ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 710 เผ่าทราย

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 710 เผ่าทราย at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

บริเวณที่พายุทรายเคลื่อนตัวผ่าน ทำให้เกิดฝุ่นทรายสูงหลายสิบจั้ง และม้วนเอาอากาศบริเวณนั้นไปจนหมด ทั้งยังส่งเสียงดังโครมครามอย่างน่าตกใจ

หลิ่วหมิงยกมือปล่อยดาบบินสีเทาออกไปทันที แต่พอสัมผัสกับพายุทราย มันก็ถูกปั่นจนแตกกระจายท่ามกลางเสียงร้องโหยหวน

 ภายใต้ความตกใจ หลิ่วหมิงก็พุ่งไปข้างหน้าอย่างบ้าคลั่งโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ระหว่างทาง เขายังเพิ่มเคล็ดวิชาจำนวนหนึ่งให้ตัวเองอยู่ตลอดเวลา แต่มันกลับเร็วกว่าเม็ดทรายที่อยู่ห่างออกไปสิบกว่าจั้งเพียงเล็กน้อยเท่านั้น

หลังจากเขาวิ่งหนีออกไปได้ร้อยกว่าลี้ภายในอึดใจเดียว พายุทรายที่ตามติดมาด้านหลังถึงหายไปอีกครั้ง

หลิ่วหมิงนั่งลงพื้นด้วยลมหายใจที่เหนื่อยหอบ และนำหินจิตวิญญาณระดับสูงขึ้นมาเสริมพลังเวท ตั้งแต่เหยียบเข้ามาในเส้นทางของการฝึกฝนเซียน โดยพื้นฐานจะขี่เมฆขับเคลื่อนหมอกเสียมากกว่า ไหนเลยจะต้องวิ่งหนีตายเช่นนี้

หลังจากพักไปหนึ่งชั่วยาม เขาถึงฟื้นฟูพลังเวทและพลังกายที่สูญเสียมาได้เจ็ดแปดส่วน แต่เมื่อเขาลุกขึ้นและพยายามหมุนตัวจากไปอีกครั้งนั้น พายุทรายด้านหลังก็ระเบิดตัวขึ้นมาอีกครั้ง และพายุฝุ่นทรายสีดำก็พุ่งเข้ามา

หลิ่วหมิงได้แต่วิ่งหนีอย่างสุดฝีเท้าอีกครั้ง และขณะที่ลองกระตุ้นวิชาโจมตีพายุทรายนั้น กลับค้นพบว่าไม่ว่าจะใช้คมวายุ ลูกเปลวไฟ หรือว่ากระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ ล้วนไม่มีผลกระทบใดๆ กับมันเลยแม้แต่น้อย การโจมตีทั้งหมดถูกฝุ่นทรายกลืนไปจนหมดสิ้น โดยที่ไม่อาจทำให้มันสั่นสะเทือนได้เลยแม้แต่น้อย

ภายใต้สถานการณ์ที่หลิ่วหมิงไม่อาจทำอะไรได้ จึงได้แต่วิ่งไปด้านหน้าอย่างบ้าคลั่ง

แต่ทว่าเมื่อเขาวิ่งออกไปร้อยกว่าลี้นั้น พลันรับรู้ได้ถึงคลื่นสั่นสะเทือนแปลกประหลาดที่ม้วนตัวมาทางด้านหน้า จากนั้นพลังเวทในร่างก็เกาะตัวกันแน่น ทำให้ไม่อาจโคจรพลังในร่างได้ และพลังแท้จริงก็ร่วงลงจากระดับผลึกขั้นกลางไปสู่ระดับของเหลวขั้นกลาง

ครั้งนี้หลิ่วหมิงมีสีหน้าเปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก เขาพยายามหันกลับไปสองสามครั้ง และทุกครั้งที่ค้นพบว่าพายุทรายเข้ามาถึง เขาก็ได้แต่กัดฟันวิ่งไปยังส่วนลึกของทะเลทรายต่อ

ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ในระหว่างทางเขายังคงเผชิญกับพายุทรายขนาดเล็กอยู่หลายครั้ง และบีบบังคับให้เขาต้องวิ่งอย่างบ้าคลั่งอยู่หลายหน

ทะเลทรายสีดำนี้แปลกประหลาดเป็นอย่างยิ่ง นอกจากจะเป็นสีดำไปทั้งแถบแล้ว ท้องฟ้าเหนือศีรษะกลับเป็นสีเหลืองจางๆ ตลอดวัน หากไม่ใช่ว่าหลิ่วหมิงไวต่อการเปลี่ยนของเวลาในแต่ละวัน คงไม่อาจรู้ว่าตอนนี้เป็นเวลากลางวันหรือกลางคืนกันแน่

หลังจากมุ่งหน้าไปสองวันเต็มๆ เขาก็พลันมองเห็นว่า ท่ามกลางทะเลทรายที่อยู่ห่างออกไปร้อยกว่าจั้ง มีเงามนุษย์สองเงากำลังเดินเท้าไปยังทิศทางบางแห่ง

มองออกไปไกลๆ ทั้งสองมีรูปร่างใกล้เคียงกับหลิ่วหมิง ซึ่งไม่แตกต่างจากมนุษย์ธรรมดาเลยแม้แต่น้อย บนตัวสวมชุดคลุมยาวขนาดใหญ่ที่ถักทอมาจากผ้าแพร และบนศีรษะก็มีผ้าสีขาวมัดผมอยู่

ขณะนั้นเอง ห่างจากด้านหลังของทั้งสองไปไม่ไกล พายุบ้าระห่ำก็พัดเข้ามา และม้วนเอาฝุ่นทรายสีดำไปยังทั้งสอง

เงาร่างทั้งสองกลับพร่ามัวกลายเป็นจุดๆ และจมไปในดินทรายตรงใต้เท้า

พายุทรายที่มีอานุภาพดุดันโหมกระหน่ำผ่านพื้นที่ที่ทั้งสองหายไป ผ่านไปไม่กี่อึดใจก็พุ่งไปยังอีกทิศทางหนึ่ง

บนทะเลทรายสีดำ เนินดินสองแห่งที่มีลักษณะคล้ายกรวดทรายกองรวมกัน ก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้ง และก่อตัวเป็นเงาร่างมนุษย์สองเงาเดินไปด้านหน้าต่อ

ภายใต้ความประหลาดใจ หลิ่วหมิงนึกขึ้นได้ว่าในคัมภีร์ของนิกายยอดบริสุทธิ์ได้กล่าวถึงมนุษย์เผ่าทรายที่สามารถทำให้ร่างกลายเป็นดินทรายได้

มนุษย์เผ่าทรายเหล่านี้อาศัยอยู่ในทะเลตลอดทั้งปี พอแต่ละคนเกิดมาก็จะมีร่างทรายจิตวิญญาณโดยธรรมชาติ

เพียงแต่ไม่รู้ว่ากี่หมื่นปีแล้ว ที่มนุษย์เผ่าทรายกลับหายไปจากโลกนี้อย่างเงียบๆ และก็ไม่มีใครพบเจออีก

คิดไม่ถึงว่าท่ามกลางทะเลทรายสีดำแห่งนี้ เขากลับได้เจอครั้งเดียวถึงสองคน

หลังจากหลิ่วหมิงกวาดจิตดู และค้นพบว่าทั้งสองมีการฝึกฝนแค่ระดับของเหลวขั้นต้น เขาก็คิดไตร่ตรองเล็กน้อย และเดินไปยังตำแหน่งที่ทั้งสองอยู่

“สหายทั้งสอง กรุณาหยุดฝีเท้าก่อน ข้าน้อยบังเอิญหลงเข้ามาในทะเลทรายแห่งนี้ เดินวนมาหลายวันแล้วกลับหาทางออกไม่เจอ ท่านทั้งสองพอจะทราบไหมว่าจะไปจากสถานที่แห่งนี้ได้อย่างไร?” พอหลิ่วหมิงมาถึงด้านหลังของทั้งสองไม่ไกล ก็ถามด้วยน้ำเสียงแจ่มชัด

ชายเผ่าทรายทั้งสองได้ยินเช่นนี้ก็หันกลับมามอง พอเห็นหลิ่วหมิงที่ใบหน้าเต็มไปด้วยฝุ่นทรายก็รู้สึกอึ้งเล็กน้อย พอได้ยินหลิ่วหมิงบอกว่าหาทางออกไม่เจอกลับมองหน้ากันแล้วยิ้มออกมา

“ข้าน้อยชื่อถูลา ท่านนี้คือพี่ชายข้าถูเอ่อร์” ทั้งสองเอามือข้างหนึ่งวางขวางไว้บนหน้าอกและโค้งคารวะ จากนั้นชายเผ่าทรายที่มีรูปร่างค่อนข้างเตี้ยก็กล่าวด้วยรอยยิ้มซื่อๆ

“ข้าน้อยหลิ่วหมิง” หลิ่วหมิงเลียนแบบการทำความเคารพของทั้งสองแล้วกล่าวออกมา

“ที่แท้ก็คือพี่หลิ่ว คนที่ไม่คุ้นเคยกับทะเลทรายแห่งนี้ จะหลงทางได้โดยง่าย ดูจากการแต่งกายของท่านคงเป็นคนที่มาจากที่อื่นสินะ มักจะมีผู้ฝึกฝนจากภายนอกจำนวนหนึ่งบุกรุกเข้ามาที่นี่อยู่บ่อยๆ เพียงแต่ว่าพวกเราสองคนพี่น้องไม่เคยไปจากที่นี่มาก่อน จึงไม่รู้วิธีการออกไปจริงๆ พวกเราเพิ่งเสร็จสิ้นจากการออกไปล่าสัตว์ และเตรียมจะกลับไปที่เผ่า หากพี่หลิ่วอยากจะไปจากที่นี่ ไม่ลองตามพวกเราทั้งสองกลับไปที่เผ่าก่อน บางทีผู้เฒ่าในเผ่าอาจจะรู้วิธีก็ได้” ชายอีกคนที่มีรูปร่างสูงกำยำยิ้มและกล่าวอย่างอบอุ่น

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนสหายทั้งสองแล้ว” หลิ่วหมิงลังเลเล็กน้อย จากนั้นก็พยักหน้าตกลง

ทั้งสองค่อนข้างเป็นมิตรเป็นอย่างมาก น้ำเสียงดูจริงใจ ลองตามพวกเขากลับไปที่พักก็ดีเหมือนกัน จะได้สอบถามเกี่ยวกับทะเลทรายแปลกประหลาดนี้ด้วย

ต่อให้ฝ่ายตรงข้ามจะหลอกเขา แต่ขอแค่เผ่าที่พวกเขาเอ่ยถึงไม่มีผู้ฝึกฝนระดับแก่นแท้ขั้นปลายขึ้นไป เขาก็มีความมั่นใจว่าจะสามารถเอาตัวรอดได้อย่างง่ายดาย

พอทั้งสองเห็นหลิ่วหมิงพยักหน้า ก็พาหลิ่วหมิงเดินไปทางทิศตะวันตกทันที

ในระหว่างทาง หลิ่วหมิงเดินตามรอยทั้งสองด้วยความระมัดระวัง และไม่ค่อยพูดอะไรเกี่ยวกับตนเองมาก เพียงแค่พูดคุยแก้เขินไปพลางๆ ขณะเดียวกันก็มองไปรอบๆ ทะเลทรายสีดำที่ไม่มีที่สิ้นสุด และให้ความสนใจกับวัตถุพิเศษรอบๆ ทั้งยังแอบจดจำเส้นทางที่เดินผ่าน

ผ่านไปราวๆ สองชั่วยาม หลิ่วหมิงถึงค้นพบด้วยความตกใจว่า ห่างจากตรงหน้าพวกเขาทั้งสามไปหลายลี้ กลับมีแหล่งพื้นที่สีเขียวขนาดราวๆ หนึ่งพันกว่าหมู่ปรากฏอยู่อย่างรำไร

“พี่หลิ่วพวกเราใกล้จะถึงแล้ว พื้นที่สีเขียวตรงด้านหน้าก็คือเมืองซาม่าน” ถูลาหันมามองหลิ่วหมิงทีหนึ่งแล้วชี้ไปยังพื้นที่สีเขียวด้านหน้า

หลิ่วหมิงได้ยินก็หรี่ตาทั้งคู่มองพื้นที่สีเขียวตรงหน้าอย่างละเอียด

จะเห็นว่ามีเมืองเล็กๆ แห่งหนึ่งที่ครอบครองพื้นที่หนึ่งในสามของพื้นที่สีเขียว กำแพงเมืองที่ล้อมรอบด้าน สร้างขึ้นจากดินทรายสีดำ ซึ่งสูงราวๆ เจ็ดแปดจั้ง

เนื่องจากอยู่ห่างค่อนข้างไกล และกำแพงรอบเมืองก็ค่อนข้างสูง หลิ่วหมิงไม่อาจมองเห็นสถานการณ์ในเมืองได้อย่างชัดเจน แต่สามารถมองเห็นคนจำนวนมากที่แต่งตัวคล้ายกับถูลากับถูเอ่อร์เดินเข้าๆ ออกๆ อยู่ตลอดเวลา

ก่อนหน้านั้น เขาเผชิญหน้ากับทะเลทรายสีดำมาหลายวัน และต้องเผชิญหน้ากับพายุร้ายและพายุทรายตลอดเวลา ทั้งยังต้องป้องกันไม่ให้เลี่ยเจิ้นเทียนตามมาอีก หลังจากหลิ่วหมิงมองเห็นพื้นที่สีเขียวแห่งนี้ สายธนูที่ตึงอยู่ในหัวใจถึงคลายลงเล็กน้อย

ขณะนั้นเอง พลันได้ยินเสียง “ซู่ๆ!” ดังมาจากด้านหลัง

“แย่แล้ว พายุทรายมาแล้ว!” หลิ่วหมิงหยุดฝีเท้าลงด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปทันที

ขณะที่ตามพี่น้องสกุลถูมาในก่อนหน้านั้น เขาได้ยินมาว่าเสียงทรายเป็นสัญญาก่อนพายุทรายจะมา

ที่แท้ห่างจากด้านหลังไปไม่ไกล พายุบ้าระห่ำกำลังพุ่งเข้ามาอย่างรวดเร็ว หลังจากพัดเนินทรายสีดำแต่ละลูกแล้ว บริเวณที่มันพุ่งผ่านก็เกิดเป็นฝุ่นทรายสีดำจำนวนมาก

ภายใต้พายุบ้าระห่ำที่พัดกระหน่ำอย่างรุนแรง มันได้ม้วนตัวทรายสีดำจนกลายเป็นคลื่นน้ำวนสีดำ

และบริเวณที่พายุทรายพัดผ่านล้วนดูเรี่ยราดไปหมด หลังจากคลื่นน้ำวนกวาดผ่านไปแล้ว ก็เกิดหลุมขนาดใหญ่แต่ละหลุมที่ค่อนข้างดูสะดุดตา

หลิ่วหมิงพุ่งไปทางพื้นที่สีเขียวทันที

เห็นได้ชัดว่าพี่น้องสกุลถูดูสงบกว่ามาก พอร่ายคาถา ร่างของพวกเขาก็ค่อยๆ กลายเป็นทราย เคลื่อนไหวไม่กี่ทีก็ม้วนตัวเป็นพายุบ้าระห่ำพุ่งไปด้านหน้า

ไม่นานทั้งสามก็มาถึงพื้นที่สีเขียว

และที่น่าประหลาดใจก็คือ พอพายุทรายอันน่าตกใจสัมผัสกับขอบพื้นที่สีเขียว มันก็หายไปอย่างเงียบๆ

สิ่งนี้ทำให้หลิ่งหมิงอุทานจุ๊ๆ ด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

พอชายเฝ้าประตูเมืองที่มีรูปร่างผอมแห้งเห็นสองพี่น้องสกุลถู ก็รีบทักทายทั้งสองด้วยความดีใจ

“ท่านนี้คือ…” ต่อมาชายเฝ้าประตูก็มองดูหลิ่วหมิงทีหนึ่ง และเอ่ยปากถามด้วยความประหลาดใจอย่างอดไม่ได้

“คนผู้นี้เป็นผู้ฝึกฝนภายนอกที่พวกข้าสองพี่น้องพบเจอในระหว่างทาง พวกเราคิดจะพาเขาไปคารวะท่านผู้เฒ่า” ถูลาอธิบายออกมา

“ที่แท้ก็เป็นเช่นนี้ ท่านผู้เฒ่าอยู่ในที่พัก หากพวกเจ้าไปหาตอนนี้ ก็จะได้พบกับท่านพอดี” ชายเฝ้าประตูได้ยินก็เข้าใจในทันที และสังเกตดูหลิ่วหมิงด้วยความสนใจ

ถูเอ่อร์เห็นเช่นนี้ ก็พาหลิ่วหมิงเข้าไปในเมือง และถูลาก็พูดคุยเรื่องการเก็บเกี่ยวในวันนี้กับชายผู้นี้

“พี่หลิ่วอย่าได้ถือสา เผ่าทรายของเราไม่ได้ใหญ่โต มีคนแค่สามสี่ร้อยคนเท่านั้น ในนี้สกุลถูกับสกุลซุนเป็นแซ่ที่ใช้กันมากที่สุด ตอนนี้พี่หลิ่วลองเดินดูสักเล็กน้อย เพื่อเป็นทำความคุ้นเคยกับสภาพแวดล้อม แต่พี่หลิ่วอย่าเดินไปไกลมากนัก ข้าจะไปเรียนท่านผู้เฒ่าก่อน หากท่านผู้เฒ่าตกลง ข้าค่อยพาพี่หลิ่วไปคารวะท่าน” ถูเอ่อร์กล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยรอยยิ้ม

“ถ้าอย่างนั้นก็รบกวนพี่ถูแล้ว” หลิ่วหมิงพยักหน้าเล็กน้อย และกล่าวขอบคุณอีกครั้ง

หลังจากถูเอ่อร์ไปแล้ว หลิ่วหมิงก็กวาดสายตามองดูสิ่งต่างๆ ในเมือง

บ้านเรือนของเผ่าทรายแตกต่างกับสิ่งก่อสร้างของมนุษยทั่วไปมาก ส่วนมากจะเป็นกระโจม มีเสาหินที่ก่อตัวขึ้นจากหินทรายค้ำยันต์อยู่ทั้งสี่ด้าน ซึ่งสูงราวๆ สองสามจั้ง

ผู้คนที่สัญจรไปในสถานที่แห่งนี้ล้วนแต่งตัวคล้ายกับมนุษย์เผ่าทราย ส่วนมากมีกลิ่นไอระดับของเหลวขึ้นไป ในนั้นยังมีบางส่วนที่มีการฝึกฝนระดับผลึกขึ้นไปด้วย

หลิ่วหมิงเห็นว่าท่าทีของพวกเขาล้วนดูธรรมชาติมาก ดูเหมือนว่าพลังที่แท้จริงจะไม่ได้รับความกดดันเลยแม้แต่น้อย จนเขาต้องรู้สึกตกใจอย่างอดไม่ได้

ขณะนั้นเอง หญิงเผ่าทรายที่มีแผ่กลิ่นไอระดับผลึก ก็เดินออกมาจากกระโจมที่ดูโอ่อ่าหลังหนึ่ง และเดินมาทางหลิ่วหมิง

พอหญิงสาวเผ่าทรายผู้นี้ปรากฏตัว ก็ดึงดูดความสนใจของหลิ่วหมิงในทันที และเขาก็สังเกตดูด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไป

หญิงสาวผู้นี้มีอายุราวๆ สิบหกสิบเจ็ดปี สวมชุดคลุมสีขาวราวกับหิมะ เอวบางเล็กโผล่ออกมา ใบหน้างดงามถูกผ้าสีขาวบางปิดบังไว้ เหลือเพียงดวงตาคู่หนึ่งที่ดูใสแจ๋วราวกับน้ำในฤดูใบไม้ผลิ

ทำให้ผู้ที่พบเห็นรู้สึกสงบราวกับมีน้ำพุภูเขาไหลผ่านหัวใจ นางดูแตกต่างจากผู้หญิงทุกคนที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาก่อน

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด