ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 697 ผู้ฝึกฝนปีศาจชุดม่วง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 697 ผู้ฝึกฝนปีศาจชุดม่วง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“หากไม่ใช่ว่าท่านทั้งสองช่วยกันตรึงมันไว้ ไหนเลยข้าจะสามารถลงมือได้โดยง่าย” หลิ่วหมิงส่ายหน้ากล่าวออกมา

แม้ว่าการต่อสู้ในครั้งนี้จะใช้เวลาไม่มาก แต่ระดับความรุนแรงก็ไม่ใช่เรื่องน้อยๆ

นอกจากหลิ่วหมิงจะไม่เป็นอะไรแล้ว หวงอิ๋งกับผู้อาวุโสขุยมู่ต่างก็ได้รับบาดเจ็บไม่เบา แมงป่องกระดูกกับหัวบินยิ่งได้รับบาดเจ็บอย่างถึงขีดสุด

แต่พอเขาปราดตามองศพปีศาจโคดำที่อยู่ไม่ไกลแล้ว ก็นึกอะไรบางอย่างขึ้นมาได้ จึงรีบเดินเข้าไปทันที

‘เชอฮ่วน’ เคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์ที่เขาวาดขึ้นมา จำเป็นต้องใช้โลหิตปีศาจโคที่มีระดับการฝึกฝนยิ่งสูงก็ยิ่งดี และโลหิตของของปีศาจโคดำระดับแก่นแท้นี้ ก็เป็นสิ่งที่เหมาะสมเป็นอย่างยิ่ง

เขายืนอยู่ตรงหน้าศพปีศาจโคดำ พอพลิกฝ่ามือ ขวดหยกสีขาวขนาดใหญ่ก็ปรากฏออกมา พอโบกมือข้างหนึ่งออกไป แถบโลหิตก็พุ่งออกจากคอ และถูกดูดเข้าไปในขวดหยกบนมือเขา

ไม่นาน เขาก็รวบรวมโลหิตปีศาจโคดำมาได้หนึ่งขวดใหญ่

ผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งเห็นฉากเช่นนี้ ต่างก็มองหน้ากันทีหนึ่ง แต่ก็รู้ว่าอะไรควรไม่ควร จึงไม่ได้ซักถามอะไรให้มากความ

หลิ่วหมิงมองดูโลหิตบริสุทธิ์ในมือ และพยักหน้าด้วยความพอใจ หลังจากเก็บมันเข้าไปแล้ว ก็ถือโอกาสหยิบยันต์เก็บของบนเอวปีศาจโคดำขึ้นมา พอไอดำสายหนึ่งแตะลงไป สิ่งของทั้งหมดที่อยู่ด้านในก็เทออกมา

โอสถ อาวุธจิตวิญญาณ และอื่นๆ ไม่ต้องพูดถึง ในนั้นยังมีป้ายอาญาสิทธิ์สีเทาสลัวๆ อยู่สี่อัน

“ดีมาก! ได้ป้ายอาญาสิทธิ์มาอีกสี่อัน ครั้งนี้พวกเรามีโอกาสหนีไปจากแดนลึกลับแห่งนี้ไม่น้อยแล้ว” ผู้อาวุโสขุยมู่เห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเฮ่อๆ! ก่อนกล่าวออกมา

“บวกกับป้ายอาญาสิทธิ์ในตอนนี้ ในมือข้ามีทั้งหมดแปดอันแล้ว” หลิ่วหมิงกล่าวด้วยแววตาที่เป็นประกาย ขณะเดียวกันก็ยกแขนเสื้อเก็บสิ่งของตรงหน้ารวมถึงดาบยาวรูปเขาโคที่หล่นอยู่ข้างๆ เข้าไปในแหวนย่อส่วนอย่างไม่เกรงใจ

ผู้อาวุโสขุยมู่มองดูดาบรูปเขาโคด้วยแววตาเร่าร้อน สีหน้าเขาดูเหมือนอยากจะพูดอะไรออกมาแต่ก็หยุดไว้เช่นนั้น เขาย่อมอยากได้มันเป็นธรรมดา แต่ก็ทำท่าทีเมินเฉยไว้

“ดูจากข้อมูลที่ได้มาจากผู้ฝึกฝนปีศาจผมฟ้าผู้นั้น ศิษย์ของปีศาจสายฟ้ากับปีศาจเหล็กที่เข้ามาในแดนลึกลับมีทั้งหมดสิบสี่คน ถ้าอย่างนั้นก็ยังขาดป้ายอาญาสิทธิ์อีกหกอัน” ผู้อาวุโสขุยมู่กล่าวด้วยสีหน้าลังเล

“เห็นได้ชัดว่าปีศาจโคดำเป็นศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของปีศาจเหล็ก ตอนนี้ในบรรดาศิษย์ที่เข้ามาในนี้ ยังมีผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลางของปีศาจสายฟ้าผู้นั้น ดูจากสถานการณ์ที่พวกเรารอคอยอยู่ที่นี่ในหลายวันมานี้ มีความเป็นได้ว่าจะเหลือเขาแค่คนเดียวแล้ว” หวงอิ๋งได้ใช้ยันต์หลายผืนมาห้ามเลือดบนแขนขวาตั้งนานแล้ว ตอนนี้นางกล่าวด้วยใบหน้าซีดขาว

“ท่านเซียนหวงวิเคราะห์ได้ไม่ผิด มีความเป็นไปได้ว่าในแดนลึกลับนี้ นอกจากพวกเราสามคนแล้ว ผู้ฝึกฝนต่างเผ่าคนอื่นๆ อาจจะเสียชีวิตไปหมดแล้วก็ได้” ผู้อาวุโสขุยมู่ได้ยินก็พยักหน้ากล่าว

“ในเมื่อพูดเช่นนี้ ศัตรูตัวฉกาจของเราในตอนนี้ ก็จะเหลือแค่ศิษย์ที่แข็งแกร่งที่สุดของปีศาจสายฟ้าผู้นั้นแล้ว หากเราทั้งสามรวมพลังกันล่ะก็ คงจัดการเขาได้ไม่ยาก ภารกิจเร่งด่วนในตอนนี้ พวกท่านทั้งสองรีบฟื้นฟูอาการบาดเจ็บให้ไวที่สุด จากนั้นก็รอให้เขาเข้ามาหาถึงที่” หลิ่วหมิงกวาดสายตามองดูทั้งสองแล้วกล่าวออกมา

ผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งได้ยินเช่นนี้ ย่อมไม่มีข้อคัดค้านแต่อย่างใด แม้ว่าเมื่อครู่จะเสี่ยงอันตรายเอาชนะปีศาจโคดำได้ แต่พอทั้งสามนึกถึงเรื่องที่จะต้องเผชิญหน้ากับผู้แข็งแกร่งระดับแก่นแท้ขั้นกลางผู้หนึ่ง พวกเขาย่อมไม่กล้าชักช้าแต่อย่างใด

หลังจากผ่านศึกในครั้งนี้ ไม่เพียงแต่พวกเขาทั้งสองที่ได้รับบาดเจ็บสาหัสเท่านั้น หลิ่วหมิงเองก็สูญเสียพลังเวทไปไม่น้อย

เวลาต่อมา ทั้งสามก็พักผ่อนฟื้นฟูพลังของตัวเอง

เพื่อฟื้นฟูพลังเวทของตนเองให้ได้ไวที่สุด ผู้อาวุโสขุยมู่ไม่เสียดายอายุขัยเลยแม้แต่น้อย เขาใช้เคล็ดวิชาพฤกษาแห้งพบหยาดพิรุณอีกครั้ง ระยะเวลาเพียงแค่ครึ่งวันก็ฟื้นฟูสู่สภาพที่สมบูรณ์ที่สุดแล้ว จากนั้นก็วางค่ายกลจำนวนมากโดยไม่รอรี

ทางด้านหวงอิ๋งก็ทานโอสถไม่ทราบชื่อชนิดหนึ่ง หลังจากนั่งสมาธิไปสามวันสามคืน แขนขวาที่ขาดไปก็งอกออกมาใหม่อีกครั้ง

และเคล็ดวิชาภาพสัญลักษณ์บนตัวหลิ่วหมิงก็ใกล้จะหมดอายุแล้ว เขาจึงใช้โลหิตปีศาจโคระดับต่ำมาวาดใหม่อีกรอบ

แม้ว่าจะได้โลหิตของปีศาจโคระดับแก่นแท้มา แต่การวาดภาพสัญลักษณ์ที่แท้จริงต้องใช้เวลาไม่น้อย สถานการณ์ของแดนลึกลับในตอนนี้ ไม่เหมาะที่จะทำเรื่องเช่นนี้

พริบตาเดียว เวลาก็ผ่านไปห้าหกวันแล้ว

แต่ทว่าในระหว่างเวลานั้น กลับไม่มีผู้ฝึกฝนปีศาจหรือผู้ฝึกฝนต่างเผ่าคนใดมาปรากฏตัวเลย ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงได้ใช้ชีวิตอย่างสงบอยู่ช่วงหนึ่ง และฟื้นฟูพลังมาได้พอประมาณแล้ว

ภายในถ้ำในขณะนี้ ผู้อาวุโสขุยมู่กำลังใช้สองมือประคองแผ่นค่ายกลอยู่ มีแสงสีเขียวไหลวนอยู่บนนั้นอย่างไม่ขาดสาย

“หลังจากสังหารปีศาจโคดำ พวกเราก็รออยู่ที่นี่มาหลายวันแล้ว แต่กลับไม่เห็นคนผู้นั้นมาปรากฏตัวเลย เป็นไปได้ไหมว่าจะเกิดเรื่องที่คาดไม่ถึง?” หวงอิ๋งขมวดคิ้วแล้วกล่าวด้วยสีหน้าไม่สบายใจ

“เป็นไปได้ว่าคนผู้นั้นอาจจะจับตาดูพวกเราแล้ว แม้กระทั่งอาจจะค้นพบว่าพวกเราสังหารปีศาจโคดำไป ด้วยเหตุนี้จึงรอคอยจังหวะอย่างเงียบๆ โดยที่ยังไม่ปรากฏตัวออกมา” ผู้อาวุโสขุยมู่จ้องมองแผ่นค่ายกลสีเขียวในมือ และขมวดคิ้วกล่าวออกมาเช่นกัน

“แต่หากจะเข้าแดนต้องห้าม ก็ต้องได้ป้ายอาญาสิทธิ์ทั้งหมดก่อน บนตัวคนผู้นี้มีมากสุดก็คงไม่เกินหกอัน ในเมื่อตอนนี้ไม่ยอมปรากฏตัวออกมา พวกเราก็เป็นคนลงมือก่อนเถอะ เพราะหากยืดเวลานานเข้า เฒ่าประหลาดที่อยู่ด้านนอกอาจรับรู้ถึงสถานการณ์ในนี้ และยื่นมือเข้ามาสอดแทรกได้” หลิ่วหมิงเงียบไปพักหนึ่ง จากนั้นถึงค่อยๆ กล่าวออกมา

“ข้าเห็นด้วยกับคำพูดของสหายหลิ่ว แม้ว่าในตอนนี้ที่นี่จะเงียบสงบมาก แต่ก็ไม่อาจอยู่นานได้ เพื่อหลีกเลี่ยงเวลาที่ยาวนานอุปสรรคก็จะยิ่งมาก ไม่สู้พวกเราไปดูที่ใจกลางแดนลึกลับจะดีกว่า” ผู้อาวุโสขุยมู่เงยหน้าขึ้นมากล่าว

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ออกเดินทางกันเร็วหน่อยเถอะ!” หวงอิ๋งคิดไปคิดมาอยู่ครู่หนึ่ง จากนั้นก็ลุกขึ้นมาปรับสภาพให้คุ้นชิ้นกับแขนขวาอันใหม่เล็กน้อย และนางก็เห็นด้วยกับข้อเสนอแนะของหลิ่วหมิง

ดังนั้นหลังจากทั้งสามหารือกันเล็กน้อยแล้ว ก็ออกจากถ้ำหลังเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป และทะยานฟ้าไปยังใจกลางแดนลึกลับ

ในระหว่างทางไม่พบผู้ฝึกฝนต่างเผ่าคนใดเลย การเดินทางค่อนข้างราบรื่นเป็นอย่างมาก

สองวันต่อมา ท่ามกลางเทือกเขาทอดยาวบางแห่งที่ตั้งอยู่ใกล้กับใจกลางแดนลึกลับ หลิ่วหมิงทั้งสามกำลังเหินเวหาแบบต่ำๆ และสำรวจดูความเคลื่อนไหวรอบด้านอยู่ตลอดเวลา

ตามแผนที่บ่งชี้บนป้ายอาญาสิทธิ์ สถานที่แห่งนี้อยู่ห่างจากใจกลางแดนลึกลับไม่มากแล้ว ด้วยเหตุนี้ทั้งสามจึงลดความเร็วในการเหินเวหาลง

หลิ่วหมิงที่เหินเวหาอยู่ตรงหน้าสุดพลันหยุดชะงักลง และตะโกนออกมาเบาๆ

“ช้าก่อน! มีคน!”

ผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งได้ยิน ก็มีสีหน้าเปลี่ยนไปทันที ทันใดนั้นพวกเขาก็หยุดชะงักลงเช่นกัน และกวาดจิตสำรวจดูรอบด้าน แต่กลับดูเหมือนว่าไม่ค้นพบความผิดปกติแต่อย่างใด จึงมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้างุนงงอย่างอดไม่ได้

ขณะนั้นเอง ด้านข้างก้อนหินยักษ์ที่อยู่ห่างจากตรงหน้าทั้งสามไปไม่ไกล พลันมีคลื่นสั่นสะเทือนขึ้นมา จากนั้นเงาร่างผอมบางสีม่วงก็ค่อยๆ ปรากฏออกมา เขาเป็นชายหนุ่มร่างผอมที่สวมชุดสีม่วงผู้หนึ่ง

คนผู้นี้กำลังเอามือกอดอกยืนพิงอยู่ข้างก้อนหินยักษ์ ใบหน้าและหน้าผากเต็มไปด้วยลวดลายแปลกประหลาด และกำลังจ้องมองทั้งสามอย่างเย็นชา

“คิดไม่ถึงว่าจะค้นพบข้าได้ ดูท่าที่พวกเจ้าทั้งสามมีชีวิตอยู่จนถึงตอนนี้ คงไม่ได้อาศัยดวงเพียงอย่างเดียว!” ชายผู้นี้กวาดสายตามองดูพวกเขาทั้งสาม และก็มาหยุดอยู่บนตัวหลิ่วหมิงด้วยท่าทีสนใจ

ผู้อาวุโสขุยมู่กับหวงอิ๋งมีสีหน้าดูไม่ได้ขึ้นมาทันที

เห็นชัดๆ ว่าคนผู้นี้ซ่อนตัวอยู่ตรงหน้าไม่ไกล พวกเขาทั้งสองกลับไม่ค้นพบเลยแม้แต่น้อย หากหลิ่วหมิงไม่เตือน แล้วพวกเขาเดินเข้าไปเช่นนี้ ก็ไม่เท่ากับว่าถูกลอบโจมตีจังๆ หรอกหรือ

“ระวัง! คนผู้นี้แปลกประหลาดมาก ดูจากกลิ่นไอเยือกเย็นที่แผ่ออกมาจากตัว ระดับการฝึกฝนจะต้องไม่ด้อยไปกว่าปีศาจโคดำอย่างแน่นอน คิดว่าคงเป็นศิษย์ที่เข้าร่วมทดสอบคนสุดท้ายแล้ว” ผู้อาวุโสขุยมู่มองดูคนผู้นี้ด้วยสีหน้าอึมครึม และส่งเสียงเตือนหลิ่วหมิงกับหวงอิ๋งเบาๆ

“เอ๋! คิดไม่ถึงว่าผู้ที่มาในตอนท้ายจะเป็นคนจากเผ่าอื่น ดูท่าเจ้าโง่ชิงหลัวคงจะตายในเงื้อมมือของพวกเจ้าแล้ว ช่างน่าผิดหวังเสียจริง!” เงาร่างชายชุดม่วงบิดตัวแปลกประหลาด จากนั้นก็มาปรากฏตัวกลางอากาศที่อยู่ห่างจากทั้งสามไปไม่ไกล หลังจากมองดูคนทั้งสามทีหนึ่งแล้ว ก็กล่าวอย่างทระนงตน

พอเห็นฉากเช่นนี้ พวกเขาทั้งสามก็สบตากันทีหนึ่ง จากนั้นก็แยกตัวออกไปพร้อมกันโดยมิได้นัดหมาย

หลิ่วหมิงเขม้นตามองด้วยสีหน้าเคร่งขรึม เมื่อครู่ท่าร่างของคนผู้นี้แปลกประหลาดเป็นอย่างมาก ไม่เพียงแต่จะเคลื่อนไหวอย่างคล่องแคล่ว ทั้งยังรวดเร็วเป็นอย่างมาก ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกราวกับว่าไม่มีน้ำหนักเลยแม้แต่น้อย ดูท่าวิชาที่ฝึกฝนคงจะค่อนข้างพิเศษ

“หากรู้ตัวว่าควรจะทำเช่นไรล่ะก็ รีบมอบป้ายอาญาสิทธิ์บนตัวพวกเจ้าออกมาซะโดยดี! ข้าอาจจะให้พวกเจ้าไปเกิดใหม่ก็ได้ ไม่อย่างนั้นล่ะก็ เฮ่อๆ!…” ชายชุดม่วงยิ้มมุมปาก และเผยให้เห็นฟันสีขาวโพลน

“มาดในการพูดของท่านไม่เบานิ! พวกข้ามีตั้งสามคน คิดจริงๆ หรือว่าจะสามารถเอาชนะได้?” ผู้อาวุโสขุยมู่หัวเราะอย่างเยือกเย็นขัดจังหวะพูดของชายชุดม่วง จากนั้นก็นำหลาวสีเหลืองออกมาเล่มหนึ่ง

“ฮึ! เตือนด้วยความหวังดีก็ไม่ฟัง ในเมื่อเป็นเช่นนี้ ข้าจะเอาวิญญาณของพวกเจ้ามาเอง!” ชายชุดม่วงได้ยินเช่นนี้ ก็มีสีหน้าอึมครึมลง ชุดสีม่วงบนตัวโบกสะบัดไปมา

หลิ่วหมิงดวงตาเป็นประกาย ไอดำรอบตัวพวยพุ่งออกมานานแล้ว พอร่างของเขาพร่ามัว ก็มาปรากฏตัวอยู่ห่างจากด้านหลังของชายชุดม่วงไปไม่ไกล พอขยับแขนทั้งสองข้าง ไอดำสองสายที่ดูคล้ายกับมังกรว่ายน้ำ ก็พวยพุ่งเข้าหาชายชุดม่วงอย่างโหดเหี้ยม

หวงอิ๋งก็ขยับปากเล็กน้อย ไม่รู้ว่ามีวงแหวนที่เป็นอาวุธจิตวิญญาณคู่หนึ่งปรากฏอยู่บนมือตั้งแต่เมื่อไหร่ วงหนึ่งเป็นทองคำ อีกวงเป็นหยก จะเห็นมือขวาของนางถือวงแหวนทองคำกระทบกับวงแหวนหยกบนมือขวาเบาๆ พอทั้งสองปะทะกัน ก็เกิดเสียงดังกังวานออกมา

แสงสีทองเปล่งประกายขึ้นฟ้า คลื่นเสียงสีทองอร่ามพุ่งเข้าใส่ชายชุดม่วงโดยตรง

ขณะเดียวกัน หลาวของผู้อาวุโสขุยมู่ก็พุ่งเข้าใส่ชายชุดม่วงตรงหน้าอย่างรวดเร็วจนเกิดเป็นเงาพุ่งตามมาติดๆ

ทั้งสามเคยต่อสู้กับปีศาจโคดำด้วยกันมาก่อน จึงเข้าขากันได้อย่างลงตัว

ชายชุดม่วงเห็นเช่นนี้ ก็เผยแววตาเยือกเย็นออกมา มือทั้งสองพลิกขึ้นมาอย่างว่องไว และทำท่ามือรูปดอกบัวอยู่ตรงหน้า ดอกบัวสีม่วงขนาดเท่าจันทราสีเงินเบ่งบานในพริบตา แต่พอเขาเปลี่ยนท่ามือ ดอกบัวสีม่วงก็หมุนตัวกลางอากาศ กลีบดอกแต่ละกลีบค่อยๆ หลุดออกมา และกลายเป็นคมวายุสีม่วงสิบกว่าสาย พริบตาเดียวก็พุ่งออกไปรับมือกับหลาวสีเหลืองของผู้อาวุโสขุยมู่พร้อมเสียงแผดร้อง

“ฉับๆ!” เกิดเสียงดังอยู่ไม่หยุด!

คมวายุสีม่วงฟันลงบนหลาวสีเหลืองอย่างต่อเนื่อง แต่พอแสงสีเหลืองสลายไป หลาวสีเหลืองก็กระเด็นกลับมา และคมวายุสีม่วงก็พุ่งเข้าหาผู้อาวุโสขุยมู่โดยที่อานุภาพของมันไม่ลดลงเลยแม้แต่น้อย

ขณะเดียวกัน เกิดเสียงดังเข้ามาเบาๆ “ฟู่!” มังกรหมอกดำที่หลิ่วหมิงปล่อยออกมาเจาะทะลุชายชุดม่วงไป แต่ร่างกายของเขากลับกลายเป็นจุดแสงสีม่วงสลายไปในอากาศ ที่แท้มันก็เป็นแค่เงาร่างเท่านั้น

ด้วยเหตุนี้หลังจากเกิดเสียงดัง “ตู๊ม!” คลื่นเสียงสีทองก็ปะทะกับมังกรหมอกของหลิ่วหมิงเข้าอย่างจัง ทันใดนั้นลูกหมอกสีทองกับดำสองสี ก็ระเบิดตัวกลางอากาศ!

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็หดรูม่านตาลงทันที

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด