ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 686 เกิดความประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 686 เกิดความประหลาดใจและฉงนสนเท่ห์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ไม่มีปฏิกิริยาใดๆ จากด้านล่าง ผิวทะเลสาบกลับมาสงบอีกครั้ง ราวกับว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้นมาก่อน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างเยือกเย็น มังกรหมอกพุ่งออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง มังกรหมอกก็หลุดออกจากร่าง และส่งเสียงคำรามดังแผ่วโผย จากนั้นก็กะพริบหายไปในน้ำ

“ตู๊ม!” ผิวน้ำถูกกระแทกแตกเป็นฟอง!

เงาร่างมนุษย์สีดำพุ่งออกมา และด้านหลังของเขาก็มีมังกรหมอกดำตามไล่อยู่

พอเงามนุษย์สีดำโบกมือ หยดวารีสีขาวก็เปล่งประกายตรงหน้า และค่อยๆ กะพริบลงบนร่างมังกรหมอกดำ หลังจากมีเสียงดังขึ้น มังกรหมอกก็ระเบิดออกมาทันที

“ในที่สุดท่านก็ยอมออกมา ไม่ทราบว่าเหตุใดถึงลอบโจมตีข้า?” พอหลิ่วหมิงโบกมือ มังกรหมอกก็สลายตัวเป็นไอดำม้วนกลับมา และกะพริบเข้าไปในร่างของเขา

ฝ่ายตรงข้ามเป็นชายที่มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ยเล็ก สวมชุดดำทั้งตัว เผยให้เห็นแค่ดวงตาสีเขียวเล็กๆ เท่านั้น ดูเหมือนเขาจะนึกไม่ถึงว่าหลิ่วหมิงจะถามเช่นนี้ จึงมองมาด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

“ดูท่าเจ้าคงเพิ่งมาใหม่ล่ะสิ? ในเมื่อเป็นเช่นนี้ก็มอบวิญญาณมาให้ข้าแต่โดยดีเถอะ!” ชายชุดดำหัวเราะด้วยน้ำเสียงแหบแห้ง จากนั้นก็คิดที่จะลงมืออีกครั้ง

พอหลิ่วหมิงได้ยินก็มองชายผู้นี้ด้วยแววตาเย้ยหยัน

พอชายชุดดำเห็นสายตาของหลิ่วหมิง ก็รับรู้ถึงสถานการณ์ไม่ดีทันที หลังจากครุ่นคิดอย่างรวดเร็วแล้ว กลับร่นถอยออกไป

แต่ขณะนั้นเอง แสงสีดำไร้ขอบเขตก็พุ่งออกมาจากด้านหลังหลิ่วหมิง มันม้วนตัวมาข้างหน้าแค่ทีเดียว ก็ปกคลุมอากาศในพื้นที่ระยะหลายสิบจั้งไว้

ชายชุดดำรู้สึกแค่ว่าภาพตรงหน้ามืดลง จากนั้นก็ตกอยู่ในคุกมืด ประสาทสัมผัสทั้งห้าพร่ามัวขึ้นมา ในใจเขาทั้งตกใจและโมโห

แต่คนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ จึงใจลอยแค่แวบเดียวก็ได้สติกลับมา หลังจากส่งเสียงคำรามด้วยความโมโห ประกายน้ำก็เปล่งประกายบนตัว และระเบิดออกมาทันที  ไอน้ำจำนวนไม่น้อยลอยขึ้นมา พริบตาเดียวก็สั่นสะเทือนจนคุกมืดสลายไปอย่างรวดเร็ว

แต่พอเขาเห็นสถานการณ์อย่างชัดเจน ไอเย็นก็ม้วนตัวตรงหน้า ภาพตรงหน้าวิวทิวทัศน์ดูวุ่นวายทันที โลกทั้งใบพลิกคว่ำในฉับพลัน

พริบตาที่ศีรษะของเขาทะลุออกไปนอกคุกมืดนั้น ก็ถูกกระบี่บินสีทองจางๆ ม้วนตัวมาฟันอย่างรวดเร็วจนไม่อาจรับรู้ได้ ทำให้เขาไม่ทันได้รู้สึกเจ็บปวดเลยแม้แต่น้อย

“ฟิ้ว!” วิญญาณของเขากลายเป็นแสงสีเขียวพุ่งขึ้นฟ้าเพื่อคิดจะหลบหนีไปไกลๆ

แต่ทว่ากระบี่บินสีทองจางๆ เพียงหมุนตัวแค่ทีเดียว ก็กลายเป็นปราณกระบี่สีทองอันแน่นขนัด พริบตาเดียวก็แทงวิญญาณดวงนี้จนเกิดรูนับน้อยนับพัน ในที่สุดมันก็สลายไปท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

ขณะนี้ ภายใต้การโบกมือข้างหนึ่งของหลิ่วหมิง กระบี่บินสีทองจางๆ ก็พุ่งหายเข้าไประหว่างคิ้วอย่างไร้ร่องรอย

ตั้งแต่เขากระตุ้นพลังคุกมืดจนถึงตอนที่ปล่อยกระบี่บินว่างเปล่าออกไปสังหารฝ่ายตรงข้ามนั้น ใช้เวลาไม่ถึงสามสี่ลมหายใจ

ขณะนี้ ร่างไร้ศีรษะของชายชุดดำก็ร่วงลงด้านล่าง โลหิตที่พุ่งออกมาจากคอทำให้ทิ้งเงาไว้กลางอากาศ

หลิ่วหมิงถอนหายใจยาวออกมา สีหน้าของเขาค่อยๆ ผ่อนคลายลง

ที่เขาสามารถสังหารผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้นได้อย่างง่ายดายเช่นนี้ ตัวเขาเองก็รู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

ประการแรก คงเป็นเพราะว่าพลังแท้จริงของชายชุดดำผู้นี้ อยู่ในระดับต่ำสุดของระดับแก่นแท้

ประการที่สอง ฝ่ายตรงข้ามคงคาดเดาพลังแปลกประหลาดของคุกมืด และกระบี่บินพลังจิตวิญญาณที่ซ่อนตัวอยู่ไม่ถึง จึงถูกสังหารในทีเดียวเช่นนี้ มิเช่นนั้น พริบตาที่ชายชุดดำถูกขังอยู่ในคุกมืด เพียงแค่แสดงวิชาป้องกันออกมาก่อน หลิ่วหมิงก็ไม่อาจสังหารเขาได้ง่ายดายเช่นนี้

หลิ่วหมิงคิดวิเคราะห์อยู่ในใจ พอสะบัดแขนเสื้อ ไอดำก็ม้วนตัวออกมา และม้วนเอาศพไร้ศีรษะเข้ามาตรงหน้า

ขณะนั้นเอง ศพของชายผู้นี้ก็พร่ามัวอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นร่างส่วนบนก็กลายเป็นวิหค ส่วนล่างกลายมัจฉาแปลกประหลาด บริเวณหน้าอกเต็มไปด้วยเกล็ดที่มีขนาดเท่าเล็บมือ

“ที่แท้ก็เป็นผู้ฝึกฝนปีศาจ!”

หลิ่วหมิงพูดพึมพำออกมา พอโบกมือข้างหนึ่ง  ยันต์เก็บของที่ปกคลุมด้วยเกล็ดก็ม้วนออกจากร่างของชายชุดดำ และถูกดูดเข้ามาในมือ เขาปล่อยจิตกวาดดูด้านในเล็กน้อย ทันใดนั้นก็ต้องส่ายหน้า และเก็บมันเข้าไปด้วยความผิดหวัง

ยันต์เก็บของผืนนี้ นอกจากจะมีหินจิตวิญญาณกับโอสถที่หาได้ทั่วไปจำนวนหนึ่งแล้ว ก็ไม่มีสิ่งของอื่นใดที่มีค่าเลย แม้แต่อาวุธจิตวิญญาณระดับสุดยอดเพียงชิ้นเดียวก็ไม่มี

ดูท่าหากไม่ใช่ว่าผู้ฝึกฝนปีศาจผู้นี้ยากจนอย่างถึงที่สุด ก็อาจเป็นไปได้ว่าเป็นพวกที่ยึดมั่นในกรอบที่เก่าคร่ำครึ

จะว่าไปแล้ว เนื่องจากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจมีพรสวรรค์แตกต่างกัน อายุก็ยืนยาว ทั้งยังมีกายเนื้อแข็งแกร่งกว่ามนุษย์มาก ด้วยเหตุนี้ดังแต่สมัยบรรพกาลเป็นต้นมา คนเผ่าปีศาจต่างก็รังเกียจการใช้อาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวทที่เป็นพลังภายนอกเช่นนี้  เพราะคิดว่านี่เป็นการเล่นเอาเปรียบ และไม่ใช่เส้นทางการฝึกฝนที่แท้จริง

“ถ้าจะเสียเวลากับสิ่งของภายนอก ไม่สู้เอาเวลาไปฝึกฝนพลังของตนเองจะดีกว่า”

นี่เป็นภาษิตโบราณที่นิยมกันมากในเผ่าปีศาจ ตั้งแต่โบราณมาจนถึงตอนนี้ มีเผ่าปีศาจจำนวนมากที่ยึดเอาความคิดเช่นนี้ ที่จริงมันก็มีเหตุผลอยู่ เพราะพอฝึกฝนจนถึงระดับหนึ่งแล้ว ร่างของผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจส่วนมากจะเหนือกว่าอาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวททั่วไปแล้ว

แต่ทว่าพอเวลานานเข้านานเข้า ขณะที่ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจนับไม่ถ้วนต่อสู้กับมนุษย์ผู้ฝึกฝนนั้น ต่างก็เสียชีวิตภายใต้อาวุธจิตวิญญาณ และอาวุธเวทของฝ่ายตรงข้ามนับไม่ถ้วน ซึ่งบางส่วนยังมีระดับการฝึกฝนสูงกว่าฝ่ายตรงข้ามด้วยซ้ำ

 พอเห็นจนชินหูชินตาเช่นนี้ เผ่าปีศาจจำนวนมากก็ค่อยๆ เริ่มเปลี่ยนความคิด และเริ่มสร้างอาวุธจิตวิญญาณ อาวุธเวทมาเป็นพลังเสริมภายนอก

แต่มาจนถึงทุกวันนี้ ยังคงมีเผ่าปีศาจจำนวนหนึ่งที่ยังคงความคิดในสมัยบรรพกาลอยู่ และไม่ยอมใช้อาวุธจิตวิญญาณอาวุธเวทใดๆ เลย เอาแต่ลำบากฝึกฝนเพื่อทำให้ร่างของตนเองกลายเป็นของล้ำค่าเท่านั้น

หลิ่วหมิงปล่อยลูกเปลวไฟออกมาหลายลูก หลังจากจัดการศพครึ่งวิหคครึ่งมัจฉาได้แล้ว ก็ยืนคิดไตร่ตรองอยู่บนอากาศเงียบๆ

คำพูดของมนุษย์มัจฉาในเมื่อครู่ ทำให้เขารู้สึกสนใจเป็นอย่างมาก

จากคำพูดที่ว่า “สถานการณ์ในที่แห่งนี้” “คนใหม่” ทำให้เขาคาดการณ์ออกมาได้ว่า ในสถานที่แห่งนี้ยังมีผู้ฝึกฝนคนอื่นๆ อยู่ไม่น้อย ทั้งยังดูเหมือนว่าจะถูกขังไว้ในช่วงเวลาหนึ่ง

ส่วนจุดประสงค์ในการทำเช่นนี้ของปีศาจสายฟ้านั้น เขากลับไม่อาจคาดเดาได้

“ช่างเถอะ! ตอนนี้ก็ค่อยๆ จัดการไปตามสถานการณ์ก่อน…”

สีหน้าหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปเปลี่ยนมาอยู่ครู่หนึ่ง หลังจากส่ายหน้าแล้วก็ขี่เมฆเดินทางต่อ

……

สองวันต่อมา

มีเสียงดังกึกก้องติดต่อกันในหุบเขาแห่งหนึ่งที่มีขนาดไม่ค่อยใหญ่มากนัก

จะเห็นว่ามีเงาร่างสองเงากำลังปะทะกันอยู่ตลอดเวลา มีประกายแสงสีต่างๆ พุ่งไปมาอย่างดุเดือด และเกินคลื่นอากาศสั่นสะเทือนอย่างรุนแรงเป็นพักๆ

ภูเขาหินทั้งสองด้านของหุบเขา ถูกการต่อสู้อย่างรุนแรงของทั้งสองสั่นสะเทือนจนสั่นไหวอยู่ไม่หยุด และหินก้อนขนาดใหญ่ก็กลิ้งลงมา

เงาร่างหนึ่งในนั้นสวมหน้ากากวานรยักษ์แปลกประหลาด เขาก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ในระหว่างที่เขาดีดนิ้วเบาๆ ปราณกระบี่สีทองก็พุ่งยิงออกไปสามสาย และพุ่งเข้าใส่จุดสำคัญทั้งสามจุดของฝ่ายตรงข้าม

แต่ทว่าในขณะนั้นเอง แสงโลหิตสามลำก็พุ่งออกไปรับมือกับปราณกระบี่ทั้งสาม ขณะที่เกิดเสียงดัง “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” “ฟิ้ว!” ติดต่อกัน ทั้งสองก็ปะทะกันจนระเบิดแสงเจิดจ้าออกมา

ทันทีที่สีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไป ไอดำก็พวยพุ่งออกจากร่าง จากนั้นร่างของเขาก็กลายเงาสีดำสลัวๆ ก่อนพุ่งยิงไปกลางอากาศ

เกือบจะในเวลาเดียวกัน เงาโลหิตก็ปรากฏตัวกลางอากาศ จากนั้นชายวัยกลางคนที่สวมชุดสีแดงเลือดก็ปรากฏออกมา ในมือถือแส้สีขาวหิมะที่มีขนาดยาวฉื่อกว่าๆ

หลิ่วหมิงส่งเสียงตะคอกออกมา ภายใต้การพร่ามัวของมือทั้งสอง เงากำปั้นสีดำแน่นขนัดก็โจมตีใส่ชายวัยกลางคน

เงากำปั้นพุ่งออกไปได้ครึ่งทาง ก็ถูกแสงสีขาวจางๆ ล้อมรอบไว้ และสลายไปท่ามกลางเสียงที่ดังอู้อี้

ขณะนี้ชายวัยกลางคนถึงเก็บแส้ และร่นถอยออกไปสองก้าว

“พลังแท้จริงของสหายลึกล้ำจนยากจะคาดเดาได้ ท่านกับข้าเดิมทีก็เป็นมนุษย์ผู้ฝึกฝนเหมือนกัน และก็ไม่มีความแค้นใดๆ กันด้วย หากต่อสู้กันต่อไป ก็ไม่เป็นผลดีต่อใครทั้งนั้น ไม่สู้จบกันแค่นี้ดีหรือไม่?” ดวงตาชายวัยกลางคนเป็นประกายสองสามที และสะบัดแส้ในมือโดยไม่คิดจะโจมตีต่อ แต่กลับกล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ได้! ข้าก็มีความคิดเช่นนี้เหมือนกัน” หลิ่วหมิงได้ยินก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย หลังจากคิดไตร่ตรองแล้วก็พยักหน้าเห็นด้วย

“เช่นนี้ก็ดี หวังว่าอีกไม่นานจะได้พบกับสหายอีกครั้ง ในนี้มีมนุษย์ไม่ค่อยมาก” ชายวัยกลางคนได้ยิน ก็เผยรอยยิ้มออกมา หลังจากประสานมือคารวะหลิ่วหมิงแล้ว ก็ค่อยๆ เหาะออกไปด้านหลัง แต่สายตากลับมองดูหลิ่วหมิงอยู่ตลอดเวลา

หลังจากเขาถอยออกไปได้ร้อยกว่าจั้งแล้ว ถึงหมุนตัวสะบัดแส้ในมือ และกลายเป็นแสงสีขาวพุ่งออกไปอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงก็จ้องมองชายวัยกลางคนอย่างไม่วางตาเช่นกัน รอจนเขาหายลับไปจากขอบฟ้าแล้ว ถึงเผยสีหน้าครุ่นคิดออกมา

ชายวัยกลางคนผู้นี้มีการฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นต้น แต่ประสบการณ์ต่อสู้โชกโชนมาก ซึ่งแตกต่างจากชายชุดดำเผ่าปีศาจในก่อนหน้าโดยสิ้นเชิง

คนผู้นี้เหมือนกับหลิ่วหมิง ไม่เพียงแต่เป็นวิชาจำนวนมาก กายเนื้อก็แข็งแกร่งเป็นพิเศษ ส่วนแส้ในมือก็เป็นต้นแบบอาวุธเวทที่ใช้โจมตีและป้องกันได้ ซึ่งมีอานุภาพไม่น้อย

หลังจากทั้งสองต่อสู้ไปสิบกว่ากระบวนท่า ต่างก็รู้อยู่แก่ใจดีว่า นอกจากจะพยายามแสดงวิธีการต่างๆ ออกมาอย่างสุดชีวิตเท่านั้น มิเช่นนั้นหากต่อสู้ต่อไปเช่นนี้ ก็จะไม่เกิดผลลัพธ์ใดๆ ทั้งยังสิ้นเปลืองพลังเวทด้วย

ด้วยเหตุนี้จึงเกิดเหตุการณ์ที่บอกให้ฝ่ายตรงข้ามยุติการต่อสู้เพียงเท่านี้

สายตาหลิ่วหมิงเป็นประกายสองสามที จากนั้นก็หันตัวพุ่งไปยังทิศทางตรงกันข้ามกับชายวัยกลางคน

เนื่องจากแดนลึกลับแห่งนี้ไม่มีเวลากลางวันกลางคืน จากการคาดการณ์ในใจ เขาคงมาถึงที่นี่เป็นเวลาราวๆ สามสี่วันแล้ว หลังจากเผชิญกับผู้แข็งแกร่งจำนวนมาก เขาก็เริ่มคาดเดาสถานการณ์ในนี้ได้ลางๆ แล้ว

ทุกอย่างเหมือนกับที่เขาคาดการณ์ไว้ ที่แท้ผู้ฝึกฝนเผ่าต่างๆ ที่อยู่ในแดนลึกลับแห่งนี้ ต่างก็ถูกปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กที่มีการฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์จับตัวมา

ถ้าจะย้อนกลับไปหาคนที่ถูกจับครั้งแรก ก็น่าจะไม่ต่ำกว่าสิบปีแล้ว

แต่ที่น่าแปลกใจก็คือ สมบัติติดตัวของผู้ฝึกฝนทั้งหมดที่ถูกจับมาไว้ที่นี่ กลับไม่ถูกเอาไปเลยแม้แต่น้อย และผู้แข็งแกร่งเผ่าปีศาจระดับดาราพยากรณ์ทั้งสอง ก็ไม่เคยเข้ามาแทรกแทรงเรื่องที่เกิดขึ้นในแดนลึกลับแต่อย่างใด

ปราณจิตวิญญาณในนี้ก็เบาบางกว่าโลกภายนอกไม่น้อย การฟื้นฟูของพลังเวทก็ช้ากว่ามาก ด้วยเหตุนี้นอกจากจะอาศัยโอสถและยันต์แล้ว ผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจบางส่วนก็ใช้วิธีการสังหารผู้ฝึกฝนอื่นๆ เพื่อแย่งชิงโอสถ หินจิตวิญญาณ และดูดวิญญาณมาเสริมพลังของตนเอง

ด้วยเหตุนี้จึงก่อให้เกิดวิกฤติการต่อสู้อยู่ไม่หยุด เดิมทีแดนลึกลับแห่งนี้ยังมีผู้ฝึกฝนระดับผลึกหลากหลายเผ่าอยู่จำนวนหนึ่ง แต่ก็ถูกระดับแก่นแท้สังหารจนหมดสิ้น

เกรงว่าในตอนนี้ หลิ่วหมิงคงเป็นผู้ฝึกฝนที่มีการฝึกฝนต่ำกว่าระดับแก่นแท้เพียงหนึ่งเดียวในแดนลึกลับแห่งนี้แล้ว

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด