ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 64 ศพกระดูก

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 64 ศพกระดูก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 64 ศพกระดูก

จากนั้นเงาร่างสีขาวก็กระโดดพรวดออกไปจากตัวของปีศาจตนนี้

เงาร่างสีขาวนี้ก็คือแมงป่องกระดูกขาวตนนั้นนั่นเอง

เสียงดัง “ฟู่!”

ลูกเปลวไฟสีแดงลูกหนึ่งหล่นลงจากบนอากาศ พริบตาเดียวศพของปีศาจก็ตกอยู่ในเปลวไฟอันคุโชน

หลิ่วหมิงอยู่บนเมฆเทาที่สูงสามสิบกว่าจั้ง ถือห่อหนังสัตว์ขนาดไม่ใหญ่มากอยู่ห่อหนึ่งมองลงไปด้านล่างด้วยสีหน้าที่ไร้ความปรานี

ลูกเปลวไฟที่เขาเพิ่งพุ่งยิงออกไปเมื่อครู่นั้น เขาตั้งใจใส่พลังไปกว่าครึ่งหนึ่ง ด้วยเหตุนี้หลังจากเปลวไฟด้านล่างมอดดับไปแล้วบนพื้นทรายยังคงเหลือโครงกระดูกแวววาวหลายชิ้น

แมงป่องกระดูกขาวเคลื่อนไหวอีกครั้ง แล้วกระโจนเข้ามาอย่างรวดเร็ว จับกระดูกในนั้นขึ้นมากัดแทะท่อนหนึ่ง

ตอนนี้หลิ่วมิงถึงค่อยๆ เหาะลงมา แล้วเปิดห่อหนังสัตว์หยิบกระดูกทั้งหมดใส่ลงไปในนั้น

ตอนนี้ในห่อหนังสัตว์ดูเหมือนจะมีกระดูกทั้งหมดไม่เกินสิบกว่าชิ้น

หลิ่วหมิงมองกระดูกปีศาจเหล่านี้ครู่หนึ่งก็ถอนหายใจออกมาเบาๆ

เกินออกมาจากอาณาเขตครอบครองของแมงป่องกระดูกขาวแล้วทะเลทรายแห่งนี้มีปีศาจระดับต่ำจำนวนไม่น้อย ตัวนี้เป็นตัวที่สามที่เขาได้สังหารไป และด้วยเหตุนี้ถึงได้โครงกระดูกมาน้อยขนาดนี้ เพราะเขาเพิ่งค้นพบภายหลังว่าไม่ใช่ว่ากระดูกสัตว์ทั้งหมดจะทำให้พลังของแมงป่องกระดูกขาวเพิ่มมากขึ้นได้ แต่ต้องเป็นกระดูกปีศาจที่แข็งแกร่ง และดูเหมือนจะแฝงไปด้วยแก่นพลังยอดเยี่ยม

และในปีศาจระดับต่ำตนหนึ่งจะมีกระดูกชนิดนี้แค่สามสี่ชิ้น

ด้วยเหตุนี้ จึงทำให้หลิ่วหมิงแอบร้องทุกข์อยู่ในใจไม่หยุด

ถ้าหากว่าใช้ความเร็วระดับนี้รวบรวมกระดูกปีศาจล่ะก็เวลาที่เหลืออยู่คงไม่พอใช้ สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกกังวลขึ้นมา

พอเขารอจนแมงป่องกระดูกขาวกลืนกินกระดูกในปากลงไปแล้ว ก็ยกห่อหนังสัตว์เตรียมพร้อมที่จะทะยานขึ้นฟ้าไปหาปีศาจตนอื่นอีกครั้ง

แต่ในขณะนั้นเอง เขาพลันได้ยินเสียงดังสะเทือนจากท้องฟ้าที่อยู่ไกลออกไป เมฆสีดำกับสีเทาสองก้อนเหาะพุ่งมาจากที่ไกลๆ

หลิ่วหมิงตกตะลึง รีบเพ่งมองออกไป

เมฆเทาก้อนที่นำหน้ามีเงาร่างอรชรยืนอยู่ เมฆดำก้อนหลังกลับมีกลิ่นอายสังหารโหดเหี้ยมออกมา และส่งเสียงคำรามต่ำอยู่ตลอด

เห็นได้ชัดว่าเมฆเทาก้อนหน้าไม่ได้เร็วกว่าเมฆดำก้อนหลัง แต่ทุกครั้งที่เมฆดำคิดที่จะตามมาประชิดเงาร่างอรชรก็ปล่อยเส้นสีแดงแสบตาเส้นหนึ่งพุ่งออกไป ทำให้เมฆดำก้อนหลังจำเป็นต้องหลบหลีก ดูเหมือนมันจะหวาดกลัวกับเส้นสีแดงมาก

ผู้หนึ่งไล่ตาม ผู้หนึ่งหนี พริบตาเดียวก็ถึงด้านบนของบริเวณทะเลทรายดำ

“เอ๋! นางนั่นเอง”

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งสอง ในที่สุดก็มองเห็นใบหน้างดงามของเงาร่างอรชรบนเมฆเทา นางคือเจียหลานนั่นเอง เขารู้สึกตะลึงขึ้นมาอย่างอดไม่ได้

นางถูกไล่ล่าจนมุมขนาดนี้ได้ เห็นได้ชัดว่าปีศาจด้านหลังอย่างน้อยก็มีพลังระดับขุนพล หรือจะกล่าวได้ว่ามีแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นปลายเท่านั้นถึงจะพอต้านทานมันได้บ้าง

หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย ช่วงเวลานั้นไม่รู้ว่าตนเองควรจะยื่นมือเจ้าไปช่วยหรือไม่

และในขณะนั้นเอง พลันเหตุการณ์บนท้องฟ้าได้เปลี่ยนแปลงไป

เมฆดำหลบเส้นแดงของเจียหลานที่พุ่งมาได้ แล้วก็พุ่งหอกกระดูกสีดำขนาดยาวจั้งกว่าๆ ออกมาเช่นกัน หลังจากมันกะพริบก็พุ่งไปอยู่ห่างจากด้านหลังของเมฆเทาหลายจั้งอย่างรวดเร็ว

ดูเหมือนเจียหลานจะได้ป้องกันตัวไว้ก่อนแล้ว นางทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่ง เมฆเทาเปลี่ยนทิศทางในทันทีแล้วเหาะออกไปด้านข้างประมาณจั้งกว่าๆ และหลบหอกกระดูกด้านหลังได้พอดี

และในขณะนั้นเอง เมฆดำด้านหลังก็ส่งเสียงคำรามของปีศาจออกมาทันที หอกกระดูกด้ามหนึ่งลางเลือนแล้วกลายเป็นเงาหอกดำสองเส้น

เงานี้หักเลี้ยวกลับมา แล้วทะลุผ่านไปบนไหล่ของเจียหลานด้วยความรวดเร็ว

หลังจากมีเสียงดังขึ้น ไหล่ของนางก็ปรากฏบาดแผลขึ้นมาหนึ่งรู และดูเหมือนจะทำให้เขาลืมควบคุมพลังเวทจนเมฆดำใต้ร่างของนางสลายไปแล้วนางก็ตกลงมาจากบนนั้น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ไม่สนใจอะไรอีกแล้ว เขายกมือข้างหนึ่งขึ้น โซ่สีดำยาวๆ เส้นหนึ่งดีดตัวออกไปพันร่างดรุณีน้อยที่อยู่สูงจากพื้นไม่ถึงเจ็ดแปดจั้งไว้ ก่อนที่จะกระตุกแขนเสื้อดึงนางมาตรงหน้าของตนเอง

“เจ้านี่เอง!”

สีหน้างดงามของดรุณีน้อยดูขาวซีดผิดปกติ แต่พอเห็นชัดว่าเป็นหลิ่วหมิงก็พูดออกมาเบาๆ

“คือข้าน้อยเอง ศิษย์พี่เจียหลาน ท่านไม่เป็นไรนะ” หลิ่วหมิงฝืนยิ้มแล้วกล่าวออกมา

“ข้าไม่เป็นไร เมื่อครู่ข้าแค่สูญเสียการควบคุมพลังเวทตอนนี้ไม่เป็นไรแล้ว” สีหน้าประหลาดใจบนใบหน้างดงามของดรุณีน้อยหายไปอย่างรวดเร็ว และหยิบยันต์สีเขียวอ่อนผืนหนึ่งออกมาจากตัวแล้วแปะลงไปยังรูเลือดตรงหัวไหล่ทันที

เสียงดัง “ฟู่!” แสงสีเขียวอบอุ่นลอยขึ้นมา เลือดบนไหล่ที่ไหลอยู่หยุดไหลในทันทีทั้งยังค่อยๆ สมานเข้าหากัน

และในขณะนั้นเอง เสียงคำรามที่เต็มไปด้วยกลิ่นอายพิฆาตก็ดังมาจากบนท้องฟ้า เมฆก้อนนั้นเปลี่ยนทิศทางแลัวพุ่งมาทางหลิ่วหมิงทันที

“ศิษย์น้องไป๋ ข้ายังต้องการเวลาอีกสักหน่อยหอกกระดูกของศพกระดูกระดับขุนพลนี้มีพิษอยู่ ข้าจำเป็นต้องขับมันทั้งหมดออกไปในทีเดียวถึงจะลงมือได้” เจียหลานเห็นดังนี้ก็กล่าวด้วยตาที่เป็นประกาย มีความกังวลจางๆ ออกมาบนใบหน้า

“ศพกระดูก คือปีศาจอัจฉริยะที่เปลี่ยนแปลงมาจากศพของผู้ฝึกฝน! เอาล่ะ ข้ารู้แล้วว่าจะทำอย่างไร” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงแต่ก็เลิกคิ้วพยักหน้าทันที

เขามีปีศาจระดับขุนพลอย่างแมงป่องกระดูกขาวอยู่ข้างกาย เมื่อเผชิญหน้ากับปีศาจระดับเดียวกันเขากลับไม่ค่อยรู้สึกหวาดกลัวนัก

และในตอนนี้แมงป่องกระดูกขาวได้มุดตัวลงไปใต้พื้นทรายนานแล้ว เจียหลานรีบร้อนจนไม่ทันได้ค้นพบว่าแถวนี้ยังมีปีศาจอยู่อีกตน

แต่ว่าแมงป่องตนนี้ยังไม่สามารถเหาะได้ ต้องทำให้ปีศาจบนเมฆดำนั้นตกลงมาก่อนจึงจะรับมือกับมันได้

ด้วยเหตุนี้ตอนที่หลิ่วหมิงเผชิญหน้ากับการโจมตีของเมฆดำ นอกจากจะเอามือตบลงตรงอกปล่อยโล่แสงสีดำออกมาบังอยู่ด้านหน้าแล้วก็ไม่ได้โจมตกลับไปแม้แต่น้อย

ปีศาจบนเมฆดำย่อมไม่ปราณีใคร มันอาศัยการเหาะที่รวดเร็วพุ่งลงมา เสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” หอกกระดูกสีดำอันหนึ่งพุ่งยิงลงมา

แต่เป้าหมายในครั้งนี้เปลี่ยนเป็นหลิ่วหมิงที่ยืนกำบังอยู่ด้านหน้าของดรุณีน้อย

เมื่อเห็นเช่นนี้หลิ่วหมิงก็หรี่ตาทั้งสอง จากนั้นร่ายคาถาแล้วยกมือข้างหนึ่งปล่อยลูกเปลวไฟพุ่งไปใส่หอกกระดูกทันที

เสียงดัง “ฟู่!”

ลูกเปลวไฟเจาะทะลุหอกกระดูกไป ที่แท้มันก็เป็นแค่เงาหอกเท่านั้น

แต่ครู่ต่อมา หลิ่วหมิงรู้สึกถึงการเคลื่อนไหวด้านหน้า หอกกระดูกสีดำอีกท่อนปรากฏตรงหน้าเขาโดยไม่คิดจะหลบหลีกเลยแม้แต่น้อย และแทงเข้าไปอย่างโหดเหี้ยม

สีหน้าเขาเปลี่ยน และแตะมือข้างหนึ่งลงบนโล่แสงด้านหน้าโดยไม่ต้องคิด โล่แสงนี้ก็ขยายขนาดจนคลุมตัวทั้งหมดของเขาไว้

เสียงดัง “ตู้ม!”

หอกกระดูกแตกละเอียดกระจายไปทั่วทิศ แต่โล่แสงที่เพิ่งขยายใหญ่เมื่อครู่ก็แตกออกมาเช่นกัน ในขณะเดียวกันพลังมหาศาลก็พุ่งมาหาหลิ่วหมิง

หลังจากมีเสียงดังขึ้น ร่างของหลิ่วหมิงถอยไปครึ่งก้าวอย่างช่วยไม่ได้ แต่ครู่เดียวก็กลับมายืนได้อย่างมั่นคง

ดูเหมือนปีศาจในเมฆดำจะคาดไม่ถึงกับฉากเช่นนี้ พอมันคำรามเสียงออกมาแล้วก็หยุดการพุ่งไปด้านหน้า และหมุนวนตกไปยังเนินทรายสีดำที่ห่างออกไปสามสิบกว่าจั้ง

ขณะนี้เมฆดำได้สลายไป โฉมหน้าของปีศาจในเมฆดำได้โผล่ออกมา

มันคือโครงกระดูกคนขนาดยักษ์ที่สูงสองจั้ง แต่ร่างทุกส่วนของมันเต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมสีดำสั้นยาวแตกต่างกัน ในขณะเดียวกันมือทั้งสองต่างก็ถือหอกกระดูกยาวจั้งกว่าๆ ข้างละอัน เปลวไฟสีแดงในเบ้าตาทั้งสองคุโชนอยู่ไม่หยุด ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกแปลกประหลาดเป็นอย่างมาก

นี่ก็เป็นครั้งแรกที่หลิ่วหมิงเห็นปีศาจศพกระดูกชนิดนี้ เขาพินิจดูตัวมันอยู่ไม่หยุด

ครู่ต่อมา ศพกระดูกสาวเท้ายาวๆ พุ่งเข้ามาทางด้านหลิ่วหมิงทันที ทุกย่างก้าวของมันทิ้งรอยลึกเท้าครึ่งฉื่อไว้ เห็นชัดว่าร่างของมันหนักมาก

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ดวงตาก็เป็นประกายเล็กน้อย เขาชายตามองดูเจียหลานที่อยู่ข้างหลังครู่หนึ่ง

รูดเลือดบนไหล่ของดรุณีน้อยใบหน้างดงามในตอนนี้มีขนาดเล็กลงหนึ่งในสามส่วนเท่านั้น ดูท่าจะต้องถ่วงเวลาให้นางอีกสักหน่อย

หลิ่วหมิงคิดแบบนี้ในใจแล้ว ก็ไม่พูดพร่ำทำเพลงอีก เขาร่ายคาถาออกมา หลังจากที่มื่อทั้งสองยกขึ้นลูกเปลวไฟสองลูกพุ่งไปหาศพกระดูกต่อๆ กัน

เสียงดัง “ตู้ม!” “ตู้ม!”

ร่างส่วนบนของปีศาจกระดูกเพียงแค่ เคลื่อนไหวเล็กน้อย ลูกเปลวไฟสองลูกก็ถูกมันปัดไประเบิดยังพื้นทรายด้านหลังอย่างง่ายดาย

ขณะนี้มันแหงนหน้าส่งเสียงคำรามราวกับร้องไห้สะอึกสะอื้น แล้วออกแรงที่เท้าทั้งสองจนระเบิดพลังอันน่ากลัวพุ่งออกมา

มันรวดเร็วเป็นอย่างมาก แค่เห็นร่างของมันเพียงลางๆ มันก็พุ่งเข้ามาในระยะยี่สิบจั้งแล้ว

ด้วยระดับความเร็วของมันในตอนนี้ทำให้หลิ่วหมิงตกใจเป็นอย่างมาก เขารีบร่ายคาถาขึ้นมาแล้วกระตุกแขนเสื้อ โซ่ตรวนวิญญาณพุ่งไปหาฝ่ายตรงข้ามราวกับอสรพิษอย่างรวดเร็ว มืออีกข้างก็ยกขึ้นปล่อยคมวายุพุ่งยิงติดต่อกันออกไปสามเส้น

ทั้งๆ ที่ทั้งสองสิ่งพุ่งโจมตีออกไปพร้อมกัน แต่คมวายุกลับถึงก่อน ดูเหมือนแสงสีเขียวแค่กะพริบก็พุ่งไปถึงตรงหน้าศพกระดูกแล้ว

ปีศาจตนนี้คิดไม่ถึงว่าการโจมตีของคมวายุจะรวดเร็วถึงเพียงนี้ หลังจากที่เปลวไฟในเบ้าตามันคุโชน ทำได้เพียงแค่ใช้หอกกระดูกสีดำทั้งสองบังตัวอย่างฉุกละหุก

เสียงดัง “เพล้ง!” “เพล้ง!” คมวายุสองเส้นถูกหอกกระดูกทั้งสองปะทะลอยออกไป คมวายุเส้นที่สามอาศัยจังหวะนี้ฟันเข้าไปบนหอกกระดูก

เสียงดังสนั่นขึ้น

หอกกระดูกทั้งสองถูกตัดออกเป็นสองท่อนทันที และคมวายุเองก็สลายหายไป

ศพกระดูกที่วิ่งอยู่พลันหยุดชะงักลง ดูเหมือนจะก้มมองร่างของตนเองด้วยความตกใจ

ตอนนี้โซ่ตรวนวิญญาณเพิ่งมาถึงตัวของมัน แล้วพันรอบๆ ตัวมันไว้

เสียงระเบิดสองเสียงดังขึ้น

หอกสีดำสองอันในมือศพกระดูกแทงออกไปราวสายฟ้าแลบ มันปักปลายเชือกทั้งสองลงไปบนพื้นทรายอย่างหนาแน่น

ปีศาจตนนี้เงยหน้ามองหลิ่วหมิงครู่หนึ่งแล้วทิ้งหอกกระดูกทั้งสองลง มือเท้าทั้งสี่ก็หดตัวลงในฉับพลัน จากนั้นม้วนหดตัวลงไปจนกลายเป็นกระดูกกลมๆ ขนาดใหญ่ลูกหนึ่ง พื้นผิวของมันเต็มไปด้วยกระดูกแหลมคมเป็นพิเศษ และหลังจากที่มันกระโดดตัวขึ้นมาโดยฉับพลันก็กลายเป็นพายุสลาตันพุ่งเข้ามาหาหลิ่วหมิง

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด