ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 672 ต่อสู้กับระดับแก่นแท้

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 672 ต่อสู้กับระดับแก่นแท้ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

หลิ่วหมิงคิดใคร่ครวญอย่างรวดเร็ว แต่กลับกระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างไม่ลังเล กระบี่เล็กสีทองกะพริบหายเข้าในระหว่างคิ้วของเฮยจิ่ว

เฮยจิ่วส่งเสียงร้องออกมา ร่างกายอ่อนยวบยาบก่อนล้มลงไป แม้แต่วิญญาณที่ซ่อนอยู่ในศีรษะก็ถูกเงากระบี่บินทำลายจนหมดสิ้น

พอเงากระบี่เปล่งประกาย กระบี่เล็กสีทองก็มาปรากฏอยู่ตรงหน้าหลิ่วหมิงอย่างน่าประหลาดใจ และส่งเสียงดังหวึ่งๆ อยู่ไม่หยุด

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าช่างใจกล้าไม่เบา บังอาจฆ่าคนต่อหน้าข้า หากไม่อยากตายอยู่ที่นี่อย่างอนาถล่ะก็ จงสะกดพลังเวทของตนเองเสียโดยดี โอสถแฝงจิตวิญญาณที่ถูกปล่อยตามตลาดต่างๆ ในช่วงนี้ คงมาจากเจ้าสินะ ยอมรับการสะกดแต่โดยดี ข้าจะไม่คิดเล็กคิดน้อยกับเรื่องที่เกิดขึ้นในเมื่อครู่” ผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นฉากเช่นนี้ ก็มีแววตาเยือกเย็นขึ้นมาทันที และไม่ลงมือในฉับพลัน แต่กลับค่อยๆ กล่าวออกมา

หลิ่วหมิงนิ่งเงียบไร้ซึ่งสุ้มเสียง แต่ในใจกลับครุ่นคิดอย่างรวดเร็ว

คนเหล่านี้มาเพราะโอสถแฝงจิตวิญญาณจริงๆ ด้วย และชายหนุ่มชุดฟ้าที่อยู่ด้านข้างผู้อาวุโสร่างอ้วนเขาก็พอจะจำได้อยู่บ้าง ดูจากสถานการณ์ในตอนนี้แล้ว เขาคงจะถูกจับตามองตั้งนานแล้ว

แต่เขาไม่รู้สึกหวาดกลัวผู้อาวุโสร่างอ้วนตรงหน้าเลยแม้แต่น้อย

ด้วยพลังของเขาในตอนนี้ เมื่อเผชิญหน้ากับระดับแก่นแท้ ต่อให้จะไม่สามารถรับมือได้ ก็ยังถอยไปได้อย่างปลอดภัย อีกอย่างพลังของระดับแก่นแท้แบ่งออกเป็นสามขั้น หกขั้น และเก้าขั้น พลังกดดันที่ผู้อาวุโสร่างอ้วนตรงหน้ามอบให้เขา เทียบกับผู้อาวุโสในนิกายยอดบริสุทธิ์ไม่ได้เลยแม้แต่คนเดียว

ขณะเดียวกัน ลี่หวงชายหนุ่มชุดฟ้ากลับจ้องมองรอยขาดบนร่างไร้ศีรษะของเฮยสือเอ้อร์ที่อยู่ไม่ไกล และกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าอึมครึม

“รอยแผลแบบนี้ ดูท่าคนที่ฆ่าเฮยอู่ในปีนั้นคงจะเป็นเจ้าแล้ว”

เห็นได้ชัดว่าหลิ่วหมิงไม่คิดจะตอบคำถามของเขา แต่กลับขยับปากเบาๆ อยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นกระบี่เล็กสีทองตรงหน้าก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา เงากระบี่สีทองขาดๆ หายๆ ก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากลี่หวงไปสามจั้ง พอแสงสีทองเปล่งประกาย มันก็กลายเป็นกระบี่ยักษ์สีทองที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ และกะจะฟันให้กลายเป็นสองส่วนในทีเดียว

ในเมื่อหลบศึกในครั้งนี้ไม่พ้น หลิ่วหมิงก็ชิงลงมือก่อนอย่างเหี้ยมหาญ!

ลี่หวงกลับคิดไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะกล้าลงมือเช่นนี้ ทั้งยังกะจะลงมือให้สำเร็จในทีเดียวด้วย เขาคิดจะแสดงวิชาออกมาต้านและหลบหลีก แต่ก็ไม่ทันการแล้ว

“เจ้าเด็กน้อย รนหาที่ตายหรือ!”

พอเห็นว่าลี่หวงไม่สามารถหลบหลีกได้ ผู้อาวุโสร่างอ้วนก็เผยแววตาโหดร้ายออกมา นิ้วทั้งสิบดีดออกไปในทันที แสงเย็นสะท้านอันแหลมคนสิบลำพุ่งออกไปราวกับสายฟ้าแลบ แสงห้าลำในนั้นโจมตีลงบนกระบี่ยักษ์สีทองที่ฟันลงมาพอดี และอีกห้าลำก็พุ่งเข้าใส่หลิ่วหมิง

เกิดเสียงดังตู๊ม!

แสงสีทองกับสีขาวปะทะเข้าด้วยกัน กระบี่ยักษ์สีทองสั่นสะท้านและกระเด็นกลับไป พริบตาเดียวก็ลดขนาดลงเหลือแค่สองฉื่อ

อีกด้านหนึ่ง หลิ่วหมิงแค่ขยับตัว ก็มีเงาร่างพร่ามัวเคลื่อนไหวอยู่ไม่หยุด แสงเย็นสะท้านอีกห้าลำทะลุผ่านไปโดยไม่มีสิ่งใดมาต้านทานไว้ ซึ่งล้วนพุ่งเข้าใส่แต่ความว่างเปล่า

จากนั้นพอหลิ่วหมิงกระทืบเท้าอย่างรุนแรง ก็กลายเป็นเงาร่างสามเงาพุ่งเข้าหาผู้อาวุโสร่างอ้วนพร้อมกัน

ในระหว่างสิบปีมานี้ นอกจากหลิ่วหมิงจะลำบากฝึกฝนปรุงโอสถแล้ว เขาก็ใช้เวลาไม่น้อยในการฝึกในเคล็ดวิชาต่างๆ ซึ่งวิชาเงาร่างสามส่วนของเขาในตอนนี้ สามารถแบ่งเงาร่างออกมาได้สองเงาแล้ว

“ฟู่!”

เงาร่างหนึ่งในนั้นถูกผู้อาวุโสปล่อยแสงเย็นสะท้านโจมตีจนระเบิดตัวกลายเป็นกลุ่มแสงสีดำในระหว่างทาง

เงาร่างอีกสองเงาที่เหลือกลับยังคงพุ่งเข้าใส่ผู้อาวุโส

“ฮึ! กะอีแค่วิชาเงาร่างลวงตา ก็กล้านำออกมาขายหน้าตัวเองได้”

พอผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นว่าการโจมตีของตนเองไม่ได้ผล ก็ทำเสียงฮึดฮัดออกมา หลังจากแสงสีทองเปล่งประกายในดวงตา เขาก็มองเห็นตำแหน่งร่างที่แท้จริงของหลิ่วหมิงในพริบตา พอยกแขนเสื้อขึ้น แสงสีเขียวเข้มลำหนึ่งก็พุ่งออกมา และกลายเป็นตาข่ายสีเขียวผืนหนึ่งคลุมไปยังเงาร่างทั้งสอง

หลิ่วหมิงขมวดคิ้วขึ้นมาทันที ร่างจริงของเขาขยับตัวแค่ทีเดียว ก็มาปรากฏอยู่ห่างออกไปเจ็ดแปดจั้งราวกับปีศาจ และเงาร่างอีกเงาก็ถูกตาข่ายสีเขียวคลุมไว้ หลังจากถูกรัดแน่น มันก็ระเบิดตัวเป็นจุดแสงสีดำ

ขณะนั้นเอง หลิ่วหมิงทำท่ามือด้วยมือข้างหนึ่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง กระบี่สีทองที่ยังหยุดนิ่งอยู่ไกลๆ ก็สั่นสะท้านขึ้นมาทันที ไหมสีทองเล็กละเอียดจำนวนมากพุ่งยิงออกมา ซึ่งล้วนพุ่งไปทางลี่หวงทั้งหมด

“เจ้ายังไม่ถอยออกไปอีก!” ผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นเช่นนี้ ก็เข้าใจจุดประสงค์ของหลิ่วหมิงในพริบตา ทันใดนั้นเขาก็ตะโกนใส่ลี่หวง ขณะเดียวกันก็หยิบไม้เท้าที่ดูเหมือนจะเป็นไม้โบราณออกมา หลังจากโยนออกไปด้านหน้า มันก็จมหายไปในอากาศอย่างไร้ร่องรอย

ครู่ต่อมา จะเห็นว่ามีดอกบัวสีเขียวแต่ละดอกปรากฏตัวตรงหน้าลี่หวง และค่อยๆ บานออกมา

“ตู๊ม!”

ไหมทองคำประสานเข้ากับแสงสีเขียว ดอกบัวสีเขียวที่อยู่ตรงหน้าสุดถูกโจมตีจนเกิดเป็นรอยจำนวนมาก และสลายตัวเป็นไอหมอกสีเขียวขนาดใหญ่ แต่ไหมกระบี่สีทองที่ดูแหลมคมอย่างหาที่เปรียบไม่ได้ ล้วนถูกต้านท้านไว้ทั้งหมด

หลิ่วหมิงกระตุ้นเคล็ดกระบี่โดยพูดพร่ำทำเพลง

พอแสงสีทองเปล่งประกายบนอากาศทางด้านนั้น กระบี่บินก็เปล่งประกายออกมาอีกครั้ง จากนั้นก็พร่ามัวกลายเป็นไหมทองคำจำนวนมาก และกำลังจะพุ่งยิงออกไปอีกครั้ง

ผู้อาวุโสร่างอ้วนทำเสียงฮึดฮัด มือของเขาทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และร่ายคาถาออกมา

มีคลื่นก่อตัวบนอากาศ จากนั้นเงาไม้เท้าก็ปรากฏออกมาอย่างแจ่มชัด และพุ่งเข้าใส่ไหมทองคำราวกับอสรพิษ ทั้งยังโจมตีร่างจริงของกระบี่ที่ซ่อนอยู่ในนั้นได้อย่างแม่นยำ

“ตู๊ม!” ไหมทองคำที่ปกคลุมเต็มฟ้ากระจายออกมา กระบี่บินสีทองถูกโจมตีจนกระเด็นกลับมาอีกครั้ง ขณะเดียวกันคลื่นอากาศก็ม้วนตัวออกไปทั่วทิศ

การแลกมือในครั้งนี้รวดเร็วราวกับสายฟ้าแลบ ทั้งหมดล้วนเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นภายในพริบตา

ลี่หวงรู้สึกหวาดกลัวพลังอันน่าตกใจของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้นเป็นอย่างมาก หลังจากเขาเผยแววตาซับซ้อนที่มีทั้งความอิจฉาและหวาดกลัวออกมาแล้ว ก็ตัดสินใจกระตุ้นวิชาทะยานขึ้นฟ้าทันที

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยสีหน้าผิดหวังออกมาเล็กน้อย

ก่อนหน้านั้นเขาคิดที่จะโจมตีลี่หวง เพื่อดึงความใจของผู้อาวุโสร่างอ้วน

แต่ในเมื่อวิธีการนี้ถูกมองออกแล้ว ต่อไปคงต้องอาศัยความสามารถของตนเองในการต่อสู้แล้ว

พอผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นว่าลี่หวงไปแล้ว ความกังวลของเขาก็หมดไป หลังจากเผยสีหน้าดุร้ายออกมา เขาก็คว้ามือผ่านอากาศไปทางหลิ่วหมิงทันที

“ฟู่!”

อากาศเหนือตัวหลิ่วหมิงสั่นสะเทือนอย่างรุนแรง มือยักษ์สีเขียวที่มีขนาดหนึ่งหมู่กว่าๆ ปรากฏออกมา พอนิ้วทั้งห้ากางออก มันก็กดทับลงราวกับเป็นภูเขาลูกเล็กๆ

มือยักษ์ลงมายังไม่ทันถึง พลังไร้รูปบางอย่างก็ทะลักลงมาก่อน

หลิ่วหมิงรู้สึกเพียงแค่ว่าหายใจลำบาก อากาศรอบด้านถูกขับไล่ออกไปจนหมด จากนั้นพื้นที่ว่างบริเวณนั้นก็แข็งราวกับเหล็ก

หากเป็นผู้ฝึกฝนระดับผลึกคนอื่นๆ เผชิญกับการถูกโจมตีเช่นนี้ เกรงว่าคงถูกพลังมหาศาลนี้กดทับลงพื้นภายในพริบตาโดยที่ไม่อาจกระดิกตัวได้เลยแม้แต่น้อย

เพราะพลังเวทของผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นกับผู้ฝึกฝนระดับผลึกขั้นกลางแตกต่างกันมาก จนสามารถพูดได้ว่าแตกต่างกันราวฟ้ากับดินได้ และเคล็ดวิชาที่อาศัยพลังเวทในการจับกุมอย่างสมบูรณ์นี้ เป็นวิธีการที่ผู้แข็งแกร่งใช้กับผู้อ่อนแอได้ผลที่สุด

เมื่อผู้ที่มีพลังเวทต่ำเผชิญกับการโจมตีระดับนี้ ต่อให้จะมีเคล็ดวิชาและของล้ำค่าจำนวนมาก ก็คงได้แต่รอความตายเท่านั้น

แต่หลิ่วหมิงไม่ใช่ผู้ฝึกฝนระดับผลึกทั่วไป ไม่ต้องพูดถึงพลังเวทที่ถูกฟองอากาศลึกลับกลั่นมาหลายรอบจนความบริสุทธิ์ของมันเหนือความคาดหมายของคนทั่วไปแล้ว ลำพังแค่ผลึกพลังเวทหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ดในทะเลจิตวิญญาณ ก็เพียงพอที่จะแสดงให้เห็นถึงความแข็งแกร่งของเขาหลังจากเข้าสู่ระดับผลึกแล้ว

หลิ่วหมิงในตอนนี้ พลังเวทในร่างอาจจะไม่สามารถเทียบกับผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ได้ แต่ก็ไม่ด้อยไปกว่าระดับแก่นเสมือนโดยทั่วไป ยิ่งไปกว่านั้นกายเนื้อของเขาก็แข็งแกร่งอย่างหาที่เปรียบไม่ได้

ขณะนี้ หลิ่วหมิงมองดูมือยักษ์สีเขียวที่กำลังร่วงลงมากลางอากาศ หลังจากมีแสงแวววาวหมุนวนในดวงตา เขาก็ส่งเสียงคำรามออกมา ภายใต้การเคลื่อนไหวของแขนทั้งสอง กำปั้นสองลูกก็ทุบขึ้นไปด้านบนโดยไม่สนใจพลังมหาศาลที่กดดันอยู่รอบด้านเลย

“ฟู่!” “ฟู่!”

ไอดำบนตัวหมิงม้วนตัวออกมา และมังกรหมอกดำสองตัวที่ยาวเจ็ดแปดจั้ง ก็พุ่งออกมาตามกำปั้น และแยกเขี้ยวยิงฟันโจมตีลงบนฝ่ามือยักษ์อย่างโหดเหี้ยม

เกิดเสียงดังสนั่นหวั่นไหว!

มือยักษ์เปล่งประกายอย่างบ้าคลั่งสองสามที จากนั้นก็พังทลายลงมาท่ามกลางการม้วนตัวของไอดำ คลื่นอากาศอันน่าตกใจม้วนตัวออกไปทั่วทิศอย่างบ้าคลั่ง

หลิ่วหมิงที่โจมตีออกไปสองกำปั้น ก็ขยับตัวสองสามที จากนั้นก็มีเสียงดัง “ตู๊ม!” บริเวณที่เขาเคยยืนในเมื่อครู่ ทั้งยังปรากฏหลุมกลมๆ ขึ้นมาหนึ่งหลุม พื้นดินบริเวณนั้นเกิดเป็นรอยร้าวจำนวนมาก

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปมาอยู่สองรอบ จากนั้นถึงฟื้นฟูกลับมาสู่สภาพเดิม ขณะนี้เขาถึงค่อยๆ วางแขนทั้งสองลง และพูดด้วยท่าทีแปลกๆ

“นี่คือพลังของระดับแก่นแท้หรือ ดูเหมือนว่าจะไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่ข้าคิดไว้ ดูท่าแก่นแท้ของท่านคงอาศัยพลังภายนอกสร้างขึ้นมา มิเช่นคงไม่ได้มีพลังแค่นี้”

“เจ้าเด็กน้อย เจ้าพูดอะไร หรือว่าอยากรนหาที่ตายจริงๆหรือ! ดีมาก! ข้าจะทำให้เจ้ารู้เดี๋ยวนี้ว่าอะไรคือฝีมือของแก่นแท้” พอผู้อาวุโสร่างอ้วนเห็นหลิ่วหมิงรับการโจมตีด้วยพลังเวทกว่าครึ่งหนึ่งของตนเองไว้ได้ ทั้งยังดูเหมือนว่าจะไม่เป็นอะไรด้วย เขาก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย แต่พอได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง ก็รู้สึกโมโหขึ้นมาทันที

ประจักษ์ชัดว่าคำพูดของหลิ่วหมิงในก่อนหน้านั้น สะกิดโดนแผลที่เจ็บที่สุดในใจของเขา

ครู่ต่อมา พอผู้อาวุโสร่างอ้วนคว้ามือข้างหนึ่งออกไป ก็มีคลื่นสั่นสะเทือนบนอากาศตรงหน้า ไม้เท้าในก่อนหน้านั้นกะพริบออกมา มืออีกข้างก็พลิกขึ้นมา จากนั้นเปลวไฟสีเขียวเข้มก็ปรากฏอยู่บนฝ่ามือ

พอสะบัดข้อมือ เปลวไฟสีเขียวก็กลายเป็นแสงแวววาวพุ่งออกมา และกะพริบหายไปในไม้เท้า ทำให้ไม้เท้าเปล่งแสงออกมา อักขระสีเงินจางๆ ปรากฏขึ้นบนพื้นผิว

ผู้อาวุโสร่างอ้วนส่งเสียงคำรามเบาๆ มือข้างหนึ่งทำท่ามืออย่างรวดเร็ว และชี้ไปทางหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบ

ไม้เท้าหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศ และขยายใหญ่จนกลายเป็นอสรพิษสีเขียวเหลืองตัวหนึ่งที่ยาวสามสิบกว่าจั้ง และสะบัดหางพุ่งเข้าหาหลิ่วหมิงราวกับมังกรพุ่งขึ้นจากน้ำ

อสรพิษยักษ์ยังกระโจนเข้ามาไม่ทันถึง พายุร้อนที่ส่งกลิ่นเหม็นก็พุ่งเข้ามาก่อน ราวกับว่ามันไม่ได้เกิดจากพลังเวท แต่เป็นสิ่งมีชีวิตจริงๆ

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปทันที ร่างของเขาพุ่งถอยออกไปอย่างรวดเร็ว ทรายทองคำร่วงพุ่งออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นม่านทรายสีทองต้านทานอยู่ตรงหน้า

อสรพิษยักษ์อ้าปากพ่นของเหลวพิษสีน้ำตาลเหลืองออกมาจำนวนมาก

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด