมันยกแขนทั้งสองขึ้น ก็กอดหัวของอสูรยักษ์ที่ไม่ทันระวังตัวไว้แน่น

“ฟู่!” ภายใต้การเคลื่อนไหวของเงาร่างสีเขียว หลิ่วหมิงก็มาปรากฏตัวตรงหน้าอสูรยักษ์อย่างรวดเร็วราวกับปีศาจ พอยกแขนทั้งสองโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง มันก็ขยายใหญ่เท่าตัวท่ามกลางไอดำอันพวยพุ่ง ขณะเดียวกัน เกล็ดสีแดงหลายชั้นก็ปรากฏออกมา จากนั้นเงากำปั้นจำนวนนับไม่ถ้วน ก็โจมตีใส่หัวอสูรยักษ์ภายในอึดใจเดียว

เกิดเสียงดังราวกับสายฝนกระหน่ำดังติดต่อกันอยู่ครู่หนึ่ง พอมีเสียงดัง “โพล๊ะ!” หัวขนาดใหญ่ก็ถูกโจมตีจนระเบิด ส่วนร่างขนาดใหญ่ก็กลายเป็นจุดแสงก่อนสลายไป

“ฟู่!”

หลิ่วหมิงเองก็สูญสิ้นพลังเวทจนหมดสิ้น พอนั่งลงพื้นแล้วก็ไม่คิดจะลุกขึ้นมาอีกเลย

ภายใต้สถานการณ์ที่ไม่มีพลังเวทคอยกระตุ้น ยันต์นักรบเกราะทองคำก็แตกกระจายออกมา และกลายเป็นยันต์เก่าๆ ก่อนร่วงลงมา

หลิ่วหมิงหายใจเข้าลึกๆ สองสามที จากนั้นก็หยิบโอสถจินหยวนออกจากแหวนย่อส่วนด้วยท่าทีอ่อนแรง ขณะเดียวกันก็นำยันต์สองสามผืนมาแปะไว้บนบาดแผล สุดท้ายก็ค่อยๆ หลับตาทั้งคู่เพื่อเข้าฌาน

…….

ขณะที่หลิ่วหมิงโจมตีปีศาจอสูรสิงโตพยัคฆ์สำเร็จนั้น อักขระสีเขียวนอกเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกก็ดับมืดลง

ขณะเดียวกัน ไอหมอกสีเทาบนเจดีย์ซวีหลิงก็พวยพุ่งอย่างรุนแรง มีเสียงระฆังดังขึ้นทั่วเจดีย์ และค่อยๆ แผ่ขยายไปทั่วเทือกเขาหมื่นวิญญาณ

“คนผู้นี้…… คิดไม่ถึงว่าจะฝ่าด่านเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกได้จริงๆ”

ด้านนอกเจดีย์ซวีหลิง ศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นต่างก็จ้องมองด้วยความตกตะลึงจนปากอ้าตาค้าง

อักขระสีเขียวบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบหกดับลงโดยสมบูรณ์ แม้ว่าอักขระสีม่วงบนเจดีย์ชั้นที่สามสิบเจ็ดจะยังไม่สว่างขึ้นมา และคนที่อยู่ในนั้นก็ไม่ได้ถูกส่งตัวออกมา แต่ผลลัพธ์ก็ปรากฏอย่างชัดเจนแล้ว

ซาทงเทียนมีสีหน้าดูไม่ได้เป็นอย่างมาก เดิมทีเขาคิดว่าเมื่อเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว พลังแท้จริงจะต้องเหนือกว่าคู่ต่อสู้ไม่น้อย แต่วันนี้ดูท่ายังห่างชั้นอีกมาก

ดวงตางดงามของเจียหลานก็เป็นประกายแวววาว มุมปากนางยกขึ้นเล็กน้อย เผยให้เห็นรอยยิ้มจางๆ แต่ทั้งหมดนี้ก็หายไปอย่างรวดเร็ว

“คิดไม่ถึงว่าไม่เจอกันหลายปี พลังแท้จริงของศิษย์น้องหลิ่วจะมาถึงระดับนี้ได้……” หลังจากสีหน้าหลงเหยียนเฟยเปลี่ยนไปมาอยู่หลายครั้ง นางก็ยิ้มมุมปากเบาๆ แต่ดวงตาทั้งคู่กลับเต็มไปด้วยความประหลาดใจ

หลังจากศิษย์สายในคนอื่นๆ หายจากอาการประหลาดใจแล้ว ก็พากันวิพากษ์วิจารณ์ด้วยความตื่นเต้น บ้างก็นำอาวุธที่ใช้ส่งสารออกมา และแจ้งเรื่องที่มีศิษย์สายนอกฝ่าด่านชั้นที่สามสิบหกของเจดีย์ซวีหลิงได้ให้กับสหายต่างๆ

“เอาล่ะ! เรื่องราวที่นี่ก็ได้จบลงแล้ว พวกเราไปกันเถอะ!” หลงเหยียนเฟยกวาดสายตาดูศิษย์คนอื่นๆ ทีหนึ่ง และขมวดคิ้วกล่าวออกมา จากนั้นก็ปล่อยแสงกระบี่ออกมาค้ำร่างอรชรของนางไว้ และพุ่งออกไปโดยไม่หันหน้ากลับมาอีก

ศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ที่เหลือเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยแสงกระบี่ออกมาและตามนางไป

ซาทงเทียนหันมามองเจียหลานที่ยังยืนอยู่ที่เดิมทีหนึ่ง หลังจากดวงตาของเขาเผยแววซับซ้อนออกมาแล้ว ก็ค่อยๆ ปล่อยกระบี่บินออกมา จากนั้นก็กลายเป็นแสงหลบหลีกสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้า

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด