ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 649 ยอดเขากระบี่สวรรค์

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 649 ยอดเขากระบี่สวรรค์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลังจากผ่านไปนานสองนาน จิตรับรู้ของหลิ่วหมิงถึงค่อยๆ ถอนตัวออกจากแผ่นหยก แต่ปากของเขากลับเริ่มท่องคาถาเบาๆ ขณะเดียวกันก็กางฝ่ามือออกมา นิ้วทั้งห้าต่างก็มีลูกควันสีดำกลมๆ ปรากฏออกมา จากนั้นปากของเขาก็เริ่มขยับอย่างต่อเนื่อง

เมื่อลูกควันสีดำขยายใหญ่เท่าไข่ไก่ นิ้วของเขาก็นำลูกควันทั้งห้าไปแตะลงบนหน้าผากของศพแห้ง

ขณะเดียวกัน แสงสีเหลืองจางๆ ก็ปรากฏบนพื้นผิวศพแห้งเหี่ยว และต้านทานการเจาะเข้าไปในลูกควันสีดำ

พอหลิ่วหมิงเห็นฉากเช่นนี้ ก็ไม่รู้สึกตกใจแต่อย่างใด แต่กลับดีใจเสียด้วยซ้ำ พอเขาเร่งร่ายคาถา ลูกควันสีดำก็ค่อยๆ เจาะทะลุม่านแสงสีเหลืองไป

ชั่วเวลาหนึ่งก้านธูปผ่านไป ลูกควันสีดำทั้งหมดก็จมเข้าไปในศพแห้งเหี่ยว

หลิ่วหมิงถอนหายใจออกมาเบาๆ ริมฝีปากเผยรอยยิ้มออกมาเล็กน้อย

เคล็ดวิชาฝึกศพที่อาจารย์อาเยี่ยนมอบให้ ที่แท้ก็มีช่องทางอยู่บ้าง จิตรับรู้ส่วนหนึ่งของเขาซ่อนอยู่ในลูกควัน และแทรกซึมเข้าไปในศพแห้งอย่างเงียบๆ

แต่พอเขานำจิตออกจากลูกควัน และมองดูศพนั้น ก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก

ศพแห้งนี้ดูคล้ายกระดูกหุ้มหนัง แต่มันมีความหนาแน่นอย่างเหลือเชื่อ

เดิมทีหลิ่วหมิงก็เป็นผู้ฝึกร่างครึ่งหนึ่ง กายเนื้อจึงแข็งแกร่งและทรหด กระดูกในร่างก็หนาแน่นมาก ซึ่งไม่ใช่สิ่งที่ผู้ฝึกฝนระดับเดียวกันจะสามารถเทียบได้ แต่เมื่อเทียบกับศพแห้งนี้แล้วกลับแตกต่างกันราวฟ้ากับดิน

จากการประเมินคร่าวๆ ของจิตรับรู้ กายเนื้อของศพแห้ง นี้หนาแน่นกว่ากายเนื้อของเขาสิบเท่าขึ้นไป

กายเนื้อที่แข็งแกร่งเช่นนี้ เกรงว่าต่อให้จะใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่แท้จริงฟัน ก็คงไม่อาจทำร้ายมันได้เลยแม้แต่น้อย

หลิ่วหมิงคิดด้วยสีหน้าประหลาดใจ แต่พอโบกมือข้างหนึ่ง คมวายุโค้งๆ ก็ก่อตัวขึ้นมา และโจมตีลงบนศพแห้ง

คมวายุแตกกระจายเป็นจุดๆ และผิวของศพสีเหลืองแห้งกลับไม่มีร่องรอยใดๆ เลยแม้แต่น้อย

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้!”

หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา ลูกแสงสีเงินปรากฏออกมาบนนิ้วทิ้งสิบอีกครั้ง

ครู่ต่อมา เกิดเสียงดังโครมคราม สายฟ้าสีเงินเส้นหนึ่งโจมตีลงบนศพแห้ง ซึ่งก็คือวิชาสายฟ้าสวรรค์ที่เขาฝึกฝนอย่างยากลำบากนั่นเอง

เกิดเสียงดัง “เปรี๊ยะๆ!” หลังจากสายฟ้าสีเงินไหลวนผ่านไป แสงฟ้าแลบและควันก็ดับสลายจนหมดสิ้น ศพแห้งเหี่ยวสีเหลืองกลับยังคงสภาพสมบูรณ์ ไม่เหลือรอยไหม้สีดำเลยแม้แต่น้อย

พอหลิ่วหมิงเห็นสถานการณ์เช่นนี้ ก็ทำท่ามืออยู่ไม่หยุด วิชาต่างๆ โจมตีลงบนศพแห้งราวกับสายฝน แต่น่าแปลกที่พวกมันสลายไปในพริบตา แม้กระทั่งการใช้วิชาขี่กระบี่ฟันลงไปบนนั้น ก็ไม่ทิ้งร่องรอยใดๆ ไว้เลยแม้แต่น้อย

หลังจากพยายามทำอยู่เช่นนี้จนเวลาผ่านไปหนึ่งถ้วยชา หลิ่วหมิงถึงหยุดมือลงด้วยสีหน้าดีใจระคนปนทุกข์

ศพแห้งตรงหน้าไม่ผ่านการปรับแต่งใดๆ ความแข็งแกร่งของมันก็สามารถเทียบได้กับอาวุธป้องกันตัวระดับต้นแบบอาวุธเวทแล้ว

แม้ว่าเคล็ดวิชาฝึกศพของอาจารย์อาเยี่ยนจะไม่เลว โดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อศพอยู่ในระดับสูง ก็จะมีข้อคิดเห็นพิเศษจำเพาะไม่น้อย แต่เมื่อเผชิญกับศพระดับดาราพยากรณ์นี้ เห็นได้ชัดว่ามันใช้ไม่ได้อีกต่อไป

และหากจะเข้าใจศพแห้งนี้อย่างชัดเจน แม้กระทั่งปรับแต่งมันได้ล่ะก็ เห็นได้ชัดว่าต้องใช้วิธีการปรับแต่งศพที่สูงยิ่งขึ้นแล้ว

หลังจากมองศพและทอดถอนใจแล้ว หลิ่วหมิงก็โบกมือเก็บมันเข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างทะนุถนอม

ต่อมา เมฆดำก้อนหนึ่งพุ่งขึ้นจากหน้าประตูถ้ำแห่งหนึ่งที่อยู่ใกล้ส่วนบนของยอดเขาลั่วโยว จากนั้นก็พุ่งไปทางหอเก็บคัมภีร์

“ศิษย์พี่หลิ่ว มาหาอ่านคัมภีร์ในหอเก็บคัมภีร์อีกแล้วหรือ?” พอเห็นหลิ่วหมิงมาปรากฏตัวหน้าประตู ผู้ดำเนินการหลี่ว์ก็เดินมาต้อนรับด้วยเสียงหัวเราะ

หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็เข้าใจขึ้นมาทันที

ครั้งล่าสุดที่เขามาที่นี่คือก่อนเข้าห้องว่างเปล่าลึกลับ แม้ดูเหมือนเวลาจะผ่านไปสิบกว่าปี แต่สำหรับคนที่อยู่ข้างนอกแล้ว ผ่านไปแค่สองเดือนเท่านั้น

“เฮ่อๆ ตอนฝึกฝนข้าพบข้อสงสัยเล็กน้อย คงได้แต่มาดูประสบการณ์การฝึกฝนของบรรดาผู้อาวุโสแล้ว” หลิ่วหมิงตอบกลับด้วยรอยยิ้ม จากนั้นก็เดินไปหาอย่างรวดเร็ว

เขาค่อนข้างคุ้นเคยกับภายในหอเก็บคัมภีร์แล้ว จึงเดินตรงไปอ่านคัมภีร์ประเภทต่างๆ ที่เกี่ยวข้องกับกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ และการปรับแต่งศพบนชั้นสามทันที

ขณะนี้เป็นเวลาหลังเที่ยง และก็เป็นช่วงเวลาที่หอเก็บคัมภีร์วุ่นวายที่สุด มีคนเข้าออกตลอดเวลา แต่ทุกคนต่างก็ลดเสียงฝีเท้าลงอย่างรู้งาน

ครึ่งชั่วยามผ่านไป ชั้นหนังสือทางด้านตะวันออกบนชั้นสามของหอเก็บคัมภีร์ หลิ่วหมิงนำแผ่นหยกที่สลักคำว่า ‘คัมภีร์กระบี่ชิงเฮา’ ลงจากหน้าผากด้วยสีหน้าผิดหวัง

แม้ว่าในหอเก็บคัมภีร์จะมีคัมภีร์จำนวนมาก แต่กลับมีคุณภาพไม่เท่ากัน ในบรรดาคัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับสายกระบี่เหล่านี้ ส่วนใหญ่เป็นแก่นแท้ของวิชาขี่กระบี่ ซึ่งเอ่ยถึงวิธีการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่น้อยมาก ต่อให้จะมีก็เป็นแค่วิธีการหลอมตัวอ่อนกระบี่ธรรมดาเท่านั้น ซึ่งแตกต่างจากที่หลิ่วหมิงคาดการณ์ไว้มาก และไม่สามารถใช้กับเคล็ดกระบี่ปราณแกร่งได้

ขณะที่เขารู้สึกกลุ้มใจเป็นอย่างมากนั้น ชายหนุ่มสองคนก็เดินมาจากอีกด้านหนึ่งของชั้นหนังสือ ซึ่งต่างก็สวมชุดสีเหลืองสดใส ดูจากรูปกระบี่บนแขนเสื้อแล้ว ดูเหมือนว่าจะเป็นศิษย์สายในของยอดเขากระบี่สวรรค์

หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูทีหนึ่ง จากนั้นก็หันไปค้นหาคัมภีร์บนชั้นต่ออย่างไม่ใส่ใจ

“ศิษย์พี่ไคหยวน ท่านมาที่นี่จะไม่เป็นการเสียเวลาเปล่าหรือ แม้ว่าหอเก็บคัมภีร์จะมีคัมภีร์จำนวนมาก แต่ความจริงแล้วมันก็แค่คัมภีร์พื้นๆ เท่านั้น หากพูดถึงคัมภีร์เคล็ดกระบี่อันล้ำค่า ไม่สู้ไปหาในหอคัมภีร์ของยอดเขาเราไม่ดีกว่าหรือ?”

ชายหนุ่มใบหน้ารูปสี่เหลี่ยมผู้หนึ่งกระซิบเบาๆ

“เรื่องนี้ข้าย่อมรู้ดี เคล็ดกระบี่สี่ฤดูของข้าฝึกฝนจนถึงคอขวดแล้ว ตอนนี้จำเป็นต้องหาแรงบันดาลใจในการทะลวงเล็กน้อย จึงมาเสี่ยงโชคดูที่นี่ก็เท่านั้น” ชายหนุ่มอีกคนหยิบแผ่นหยกสีเขียวสลัวๆ ลงจากชั้นหนังสือในขณะที่พูด จากนั้นก็นำมันไปแปะไว้บนหน้าผาก และค่อยๆ อ่านอย่างช้าๆ

แต่ทว่าการสนทนาเบาๆ ของทั้งสองดังเข้ามาในหูของหลิ่วหมิงแล้ว ทำให้เขารู้สึกใจเต้นขึ้นมา

คนพูดไม่มีเจตนา แต่คนฟังกลับมีเจตนา

คำพูดแบบไม่ใส่ใจของทั้งสองทำให้หลิ่วหมิงนึกขึ้นมาได้ว่า ยอดเขากระบี่สวรรค์มีชื่อเสียงในเรื่องของสายกระบี่ และสิ่งของที่เกี่ยวข้องกับกระบี่บิน ดังนั้นย่อมต้องไปหาที่ยอดเขากระบี่สวรรค์ถึงจะสมเหตุสมผลที่สุด

ดูเหมือนว่าในหอเก็บคัมภีร์จะหาวิชาหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่ที่ประณีตไม่ได้ แต่ใช่ว่าบนนอดเขากระบี่สวรรค์จะไม่มี

ก็เหมือนกับหอคัมภีร์ในยอดเขาลั่วโยว ที่เก็บคัมภีร์พลังสายปีศาจประเภทต่างๆ และประสบการณ์เคล็ดวิชาต่างๆ ที่ผู้อาวุโสรุ่นก่อนๆ รวบรวมขึ้นมา หลังจากหลิ่วหมิงมอบตัวเป็นศิษย์ยอดเขาลั่วโยวแล้ว ก็เคยไปอยู่หลายครั้ง

หอเก็บคัมภีร์ที่เปิดให้ศิษย์ทั้งหมดในนิกายเข้าได้นี้ แม้ว่าจะมีคัมภีร์จำนวนมาก เนื้อหาครอบคลุมไปหมดทุกสิ่งอย่าง แต่ถ้าพูดถึงเคล็ดวิชาบางอย่างแล้ว ห้องเก็บคัมภีร์ของแต่ละยอดเขาจะเน้นหนักไปทางใดทางหนึ่ง ช่างวิเศษยิ่งนัก

“เหตุผลง่ายๆ เพียงเท่านี้ ทำไมก่อนหน้านั้นข้าถึงคิดไม่ได้” หลิ่วหมิงเอามือกดหน้าผากและพูดพึมพำด้วยความกลัดกลุ้มเล็กน้อย

หลังจากคิดอย่างชัดแจ้งแล้ว เขาค่อยๆ วางแผ่นหยกในมือลงบนชั้นหนังสือตรงหน้า และเริ่มตรวจสอบเคล็ดวิชาที่เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งศพ

แต่ไม่นาน สีหน้าหลิ่วหมิงก็เต็มไปด้วยความประหลาดใจ

แม้ว่าในหอเก็บคัมภีร์จะมีคัมภีร์ล้ำค่าที่เกี่ยวข้องกับการปรับแต่งศพไม่น้อย แต่ทั้งหมดล้วนหยุดอยู่ที่การปรับแต่งศพระดับผลึก อย่าพูดถึงระดับดาราพยากรณ์เลย แม้แต่วิธีการปรับแต่งศพระดับแก่นแท้ยังหาไม่เจอเลยแม้แต่น้อย

ที่จริงไม่ใช่เพียงแค่วิชาปรับแต่งศพเท่านั้น วิชาอื่นๆ ในหอเก็บคัมภีร์เหล่านี้ ล้วนกล่าวถึงแค่ระดับแก่นแท้ ส่วนเคล็ดวิชาระดับที่สูงกว่าขึ้นไปไม่กล่าวถึงได้เลยแม้แต่อักขระเดียว

หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็พอเข้าใจได้อย่างลางๆ แต่หลังจากวางคัมภีร์ในมือไว้ที่เดิมแล้ว ยังคงเดินลงหอไปด้วยความไม่พอใจเล็กน้อย และเดินตรงไปหาศิษย์ดำเนินการร่างอ้วน

“อะไรนะ! พี่หลิ่วหาสิ่งของที่ต้องการเจอรวดเร็วเช่นนี้เลยหรือ?” พอผู้ดำเนินการร่างอ้วนเห็นหลิ่วหมิง ก็ถามด้วยรอยยิ้ม

“เปล่า! แต่ว่าพี่หลี่ว์ ข้ายังมีเรื่องหนึ่งที่ไม่กระจ่าง อยากขอคำชี้แนะจากท่านเล็กน้อย” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวอย่างนอบน้อม

“หากศิษย์พี่หลิ่วมีข้อสงสัยล่ะก็ ถามมาได้เลย ข้าจะตอบทุกอย่างที่ข้ารู้” ตอนแรกผู้ดำเนินการร่างอ้วนรู้สึกตกตะลึง แต่ก็ถามออกมาอย่างรวดเร็วโดยไม่ต้องคิด

หลิ่วหมิงย่อมกล่าวขอบคุณออกมา หลังจากลังเลเล็กน้อยแล้ว ก็เอ่ยปากถามทันที

“ข้าก็มาหอเก็บคัมภีร์หลายครั้งแล้ว แต่ตอนนี้ถึงค้นพบว่าสถานที่แห่งนี้ไม่มีคัมภีร์ระดับดาราสวรรค์ แม้แต่คัมภีร์ที่เกี่ยวข้องกับระดับแก่นแท้ก็มีอยู่น้อยมาก พี่หลี่ว์พอจะคลายข้อสงสัยได้หรือไม่?”

“ที่แท้พี่หลิ่วก็มาเพื่อหาอ่านเคล็ดวิชาระดับดาราพยากรณ์หรือ?” ศิษย์ดำเนินการร่างอ้วนได้ยิน ก็เผยสีหน้าประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

เพราะตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าสู่ระดับผลึกขั้นต้น ว่ากันตามหลักแล้วเคล็ดวิชาระดับแก่นแท้ยังห่างชั้นจากเขามาก ระดับดาราพยากรณ์นี่ยิ่งไม่ต้องพูดถึงเลย

“ข้อสงสัยในการฝึกฝนของข้าในช่วงนี้ บางทีอาจต้องใช้คัมภีร์ระดับดาราพยากรณ์มาเทียบเคียงทำความเข้าใจสักหน่อย ดังนั้นถึงได้ถามออกมาเช่นนี้” หลิ่วหมิงย่อมไม่พูดความจริงอย่างแน่นอน เพียงแค่ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือสองสามประโยค

ผู้ดำเนินการหลี่ว์ได้ยินเช่นนี้ถึงแสดงสีหน้าเข้าใจออกมา

เขาเป็นผู้ดูแลหอเก็บคัมภีร์ มักจะพบเจอศิษย์จำนวนหนึ่งถามเรื่องราวแปลกประหลาดอยู่บ่อยๆ และคำถามที่คล้ายคลึงกันนี้ ย่อมเคยมีคนถามมาก่อนแล้ว ดังนั้นเขาจึงไม่ลังเลที่จะตอบกลับในทันที

“พี่หลิ่วไม่รู้อะไร หอเก็บคัมภีร์ส่วนใหญ่เปิดให้ศิษย์สายในและสายนอกใช้ ศิษย์เหล่านี้ส่วนมากมีการฝึกฝนระดับของเหลวไปจนถึงระดับผลึก ดังนั้นวิชาที่เกี่ยวข้องในนี้จึงสูงสุดแค่ระดับแก่นแท้เท่านั้น พอศิษย์สายในบรรลุเข้าสู่ระดับแก่นแท้ จะถูกเลื่อนขั้นเป็นศิษย์ลับทันที และวิชาที่พัวพันถึงระดับดาราพยากรณ์ ถึงเป็นเคล็ดวิชาสายตรงที่แท้จริงของนิกายเรา และมีแต่ศิษย์ลับเท่านั้นถึงจะมีคุณสมบัติฝึกฝน ดังนั้นคัมภีร์ระดับนี้ย่อมไม่อาจวางไว้ในสถานที่แห่งนี้ได้”

“แน่นอน นิกายเราก็เคยตั้งกฎไว้ หากศิษย์สายในสร้างผลงานยิ่งใหญ่ให้กับนิกาย ทางนิกายก็อาจจะมอบเคล็ดวิชาระดับดาราพยากรณ์ให้ก็ได้ แต่สิ่งนี้ไม่ได้เกี่ยวข้องกับทางหอเรามากนัก”

 หลิ่วหมิงฟังผู้ดำเนินการร่างอ้วนพูดจบ ก็พยักหน้าด้วยสีหน้าครุ่นคิด ประจักษ์ชัดว่าคำตอบนี้แตกต่างจากที่เขาคิดไว้ไม่มากนัก

เขาพูดคุยกับชายดำเนินการร่างอ้วนอีกสองประโยค จากนั้นก็ขี่เมฆดำพุ่งไปยังทิศทางบางแห่ง

ครึ่งชั่วยามต่อมา เขาขี่เมฆเหาะมาถึงบริเวณยอดเขากระบี่สวรรค์ที่มีชื่อเสียงในเทือกเขาหมื่นวิญญาณเป็นอย่างมาก

ยอดเขานี้มีลักษณะใหญ่โต และสูงเสียดเมฆ ตัวเขาสูงชันอันตราย มีเมฆหมอกรายล้อมบริเวณไหล่เขา พอมองออกไปดูคล้ายกระบี่ยักษ์เล่มหนึ่งที่ปักอยู่บนพื้น

และพอมองไปยังส่วนบนสุดของยอดเขา จะเห็นสิ่งก่อสร้างที่จัดวางอย่างเป็นระเบียบ หลังคาเป็นทรงปลายงอนขึ้น ดูแตกต่างจากยอดเขาลั่วโยวเป็นอย่างมาก

หลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองอยู่กลางอากาศ จากนั้นก็คนร่อนลงบนแท่นหยกขาวตรงหน้าหอแห่งหนึ่ง

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด