ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 70 ชุ่ยเอ๋อร์

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 70 ชุ่ยเอ๋อร์ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 70 ชุ่ยเอ๋อร์

หลังจากที่ดรุณีน้อยที่ชื่อ ‘ชุ่ยเอ๋อร์’ ร่ายคาถาแล้ว มือข้างหนึ่งพลันตบไปบนม้วนกระดาษ

เสียงดัง “ฟู่!” ไอหมอกสีเหลืองจำนวนมากนำพาอักขระหลากสีพุ่งออกมาจากม้วนกระดาษ แล้วลอยขึ้นไปสูงสิบกว่าจั้ง หลังจากที่มันหมุนติ้วๆ เกาะตัวกันแล้วก็กลายเป็นเรือยักษ์สีเหลืองอ่อนลำหนึ่ง

เรือลำนี้ดูเหมือนจะใหญ่มาก แต่ดูพร่ามัวราวกับว่าไม่มีอยู่จริง

“เอาล่ะ ศิษย์น้องทั้งหลายขึ้นไปได้แล้ว” ศิษย์พี่เฉียนกลับไม่สนใจอาการตกตะลึงของคนอื่นๆ และเหาะขึ้นเรือสายหมอกไปกับดรุณีน้อยชุดเขียว

คนอื่นๆ สบตากันสักครู่แล้วก็รีบเหาะขึ้นไป

“เอ๊ะ! ทำไมเป็นเจ้าอีกแล้ว!” พอเหลยเจิ้นกับดรุณีน้อยรูปร่างอรชรเหาะขึ้นไปบนเรือสายหมอกแล้วเดินไม่กี่ก้าวก็เห็นหลิ่วหมิงที่อยู่ไม่ไกล พวกเขารู้สึกแปลกใจเล็กน้อย

“ข้าน้อยก็คิดไม่ถึงว่าจะได้เจอกับศิษย์พี่เหลยที่นี่” ในเมื่อฝ่ายตรงข้ามกล่าวแล้ว หลิ่วหมิงก็ก้มศีรษะเล็กน้อยแล้วกล่าวออกไป

“ถ้าข้าจำไม่ผิดล่ะก็ ศิษย์น้องไป๋เป็นศิษย์ของอาจารย์อากุยแห่งเขาเก้าทารกใช่ไหม เจ้าไม่ยอมฝึกฝนอยู่ในนิกาย แต่กลับมีเวลาไปนั่นนู่นนี่ ไม่กลัวว่าการฝึกฝนของตัวเองจะล่าช้าหรืออย่างไร!” เหลยเจิ้นกล่าวด้วยตาเป็นประกาย เห็นได้ชัดว่าเขารู้จักชื่อปลอมของหลิ่วหมิง และเหมือนจะเข้าใจเรื่องราวอื่นๆ ของหลิ่วหมิงดี

“อ้อ! ที่แท้ศิษย์พี่เหลยก็รู้จักแซ่ของข้า ข้าต้องไปตลาดเว่ยโจวเพื่อทำธุระสำคัญบางอย่าง ถึงแม้จะเปลืองเวลาก็เป็นเรื่องที่ไม่อาจเลี่ยงได้” ตอนแรกหลิ่วหมิงรู้สึกตกตะลึงแต่ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“ข้าได้ยินมาว่าช่วงนี้ที่หอดำเนินการมี ‘คนบ้าภารกิจ’ ผู้หนึ่ง ทำภารกิจได้สำเร็จสี่ห้าสิบภารกิจภายในเวลาไม่กี่เดือน ว่ากันว่าเป็นศิษย์ใหม่ที่เพิ่งเข้านิกายไม่นาน เหมือนจะแซ่ไป๋ด้วย คงไม่ใช่คนเดียวกันกับศิษย์พี่หรอกนะ!” หญิงรูปร่างอรชรที่อยู่ด้านข้างได้ยินเช่นนี้ก็กล่าวด้วยรอยยิ้ม

“เฮ้อ! ศิษย์ใหม่ที่เข้านิกายถ้าไม่มีคนแซ่ไป๋คนที่สองแล้วล่ะก็คงเป็นข้าแล้วล่ะ ช่วงนี้ข้าค่อนข้างขาดแคลนเลยต้องทำภารกิจให้มากหน่อย เพื่อแลกกับหินจิตวิญญาณ” เห็นฝ่ายตรงข้ามดูเหมือนจะไม่มีเจตนาร้ายอะไร หลิ่วหมิงก็ได้แค่ถอนหายใจเบาๆ แล้วกล่าวออกมา

“คือศิษย์พี่ไป๋จริงๆ ด้วย! จุ๊ๆ! ข้าได้ยินศิษย์พี่บางคนบอกว่า ภารกิจที่ศิษย์พี่ไป๋ทำสำเร็จนั้น มีจำนวนไม่น้อยที่แม้แต่ศิษย์เก่าบางคนยังบอกว่าอันตรายเป็นอย่างมาก ไม่คาดคิดว่าท่านกลับทำมันได้สำเร็จอย่างรวดเร็ว หรือว่าท่านมีเคล็ดลับอะไร? ใช่สิ! น้องชื่อโอวหยางเฟย เป็นศิษย์สาขากลลับสวรรค์เช่นเดียวกัน” ดรุณีน้อยรูปร่างอรชรกล่าวด้วยความแปลกใจ ขณะเดียวกันก็แนะนำตัวพร้อมกับยิ้มหวานออกมา

“ศิษย์น้องโอวหยางล้อข้าเล่นแล้ว ภารกิจของนิกายเราจะมีเคล็ดลับอะไร ข้าก็แค่ใช้เวลามากหน่อยบวกกับโชคค่อนข้างดี ถึงทำภารกิจได้สำเร็จมากมายเช่นนี้” หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ตอบกลับไปอย่างคลุมเครือ

“ฮึ! คำพูดเช่นนี้เจ้าคิดว่าข้าเหลยเจิ้นจะเชื่อเจ้าหรือ ถ้าหากมีโอกาสล่ะก็เรามาแลกมือกันดูบ้าง ข้าคิดว่าพลังของศิษย์น้องไป๋ก็คงจะทำให้ข้าตื่นตะลึงกว่าที่คาดคิดไว้มาก” ตาทั้งสองของเหลยเจิ้นมองหลิ่วหมิงอย่างรวดเร็วราวสายฟ้าแลบอยู่ครู่หนึ่งแล้วกล่าวออกมา

“ศิษย์พี่เหลยล้อข้าเล่นแล้ว ท่านมีเก้าชีพจรจิตวิญญาณอัสนี ข้าจะเป็นคู่ต่อสู้ของท่านได้อย่างไร” ถึงหลิ่วหมิงจะรู้สึกประหลาดใจมาก แต่ก็ได้แต่ส่ายหัวออกมา

“ไม่เคยแลกมือกัน เจ้าจะรู้ได้อย่างไรว่าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของข้า! ข้าเคยได้ยินคนพูดกันว่าเจ้าเคยปะมือกับคนของหุบเขาเก้าช่อง ทั้งยังเอาชนะศิษย์ที่มีพรสวรรค์คนหนึ่ง เรื่องนี้คงไม่ใช่เรื่องโกหกหรอกนะ” เหลยเจิ้นฟังคำพูดนี้แล้วก็ถามออกมาด้วยสีหน้าแปลกใจ

“ศิษย์พี่เหลยรู้เรื่องนี้ได้อย่างไร?” หลิ่วหมิงได้ยินเรื่องนี้ ถึงกับรู้สึกอึ้งไปเลยทีเดียว

“ดูท่าศิษย์พี่ไป๋คงยังไม่รู้ เรื่องที่เจ้าเอาชนะศิษย์ที่มีพรสวรรค์ของหุบเขาเก้าช่องได้นั้น ถูกศิษย์พี่เขาเก้าทารกปล่อยข่าวออกมานานแล้ว ทำให้คนในสาขาของพวกเจ้ามีหน้ามีหน้ามีตาไม่น้อย กอปรกับที่ช่วงนี้กวาดภารกิจของหอดำเนินการไปมากมาย ชื่อเสียงของเจ้าในตอนนี้ดังไปทั่วนิกายแล้ว” โอวหยางเฟยหัวเราะเบาๆ กล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ก็ได้แต่ฝืนยิ้มออกมา

“ถ้าตอนนี้ศิษย์น้องไม่ยอมแลกมือกับข้าล่ะก็ งั้นก็รอการประลองอีกปีครึ่งล่ะกัน พอถึงเวลาเจ้าคงจะเข้าร่วมการประลองนี้!” เหลยเจิ้นจ้องมองหลิ่วหมิงแล้วกล่าวออกมาอย่างไม่สะทกสะท้าน

“ถ้าเป็นการประลองใหญ่ในนิกายล่ะก็ย่อมไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ แต่ว่าพอถึงเวลาก็ไม่แน่ว่าจะได้เจอกับศิษย์พี่เหลย” หลิ่วหมิงได้แต่ฝืนยิ้มกล่าวออกมา

“ไม่เป็นไร แค่ข้าได้เห็นเจ้าลงมือก็รู้ว่าพลังของเจ้าเป็นเช่นไร หวังว่าพอถึงเวลานั้นคงจะไม่ทำให้ข้าผิดหวัง” เหลยเจิ้นกล่าวอย่างองอาจแล้วก็จากไป

โอวหยางเฟย ยิ้มแสดงการขอโทษกับหลิ่วหมิงแล้วก็ตามเหลยเจิ้นไป

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ได้แต่ส่ายศีรษะเบาๆ โดยไม่กล่าวอะไรออกมา

แต่ในใจของเขากลับมีความประทับใจที่ดีต่อเหลยเจิ้น

ถึงแม้คนผู้นี้จะดูหยิ่งยโสมาก ชอบการต่อสู้ แต่กมลสันดานเหมือนจะเป็นคนเรียบง่าย

คงเป็นเพราะเหตุนี้ เขากลลับสวรรค์ถึงยอมให้โอวหยางเฟยคอยติดตามเป็นเพื่อน

ตอนที่หลิ่วหมิงกำลังคิดใคร่ครวญอยู่นั้น ม่านแสงจางๆ ได้ลอยขึ้นคลุมเรือทั้งลำเพื่อปกป้องผู้คนที่อยู่ในนั้น หลังจากที่มันสั่นไหวก็พาคนทั้งหมดเหาะออกไป

หลิ่วหมิงหามุมที่ไม่มีคนอยู่แล้วหยุดยืนอยู่ตรงนั้น และมองออกไปนอกม่านแสง ขณะเดียวกันก็รับรู้ได้ถึงความเร็วของเรือสายหมอก

เรือสายหมอกนี้ถึงแม้จะเร็วกว่าวิชาทะยานเวหามาก แต่เทียบกับเรือเหาะหยกจิตวิญญาณแล้วยังห่างชั้นกันมากนัก

ดูเหมือนคงจะไม่ใช่อาวุธเหาะจิตวิญญาณแต่อย่างใด แต่กลับคล้ายกับใช้วิชาบางอย่างเชื่อมผนึกอาวุธอาญาสิทธิ์พิเศษสร้างขึ้นมา

หลิ่วหมิงวิเคราะห์ถึงความลับของเรือสายหมอกนี้ไปด้วย ใช้มือลูบถุงผ้าเล็กๆ ที่อยู่ในแขนเสื้อไปด้วย

ในถุงผ้ามีผลึกหินใสแค่สามสิบกว่าก้อน มันคือผลึกหินระดับกลางที่เขาแลกมาจากนิกาย

ถ้าต้องพกหินระดับต่ำอย่างหินจิตวิญญาณสามพันกว่าก้อนล่ะก็ เกรงว่าเขาต้องแบกถุงใบใหญ่แล้ว

เหตุที่ครั้งนี้ที่เขายอมใช้แต้มคุณูปการเกือบร้อยแต้มเพื่อไปตลาดเว่ยโจวนั้น ก็เพื่อจะใช้หินจิตวิญญาณเหล่านี้ไปแลกกับโอสถเพิ่มพลังเวทจำนวนหนึ่ง

จากระยะเวลาที่ฟองอากาศลึกลับระเบิดสองครั้งนั้นก็เหลือเวลาอีกประมาณครึ่งปี

เขาจะอาศัยจังหวะก่อนที่มันจะระเบิดนี้เพิ่มระดับการฝึกฝนก่อนแล้วค่อยว่ากัน

ตามข้อมูลที่เขารู้มาจากปากคนอื่น หินจิตวิญญาณมากขนาดนี้ ถ้าไม่สนเรื่องคุณภาพของเม็ดโอสถล่ะก็คงจะซื้อมาได้ไม่น้อย

แต่จะว่าไปแล้ว สำหรับผู้ฝึกฝนแล้วคุณภาพของเม็ดโอสถก็เป็นเรื่องที่สำคัญเป็นอย่างยิ่ง

เม็ดโอสถที่คุณภาพสูงในการเพิ่มพลังเวทนั้น เมื่อทานแล้วไม่เพียงแต่จะทำให้พลังเวทเพิ่มขึ้นเล็กน้อย และพลังในโอสถก็บริสุทธิ์ด้วย สิ่งเจือปนก็ค่อนข้างน้อย ทำให้ร่างกายที่ต่อต้านพลังโอสถของผู้ทานลดน้อยลง

ร่างกายผู้ฝึกฝนที่ต่อต้านพลังเม็ดโอสถบางอย่างมากเกินไป ต่อให้จะทานเม็ดโอสถประเภทเดียวกันก็ไม่สามารถแสดงผลลัพธ์ออกมาได้มาก

และระดับของเม็ดโอสถยิ่งสูงก็จะยิ่งมีคุณภาพสูงไปด้วย

ผู้ฝึกฝนที่อยู่ในระดับต่ำ อาจจะใช้เม็ดโอสถเพียงไม่กี่เม็ดก็เพียงพอที่จะฝึกฝนได้ก้าวหน้าไปอีกขั้นได้แล้ว และพอถึงระดับอาจารย์จิตวิญญาณหรือระดับที่สูงขึ้น ไม่แน่ว่าทานไปหลายสิบหลายร้อยเม็ด ก็อาจจะฝึกฝนก้าวหน้าได้แค่ขั้นเล็กๆ ก็ได้

ถึงตอนนี้แล้ว คุณภาพของเม็ดโอสถยิ่งสูงก็ยิ่งทานเม็ดโอสถประเภทนี้ได้มากยิ่งขึ้น พลังเวทก็จะเพิ่มมากขึ้น

นอกจากนี้สำหรับเม็ดโอสถที่มีผลลัพธ์พิเศษบางอย่างนั้น คุณภาพยิ่งสูงผลลัพธ์ก็ยิ่งทวีคูณ

ด้วยเหตุนี้ เม็ดโอสถคุณภาพสูงจะมีราคาต่างกันกับเม็ดโอสถคุณภาพทั่วไปหลายเท่าหรืออาจจะสิบกว่าเท่า มันเป็นเรื่องที่พบได้บ่อยในโลกของการฝึกฝน

แต่ทั้งหมดเหล่านี้ มันยังห่างไกลสำหรับเขาในตอนนี้มากนัก

ตอนนี้เขาเป็นแค่ศิษย์จิตวิญญาณขั้นกลาง ปัญหาเหล่านี้ไม่ค่อยสำคัญกับเขามากนัก

หลิ่วหมิงมองออกไปนอกเรือสายหมอก พร้อมกับถอนหายใจออกมาเมื่อคิดถึงเรื่องนี้

อยู่ๆ เขารู้สึกเอะใจ พลันหันตัวกลับมา

ห่างออกไปจั้งกว่าๆ ไม่รู้ว่าดรุณีน้อยที่ชื่อว่า ‘ชุ่ยเอ๋อร์’ ผู้นั้น โผล่ออกมาที่นั่นตั้งแต่เมื่อไหร่ ทั้งยังมองเขาตาไม่กระพริบ ไม่สิ! ต้องบอกว่ามองถุงหนังสีดำบนเอวเขาถึงจะถูก

“ศิษย์พี่มีเรื่องอะไรให้ช่วยหรือเปล่า?” หลิ่วหมิงถูกฝ่ายตรงข้ามมองจนรู้สึกกลัวอยู่ในใจ จึงฝืนยิ้มถามออกไป

“กลิ่นแบบนี้ไม่ผิดแน่ มันคือถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณจริงๆ ศิษย์น้องผู้นี้ พวกเรามาคุยกันสักหน่อยดีไหม เจ้าขายถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบนี้ให้ข้าเถอะ?” ดรุณีน้อยเสื้อเขียวได้ยิน ก็ละสายตาจากถุงหนังอย่างอาลัยอาวรณ์ แต่ก็รีบกล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า

“เรื่องนี้เกรงว่าคงจะต้องทำให้ศิษย์พี่ผิดหวังแล้วล่ะ ของสิ่งนี้ข้าไม่ขายหรอก” หลิ่วหมิงรู้สึกเย็นยะเยือก แต่ก็ส่ายหัวกล่าวออกไปในทันที

“ศิษย์น้องอย่ากล่าวยืนกรานเช่นนี้สิ ข้าจะใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ระดับสูงสุดชิ้นหนึ่งมาแลกเป็นไง….ถ้าไม่ได้จริงๆ สองชิ้นก็ได้!” ดรุณีน้อยชุดเขียวกล่าว

หลิ่วหมิงได้ยินเช่นนี้ ทำให้เขาชะงักไปเล็กน้อย

เจ้าถุงหล่อเลี้ยงจิตวิญญาณนี้เกือบจะเทียบเท่าอาวุธจิตวิญญาณ คาดไม่ถึงว่าฝ่ายตรงข้ามคิดที่จะใช้อาวุธอาญาสิทธิ์ชิ้นสองชิ้นมาแลก นี่หมายความว่าอย่างไร? หรือว่าคิดที่จะแย่งมันไปอย่างนั้นหรือ!

แต่ดูจากใบหน้าที่ยิ้มกริ่มดูน่ารักของดรุณีน้อยชุดเขียวผู้นี้แล้ว ดูเหมือนจะไม่ใช่คนแบบนั้น

หลิ่วหมิงเริ่มระวังตัวขึ้นมา และยังส่ายศีรษะติดๆ กัน

ดรุณีน้อยชุดเขียวกลับเพิ่มราคาเป็นอาวุธอาญาสิทธิ์สามชิ้นอย่างรวดเร็ว ยังคงต่อรองอย่างอดทน

“ชุ่ยเอ๋อร์ เจ้าทำอะไรอยู่ ยังไม่รีบมานี่อีก”

ขณะนั้นเอง เสียงเยือกเย็นก็ดังมาจากอีกฝั่งของเรือ

หลิ่วหมิงแหงนมองไปเห็นศิษย์พี่เฉียนผู้นั้นกำลังเดินเข้ามา และกล่าวกลับดรุณีน้อยชุดเขียวด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึก

“เอ๋! ทำไมศิษย์พี่ถึงไม่ควบคุมเรือ เดี๋ยวจะพาเหาะไปผิดทางนะ” พอดรุณีน้อยชุดเขียวเห็นศิษย์พี่เฉียนเดินเข้ามา ก็รีบเดินไปหาอย่างกับไฟลนก้น และกล่าวด้วยรอยยิ้มสู้

“ฮึ! ข้าให้ลิ่วจู๋ช่วยข้าคุมเรือช่วยคราว แต่ดูเหมือนนิสัยเดิมๆ ของเจ้าโผล่มาอีกแล้ว พอเห็นสิ่งของที่ชอบก็ไม่ยอมไปไหนเอาแต่ตามตื้อจะเอาให้ได้ ศิษย์น้องผู้นี้อย่าถือสาเลยนะ เจ้าหนูชุ่ยเอ๋อร์นี้ไม่ได้เจตนาร้ายอะไรเพียงแค่มีนิสัยดื้อด้านเล็กน้อย” ศิษย์พี่เฉียนตำหนิดรุณีน้อยไปสองประโยค แล้วหันกลับมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยสีหน้าคลี่คลาย

“ไม่เป็นไร ศิษย์พี่ชุ่ยเอ๋อร์ก็ยังไม่ได้ทำเรื่องเกินเลยอะไร” ต่อหน้าศิษย์แกนนำอันดับห้าของนิกายปีศาจผู้นี้ หลิ่วหมิงย่อมกล่าวอย่างไม่กล้าเมินเฉย

“ใช่สิ! ศิษย์น้องแซ่อะไร สังกัดสาขาไหน!” ศิษย์พี่เฉียนพยักหน้า แต่สายตาก็กวาดมองไปยังถุงหนังบนเอวเขาชั่วครู่แล้วถามออกมา

“ข้าน้อยแซ่ไป๋ สังกัดเขาเก้าทารก!” หลิ่วหมิงไม่รู้จุดประสงค์ของอีกฝ่าย แต่ก็ไม่ได้ปิดบังแต่อย่างใด

“อ๋อ! สาขาของอาจารย์อากุย ดูเหมือนถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณใบนี้คงจะไม่ใช่สิ่งที่นิกายมอบให้ ข้าจะแนะนำให้สักอย่างนะ ถ้าเจ้าไม่อยากให้คนอื่นจำสิ่งของชิ้นนี้ได้ ทางที่ดีที่สุดให้ใช้สีแดงทาถูสักรอบ เช่นนี้แล้ว จะมีแค่ไม่กี่คนที่จำของสิ่งนี้ได้ ในตลาดเว่ยโจวนั้นมีผู้คนมากมายหลากหลายรูปแบบควรจะระวังไว้บ้าง” ศิษย์พี่เฉียนกล่าวราบเรียบ

“ขอบคุณศิษย์พี่ที่ชี้แนะ ศิษย์น้องรู้แล้วว่าควรจะทำอย่างไร” หลิ่วหมิงตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็รีบกล่าวขอบคุณออกมา

ศิษย์พี่เฉียนพยักหน้าแล้วก็พาดรุณีน้อยชุดเขียวที่ดูเหมือนจะอาลัยอาวรณ์เป็นอย่างมากเดินจากไป

“ศิษย์น้องไป๋ เจ้าไปคิดดูอีกสักหน่อย ราคายังสามารถต่อได้นะ”

พลันหูของเขาได้ยินเสียงของชุ่ยเอ๋อร์ที่ดังเข้ามา ทำให้เขาพูดไม่ออกเลยทีเดียว

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด