ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 662 กระบี่บินว่างเปล่า

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 662 กระบี่บินว่างเปล่า at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

พอจินเทียนชื่อทำท่ามือด้วยมือเดียว ลวดลายจิตวิญญาณสีทองบนตัวก็เปล่งประกาย จากนั้นแสงดาราที่เหลืออยู่บริเวณรอบๆ ก็สลายไปในพริบตา

เขาปล่อยพลังใส่ธงค่ายกลบริเวณรอบๆ ติดต่อกันอีกครั้ง

แสงสีทองที่เปล่งประกายบนค่ายกลมืดลงในพริบตา และสุดท้ายก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

จินเทียนชื่อลุกขึ้นมา เขายื่นแขนทั้งสองลงด้านล่าง และกำกำปั้นเบาๆ ทันใดนั้นก็หันมาหัวเราะให้กับหลิ่วหมิง

“ครั้งนี้สามารถฟื้นฟูการฝึกฝนในก่อนหน้านั้นได้อย่างรวดเร็ว ต้องขอบคุณพี่หลิ่วที่ให้ข้ายืมใช้ค่ายกลแสงดาราแล้ว”

“พี่จินใยต้องเกรงใจด้วย ด้วยพลังของท่านหากคิดจะวางค่ายกลนี้ เกรงว่าคงไม่จำเป็นต้องอาศัยพลังของข้าหรอก” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็ได้สติจากความหวาดผวา และตอบกลับด้วยรอยยิ้มอันขมขื่น

“พี่หลิ่วไม่รู้อะไรแล้ว หากข้าอยากจะอาศัยค่ายกลแสงดาราฟื้นฟูพลังในอดีตล่ะก็ สามารถทำได้แค่อาศัยความช่วยเหลือจากผู้อื่นเท่านั้น และไม่อาจแจ้งให้อีกฝ่ายทราบก่อนได้ เพราะข้าเคยมีศัตรูตัวฉกาจคนหนึ่งที่เชี่ยวชาญวิชาเสี่ยงทาย และรับรู้ชะตาฟ้าได้ ปีนั้นยังเคยถูกเขาผนึกไว้ พอใช้พลังแห่งดวงดาวด้วยตนเอง ฝ่ายตรงข้ามก็จะรับรู้ได้ในทันที พอถึงเวลานั้นปัญหาของข้าก็จะใหญ่ขึ้นมา ดังนั้นเรื่องในวันนี้ต้องขอให้พี่หลิ่วรักษาเป็นความลับให้ด้วย”พอจินเทียนชื่อได้ยินเช่นนี้ รอยยิ้มบนใบหน้าก็หายไป และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ พี่จินวางใจเถอะ เรื่องนี้หลิ่วหมิงจะเก็บรักษาเป็นความลับอย่างแน่นอน ดูท่าสถานะในนิกายของพี่จินคงไม่ธรรมดา คงไม่ได้เป็นแค่ศิษย์สายในสินะ” หลิ่วหมิงเข้าใจในทันที จากนั้นก็ถอนหายใจก่อนกล่าวออกมา

“สถานะของข้า พี่หลิ่วจะรู้เองในภายหลัง นอกจากนี้ ไม่ทราบว่าพี่หลิ่วยังต้องการธงค่ายกลที่ใช้ในการวางค่ายกลนี้หรือไม่” จินเทียนชื่อหัวเราะออกมา จากนั้นก็กวาดสายตามองธงค่ายกลรอบด้าน และถามขึ้นมาทันที

“ข้าวางค่ายกลนี้ไม่เป็น หากพี่จินต้องการก็เอาไปได้เลย เก็บไว้กับข้าก็ไม่มีประโยชน์อันใด” หลิ่วหมิงกล่าวอย่างไม่ลังเล

“ฮ่าๆ! ถ้าอย่างนั้นข้าติดค้างน้ำใจพี่หลิ่วหนึ่งครั้งแล้ว หากไม่มีเรื่องอื่นแล้วข้าต้องขอตัวก่อน สำหรับภารกิจในหอลี้ลับนั้น พี่หลิ่วเพียงแค่อธิบายเหตุผลในการยกเลิกให้ชัดเจนก็พอ ลาก่อนแล้วค่อยพบกันใหม่” หลังจากจินเทียนชื่อหัวเราะฮ่าๆ แล้ว ก็สะบัดแขนเสื้อในทันที แสงสีทองม้วนเอาธงค่ายกลทั้งสามสิบหกอันขึ้นมา จากนั้นเขาก็กลายร่างเป็นแสงสีทองก่อนพุ่งออกไป

หลิ่วหมิงมองดูแสงสีทองที่อยู่ไกลๆ และนิ่งเงียบอยู่นาน พอสะบัดแขนเสื้อ ก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งกลับไปยังถ้ำที่พัก

แม้ว่าจินเทียนชื่อจะมีอานุภาพน่าตกใจ และดูลึกลับเป็นอย่างมาก แต่ในเมื่อดูไม่มีท่าทีประสงค์ร้ายกับเขา เขาย่อมไม่สืบหาเส้นสนกลในของฝ่ายตรงข้ามมากเกินไป

หลังจากหลิ่วหมิงกลับถึงถ้ำที่พัก ก็ปิดประตูสนิททันที หลังจากแขวนป้ายไม่รับแขกแล้ว ก็เปิดชั้นจำกัดป้องกันทั้งหมด

ตอนนี้ เงื่อนไขของกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้เตรียมพร้อมไว้แล้ว ต่อไปก็จะเป็นขั้นตอนสำคัญคือการใส่เข้าไป

เขาไม่อยากถูกใครรบกวนในช่วงเวลาสำคัญเช่นนี้

หลังจากทำทุกอย่างเสร็จแล้ว เขาก็ก้าวเข้าไปในห้องลับ และนั่งเข้าฌานบนเบาะอย่างเงียบๆ

หลังจากเวลาผ่านไปหนึ่งวันหนึ่งคืน หลิ่วหมิงรู้สึกว่าสภาพจิตใจ และพลังเวทต่างก็ฟื้นฟูมาถึงจุดสูงสุดแล้ว เขาจึงค่อยๆ ลืมตาทั้งคู่ขึ้นมา

จากนั้นก็พลิกฝ่ามือข้างหนึ่งหยิบกล่องไม้ออกมา พอสะบัดแขนเสื้อ ฝากล่องก็เปิดออก เผยให้เห็นร่างตัวอ่อนกระบี่สีทองอร่ามที่ยาวสองฉื่อแปดชุ่น

หลิ่วหมิงชี้นิ้วผ่านอากาศไปทางกล่องไม้ และตะโกนคำว่า “ขึ้น!” ออกมา

ร่างกระบี่สีทองค่อยๆ ลอยขึ้นจากกล่องไม้ทันที และหยุดนิ่งอยู่บริเวณหน้าอกของเขา

หลิ่วหมิงเพ่งสายตาดูร่างตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าด้วยสีหน้าเคร่งขรึม นิ้วทั้งสิบเคลื่อนไหวราวกับล้อรถ มีแสงสีดำจางๆ ที่ดูคล้ายกับหมอกควันปรากฏระหว่างนิ้ว

ทันทีที่เขาอ้าปาก หมอกโลหิตที่กลายร่างมาจากโลหิตบริสุทธิ์ก็ถูกพ่นออกมาปกคลุมร่างตัวอ่อนกระบี่ตรงหน้าไว้ จากนั้นก็เปลี่ยนท่ามืออีกครั้ง

ร่างกระบี่ส่งเสียงดังเบาๆ หลังจากเก็บหมอกโลหิตทั้งหมดเข้าไปแล้ว แสงสีทองก็เปล่งประกายบนร่าง และลวดลายสีทองก็เริ่มปรากฏบนพื้นผิว

จะว่าไปแล้ว การหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณ เพียงแค่เตรียมร่างตัวอ่อนกระบี่กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ไว้ก็ได้แล้ว

แม้จะบอกว่าพอกระบี่บินพลังจิตวิญญาณถูกสร้างขึ้น มันจะเป็นต้นแบบอาวุธเวทที่มีสามสิบหกชั้นจำกัด แต่วิธีการหลอมของมันไม่ค่อยซับซ้อนมาก สำคัญคือขั้นตอนระหว่างการหลอมร่างตัวอ่อนกระบี่กับจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ และขณะที่ใช้วัสดุล้ำค่าจำนวนมากนั้น ชั้นจำกัดจำนวนหนึ่งก็ประทับเข้าไปในนั้นแล้ว

พอจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่บ่มเพาะเสร็จสมบูรณ์ และร่างตัวอ่อนกระบี่สำเร็จออกมา เพียงแค่ใส่จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่เข้าไปในร่างตัวอ่อนกระบี่ทำให้ทั้งสองผสมผสานเข้าด้วยกัน ย่อมได้กระบี่บินที่มีระดับเป็นต้นแบบอาวุธเวท

ขณะนี้ ลวดลายจิตวิญญาณสีทองค่อยๆ เพิ่มมากขึ้นจนปกคลุมไปทั่วร่างกระบี่ พอลวดลายจิตวิญญาณเปล่งประกาย มันก็โอบล้อมรอบตัวกระบี่ราวกับอสรพิษสายฟ้าสีทองที่เปล่งประกาย

หลิ่วหมิงจ้องมองฉากตรงหน้าตาไม่กะพริบ เมื่อความหนาแน่นของสายฟ้าสีทองถึงระดับหนึ่ง ท่ามือของเขาก็เปลี่ยนไปทันที

แสงแวววาวเปล่งประกายตรงหน้าของเขา เงาแวววาวที่ลอยอยู่บริเวณจุดตันเถียนเงียบๆ เริ่มสั่นสะท้านเบาๆ จากนั้นก็พร่ามัวมาปรากฏเหนือร่างตัวอ่อนกระบี่

และร่างตัวอ่อนกระบี่สีทองก็สั่นสะท้านอย่างบ้าคลั่งราวกับรับรู้อะไรได้ ทั้งยังเกือบหลุดจากการควบคุมของหลิ่วหมิงเพื่อพุ่งไปที่อื่น

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็รีบปล่อยพลังออกไปติดต่อกันอย่างตกใจถึงควบคุมมันไว้ได้ จากนั้นก็หายใจเข้าลึกๆ ร่างสูงสง่าไม่ขยับเขยื้อน นิ้วทั้งสิบดีดออกไปติดต่อกัน พลังเล็กละเอียดราวกับเส้นผมค่อยๆ ร่วงลงบนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่

แสงเจิดจ้าเปล่งประกายบนจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่ ภายใต้การชี้นิ้วของเขา มันก็ค่อยๆ ร่วงลงบนร่างตัวอ่อนกระบี่…….

เวลาในแต่ละวันค่อยๆ ผ่านไป หลังจากผ่านไปหลายวัน หลิ่วหมิงที่อยู่ในห้องลับก็ลืมตาขึ้นมา

แม้ว่าตอนนี้เขาจะดูอ่อนเพลียมาก แต่ดวงตากลับเต็มไปด้วยชีวิตชีวา มุมปากยกขึ้นเล็กน้อยด้วยความเบิกบานใจ

ด้วยระดับวิชาหลอมอาวุธของเขาในตอนนี้ ใช้เวลาในการหลอมตัวอ่อนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณไม่มาก แต่ที่เสียเวลามากเช่นนี้ ส่วนใหญ่เป็นเพราะจิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นั้นแข็งแกร่งและรุนแรงเกินไป แม้ว่าจะผสานเข้ากับร่างตัวอ่อนกระบี่แล้ว ก็ไม่ค่อยเสถียรมากนัก

สุดท้ายภายใต้การชี้แนะของหลัวโหว เขาก็ใช้เวลาบ่มเพาะมันอีกสามเดือนกว่า ในที่สุดก็เสถียรอย่างสมบูรณ์

ระหว่างที่คิดไตร่ตรอง หลิ่วหมิงก็หรี่ตาทั้งคู่ลง จากนั้นก็อ้าปากพ่นแสงสีทองออกมา หลังจากมันหมุนรอบตัวเขาหนึ่งรอบแล้ว ก็กลายเป็นกระบี่ยาวสีทองเล่มหนึ่ง และลอยอยู่ตรงหน้าเขา

กระบี่บินเล่มนี้ยาวสองฉื่อแปดชุ่น ตัวกระบี่เป็นสีทองจางๆ ลายเส้นอ่อนโยน บนตัวกระบี่มีลวดลายจิตวิญญาณอันประณีตสวยงาม

หลิ่วหมิงมองมันอย่างละเอียดอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นมีเสียงกระบี่พุ่งยิงออกไป “ฟิ้ว!”

แสงกระบี่สีทองอีกลำพุ่งขึ้นมาภายในห้องลับ ทั่วทั้งถ้ำที่พักเต็มไปด้วยเสียงพายุและสายฟ้า

หลิ่วหมิงรู้สึกดีใจมาก ท่ามือของเขาหยุดชะงักลงอีกครั้ง

ครู่ต่อมา แสงกระบี่สีทองก็เคลื่อนตัวอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาจางๆ สิบกว่าเงา พริบตานั้น มันก็กลายเป็นตาข่ายกระบี่สีทองจางๆ ผืนหนึ่ง ทั้งยังหดตัวแน่น เมื่อมองดูไกลๆ มันดูคล้ายกับลูกสีทองกลมๆ ลูกหนึ่ง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ชี้มือข้างหนึ่งไปทางอากาศทันที

แสงสีทองบนกระบี่บินพลังจิตวิญญาณหายไป ทำให้มันกลายสภาพเป็นเงากระบี่ พริบตาเดียวก็ปรากฏขาดๆ หายๆ และสุดท้ายก็ซ่อนตัวไว้

ชั่วขณะนั้น เสียงพายุกระบี่ที่ปกคลุมเต็มห้องก็ส่งเสียงดังไม่ขาดสาย แต่ดูเหมือนจะมองไม่เห็นร่องรอยของกระบี่บินใดๆ เลย กระบี่บินพลังจิตวิญญาณเปลี่ยนแปลงไปมาราวกับปีศาจ ช่างเป็นอาวุธยอดเยี่ยมที่สุดในการลอบโจมตี

“จิตวิญญาณตัวอ่อนกระบี่นี้หลอมขึ้นมาจากไผ่ว่างเปล่า ถ้าอย่างนั้นก็เรียกมันว่ากระบี่ว่างเปล่าก็แล้วกัน” หลิ่วหมิงรีบตั้งชื่อให้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณอย่างอารมณ์ดี

ต่อมาเขาก็ทดลองความสามารถอื่นๆ ของกระบี่บิน และค้นพบว่านอกจากมันจะหลบซ่อนตัวได้ตามใจแล้ว หากปล่อยพลังเวทใส่ตัวกระบี่อย่างบ้าคลั่งล่ะก็ ยังสามารถก่อเกิดเป็นพลังแม่เหล็กไร้ชื่อรอบตัวได้ด้วย มันสามารถส่งผลต่อการเหินเวหาของอาวุธจิตวิญญาณอื่นๆ ในระยะที่จำกัดได้

หลังจากหลิ่วหมิงลองดูผลลัพธ์นี้แล้ว ก็รู้สึกดีใจเป็นล้นพ้น

เขาชื่นชมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณอีกรอบ จากนั้นก็เก็บเข้าไปในร่าง และเก็บตัวฝึกฝนอีกครั้ง

เวลาต่อมา หลิ่วหมิงจะเข้าไปใช้กระบี่บินพลังจิตวิญญาณต่อสู้กับจินเลี่ยหยาง ราชาโลหิต และคนอื่นๆ ในแดนมายาทุกวัน หลังจากเขามีกระบี่บินพลังจิตวิญญาณแล้ว โอกาสในการเอาชนะก็เพิ่มขึ้นมาไม่น้อย

ในระหว่างเวลานั้น หลงเหยียนเฟยก็มาเยี่ยมเยียนอยู่หลายครั้ง แต่ว่านางไม่พูดถึงเรื่องตัวอ่อนกระบี่ปราณแกร่งแล้ว แต่กลับพูดคุยเรื่องวิชาขี่กระบี่กับหลิ่วหมิงแทน

หลิ่วหมิงไม่รู้สึกสงสัยความรู้เรื่องกระบี่ของศิษย์ยอดเขากระบี่สวรรค์ผู้นี้เลยแม้แต่น้อย แน่นอนว่าย่อมเป็นเรื่องที่ดีอย่างหาไม่ได้

หลังจากไปมาหาสู่กันบ่อยๆ หลิ่วหมิงกับนางผู้นี้ก็สนิทกันมากขึ้น

แต่เรื่องที่เขาหลอมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณสำเร็จ กลับไม่แพร่งพรายเลยแม้แต่น้อย

เป็นเช่นนี้ไปเรื่อยๆ จนเวลาผ่านไปครึ่งปี หลิ่วหมิงก็ออกจากการเก็บตัวในที่สุด

ขณะนี้ เขาฝึกฝนการต่อสู้จริงในแดนมายาอย่างต่อเนื่อง จนควบคุมกระบี่บินพลังจิตวิญญาณได้ชำนาญแล้ว

หลังจากออกจากถ้ำที่พักแล้ว ก็ขี่แสงสีทองมายังหอลี้ลับ

ขณะนี้ หอลี้ลับส่วนนอกยังคงมีผู้คนแอัด ซึ่งเต็มไปด้วยศิษย์สายนอกกับศิษย์ธรรมดาที่มารับภารกิจต่างๆ

พอศิษย์ดำเนินการหอส่วนนอกคนหนึ่งเห็นหลิ่วหมิงสวมชุดศิษย์สายใน ก็เดินเข้ามาด้วยท่าทีนอบน้อม

หลิ่วหมิงกลับไม่พูดอะไรกับเขามาก แต่กลับเดินเข้าไปหอส่วนในตรงทางเดินด้านข้างอย่างรู้ทาง

ผู้คนในหอส่วนในย่อมมีน้อยกว่ามาก

หลังจากหลิ่วหมิงดูป้ายประกาศในอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็ดึงป้ายประจำตัวออกมาโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขารับภารกิจรวบรวมแก่นวิญญาณของปีศาจอสูรที่เป็นภารกิจระยะยาว

ภารกิจระยะยาวเช่นนี้พบเจอได้บ่อยในนิกายยอดบริสุทธิ์ ส่วนมากจะเป็นการรวบรวมพืชจิตวิญญาณที่กำหนดเป็นพิเศษ วัสดุปีศาจอสูรเป็นต้น โดยไม่จำกัดเวลา และจะคิดค่าตอบแทนจากจำนวนที่รวบรวมมาได้

ผู้ที่ประกาศภารกิจนี้ ส่วนมากเป็นผู้อาวุโสในนิกายที่ศึกษาการปรุงโอสถหรือวิชาหลอมอาวุธเป็นระยะยาว ด้วยเหตุนี้จึงมีความต้องการวัสดุบางอย่างเป็นจำนวนมาก

ที่หลิ่วหมิงรับภารกิจนี้ย่อมเป็นเพราะว่ามีจุดประสงค์อื่น

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด