ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 737 ฟื้น

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 737 ฟื้น at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 737 ฟื้น
โดย
Ink Stone_Fantasy
ครึ่งเดือนต่อมา หลังจากหลิ่วหมิงอ้อมเส้นทางและปลอมตัวอยู่หลายครั้ง จนมั่นใจว่าไม่มีคนตามมาแล้ว ในที่สุดก็กลับถึงถ้ำที่พักอย่างราบรื่น

พอเหยียบเข้าไปในถ้ำ เขาก็เดินตรงไปในห้องปรุงโอสถทันที

หลังจากวางชั้นจำกัดไว้ทั้งด้านในและด้านนอกห้องปรุงโอสถแล้ว ก็ทำการปรุงโอสถแฝงจิตวิญญาณอย่างตั้งใจ

เวลาหลายเดือนผ่านไปอย่างรวดเร็ว เมื่อหลิ่วหมิงออกจากห้องปรุงโอสถนั้น ของเหลวห้าแสงในมือก็ถูกใช้จนหมดสิ้น

และถูกแทนที่ด้วยโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับสูงสิบกว่าเม็ด ซึ่งมีโอสถธรรมดาจำนวนมาก

ในนั้นมีโอสถแฝงจิตวิญญาณระดับพสุธาจำนวนห้าเม็ดที่ปรุงขึ้นมาจากน้ำผึ้งของราชินีผึ้งห้าแสง สิ่งนี้ทำให้เขารู้สึกดีใจเป็นอย่างมาก

ส่วนปรากฏการณ์ที่เกิดจากการปรุงโอสถพสุธา ส่วนมากก็ถูกชั้นจำกัดแต่ละชั้นที่เขาวางไว้ต้านทานไว้ได้ ถึงแม้จะมีปราณจิตวิญญาณเล็ดลอดออกไปจำนวนหนึ่ง แต่ก็เป็นเพราะถ้ำตั้งอยู่ในสถานที่ห่างไกล มีคนมาถึงน้อยมาก จึงไม่ได้สร้างจุดสนใจให้ผู้อื่นแต่อย่างใด

ช่วงเวลาในหลายวันนี้ เขาก็ทานโอสถแฝงจิตวิญญาณและทำการฝึกฝนอย่างต่อเนื่อง

หนึ่งเดือนต่อมา ขณะที่เขากำลังนั่งขัดสมาธิอยู่ในห้องลับนั้น ถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอวก็สั่นสะเทือนในฉับพลัน ขณะเดียวกัน เสียงอ่อนนุ่มของเด็กผู้หญิงก็ดังออกมา

“นายท่าน รีบปล่อยข้าออกไป ทรมาณจังเลย!”

“เจ้าฟื้นแล้ว?” หลิ่วหมิงเบิกตาทั้งคู่กล่าวด้วยความดีใจ พอปล่อยจิตออกไปดู ก็ค้นพบว่าแมงป่องกระดูกในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณกำลังขยับก้ามยักษ์ทั้งคู่ และดิ้นรนเพื่อจะออกมา

แม้ว่าเขาจะไม่สามารถรู้ได้อย่างแน่ชัดว่าเหตุใดแมงป่องกระดูกถึงทำเช่นนี้ทันทีที่ฟื้นขึ้นมา แต่เขาก็ตบถุงบนเอวโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง พอหมอกดำม้วนตัวออกมา แสงสีเงินก็เปล่งประกายบนพื้น เผยให้เห็นแมงป่องกระดูกขนาดหนึ่งฉื่อกว่าๆ

พอแมงป่องกระดูกปรากฏตัว แสงสีเงินก็เปล่งประกายออกมา และมุดลงไปใต้ดินทันที

หลิ่วหมิงรู้สึกตะลึงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็พลิกฝ่ามือหยิบยันต์ดำดินมาแปะไว้บนตัวผืนหนึ่ง จากนั้นก็มุดพื้นตามแมงป่องกระดูกไป

หลังจากแมงป่องกระดูกมุดลงพื้นได้ไม่นาน ยอดเขาทั้งลูกก็สั่นสะท้านเล็กน้อย ก้อนหินและดินโคลนบนภูเขาก็เหมือนกับถูกดึงด้วยพลังมหาศาล และค่อยๆ ไปรวมตัวกันที่ใต้ดิน

ปรากฏการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงที่อยู่ใต้ดินรู้สึกประหลาดใจเป็นอย่างมาก

แต่พอพุ่งไปอยู่ห่างจากแมงป่องกระดูกไม่ไกล เขาก็ต้องพบเจอกับฉากอันน่าตกใจ

แมงป่องกระดูกที่อยู่ลึกลงไป ได้กลายเป็นหินสีเทากลมๆ ขนาดหลายฉื่อ มันหมุนวนอย่างบ้าคลั่งจนกลายเป็นระลอกคลื่น และดึงดูดเศษหิน ก้อนดิน ให้รวมตัวกันที่ลูกหินกลมๆ อย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงลองเชื่อมจิตกับแมงป่องกระดูกในทันที เพื่ออยากรู้เส้นสนกลในบางอย่าง

แต่ทว่าแมงป่องกระดูกกลับไม่มีปฏิกิริยาตอบสนองเลยแม้แต่น้อย ภายใต้การดูดเศษหินก้อนดินจากรอบด้าน หินกลมๆ ที่ห่อหุ้มแมงป่องกระดูกไว้ก็ขยายใหญ่อย่างรวดเร็ว พริบตาเดียวก็มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ ทั้งยังไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงด้วย

ขณะที่หินกลมๆ ขยายใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ กลิ่นไอของแมงป่องกระดูกก็ค่อยๆ แข็งแกร่งขึ้น

ขณะนั้นเอง เกิดเสียงดัง “ตู๊ม!”

ลูกหินสีเทาเริ่มกลิ้งไปมาใต้พื้นดินอย่างรวดเร็ว และกลิ้งอุตลุดไปยังส่วนลึกของของภูเขา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ย่อมกระตุ้นแสงหลบหลีกตามไปทันที

ลูกหินกลมๆ ที่แมงป่องกระดูกสร้างขึ้น มุดไปมุดมาท่ามกลางก้อนดินและก้อนหินภายในยอดเขาอยู่ไม่หยุด บริเวณที่มันเคลื่อนตัวผ่าน เศษหินที่มีปราณจิตวิญญาณแฝงอยู่ค่อนข้างมาก ก็จะถูกลูกหินกลมๆ ดูดเข้ามารวมตัวกันอย่างแน่นหนา

ภายใต้สถานการณ์แปลกประหลาดเช่นนี้ ทำให้หลิ่วหมิงอดไม่ได้ที่จะพึมพำกับตัวเอง หรือว่าหลังจากดูดซับโลหิตปีศาจสวรรค์ไปแล้ว แมงป่องกระดูกจะมีพลังวิเศษอะไรเพิ่มขึ้นมาอีก

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานครึ่งชั่วยาม ลูกหินสีเทากลิ้งไปกลิ้งมาภายในยอดเขาทั้งลูก จนเกือบดูดเศษหินบริเวณนั้นมาไว้บนตัวจนหมด ขณะเดียวกัน ก็ขยายใหญ่ขึ้นมาหลายจั้ง

หลังจากเกิดเสียงดังขึ้น ลูกหินกลมๆ ก็ค่อยๆ หยุดลง และทั่วทั้งยอดเขาก็กลับมาสงบดังเดิม

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็ลองเชื่อมจิตกับแมงป่องกระดูกอีกครั้ง แต่กลับไม่สามารถเชื่อมต่อได้เลยแม้แต่น้อย

ก้อนหินขนาดใหญ่กลับนอนนิ่งอยู่ภายในยอดเขา

หลิ่วหมิงรออยู่บริเวณนั้นครึ่งวัน หลังจากเห็นว่าลูกหินกลมๆ ไม่มีการเปลี่ยนใดๆ แล้ว เขาจึงกระตุ้นแสงหลบหลีกทันที ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็กลับถึงถ้ำที่พัก

เขามองดูสิ่งของระเนระนาดในถ้ำ และส่ายหน้าไปมา หลังจากกลับเข้ามาในห้องลับแล้ว ก็ตั้งใจฝึกฝนต่อ

ช่วงเวลาหลังจากนี้ หลิ่วหมิงมักจะมุดลงไปในยอดเขาทุกๆ สามถึงห้าวัน เพื่อตรวจสอบสถานการณ์ของแมงป่องกระดูก แต่กลับพบว่าก้อนหินกลมๆ ขนาดใหญ่ยังคงจมดิ่งอยู่ในห้วงนิทรา

เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นต่อเนื่องนานถึงครึ่งปี

วันนี้หลิ่วหมิงกำลังอาศัยดวงตามายาเพื่อทำการต่อสู้กับผู้อาวุโสจินหมานในแดนมายาอยู่ แต่สีหน้าของเขาก็พลันเปลี่ยนไปในทันที เขาปล่อยให้คู่ต่อสู้สังหารตนเองจนตาย และหลุดออกไปจากแดนมายา จากนั้นก็แตะมือข้างหนึ่งลงบนศิลาหุนเทียน พอหลับตาทั้งคู่ลง ก็มีเสียงดังหวึ่งข้างหู จากนั้นก็ออกจากห้องว่างเปล่าลึกลับ และกลับเข้ามาในห้องลับภายในถ้ำอีกครั้ง

พริบตาที่เขาลืมตาขึ้นมา ก็ตรวจสอบดูสิ่งที่เคลื่อนไหวอยู่ในถุงหนังทันที

ที่แท้หัวบินก็ฟื้นขึ้นมาด้วย มันกำลังอ้าปากพ่นหมอกโลหิตสีแดงอยู่ไม่หยุด จนปกคลุมเต็มถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณ

“นายท่าน ข้าจะบรรลุขั้นแล้ว รีบปล่อยข้าออกไปเถอะ” เสียงเด็กผู้ชายดังกระชั้นถี่ข้างหูหลิ่วหมิง

หลังเกิดเหตุการณ์ของแมงป่องกระดูกในก่อนหน้า หลิ่วหมิงจึงไม่รู้สึกแปลกใจเลยแม้แต่น้อย พอตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณบนเอว หมอกโลหิตก็พวยพุ่งออกมา และกลายเป็นศีรษะมนุษย์สีเขียวใบหนึ่ง

พอหัวบินปรากฏตัว หมอกโลหิตที่พ่นอยู่ในปากก็ประสานกันไปมา จนกลายเป็นรังไหมโลหิตกลมๆ ที่มีขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ และห้อหุ้มตัวเองไว้อย่างแน่นหนา

รังไหมโลหิตเพียงแค่หมุนตัวติ้วๆ กลิ่นไอของหัวบินก็ค่อยๆ เพิ่มขึ้นมาเหมือนกับแมงป่องกระดูก

ภายใต้การเพ่งมองของหลิ่วหมิง กลับค้นพบว่าไหมโลหิตที่ปกคลุมแน่นขนัดบนผิวรังไหม มีแสงโลหิตเปล่งประกายอย่างต่อเนื่อง และค่อยๆ หดขยายอยู่ไม่หยุด ราวกับมีอะไรบางอย่างกำลังเลื้อยขยุกขยิกอยู่ภายใน

เกิดเหตุการณ์แปลกประหลาดกับหัวบินเช่นนี้ เห็นได้ชัดว่ากำลังจะสำเร็จในเร็วๆ นี้แล้ว

จะว่าไปแล้ว การบรรลุระดับของแมงป่องกระดูกกับหัวบินในครั้งนี้ ต่างก็เกี่ยวข้องกับโลหิตปีศาจสวรรค์ อีกทั้งโลหิตปีศาจสวรรค์เกิดการเปลี่ยนแปลงกับอสูรเลี้ยงมากกว่าเขาเสียอีก

หลังจากหลิ่วหมิงมองดูหัวบินทีหนึ่งแล้ว ก็สูดหายใจเข้าลึกๆ และนั่งขัดสมาธิเข้าฌานทำการฝึกฝนต่อทันที

เวลาเที่ยงในอีกเจ็ดวันต่อมา อากาศที่ปลอดโปร่งเป็นหมื่นลี้ กลับมีเมฆดำปกคลุมในฉับพลัน เหนือเทือกเขาที่เป็นถ้ำที่พักของหลิ่วหมิง มีพายุบ้าระห่ำแผดเสียงดังก้อง พายุประหลาดสีเทาสลัวๆ กำลังพวยพุ่งเข้ามาเต็มฟ้า บริเวณที่มันพัดผ่านจะมีเศษหินดินทราย และเศษต้นไม้ กิ่งไม้ปลิวว่อน

ขณะเดียวกัน รังไหมโลหิตที่หัวบินสร้างขึ้นมา ยังคงหดขยายอย่างต่อเนื่อง แต่ไหมโลหิตบนผิวกลับมีขนาดใหญ่กว่าเจ็ดวันก่อนไม่น้อย แลดูคล้ายอสรพิษน้อยจำนวนมาก ขณะที่รังไหมโลหิตหดขยายอยู่ไม่หยุดนั้น หมอกโลหิตสีแดงก็แผ่ออกมาจากรังไหมโลหิตอย่างต่อเนื่อง

หลิ่วหมิงค้นพบถึงความผิดปกติเช่นกัน ทันใดนั้นเขาก็ลุกขึ้นมาทันที และจ้องมองการเปลี่ยนแปลงของรังไหมโลหิตตาไม่กะพริบ

ขณะที่หมอกโลหิตมีมากขึ้นเรื่อยๆ รังไหมโลหิตก็หดเล็กลงอย่างรวดเร็ว หลังจากเวลาครึ่งถ้วยชาผ่านไป มันก็หายไปอย่างไร้ร่องรอย ดูเหมือนว่าจะกลายเป็นหมอกโลหิตกลุ่มหนึ่งที่มีความหนาแน่นเป็นอย่างมาก

และหมอกโลหิตกลุ่มนี้ก็พวยพุ่งขึ้นด้านบนห้องลับราวกับถูกพลังฟ้าดินดึงดูด พอสัมผัสกับเพดานหินบนถ้ำ ก็ค่อยๆ จมเข้าไปอย่างน่าประหลาดใจ

หลิ่วหมิงปล่อยจิตออกไปโดยจับตำแหน่งของหมอกโลหิตโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง และค้นพบว่ามันพุ่งไปทางส่วนบนของยอดเขาอย่างรวดเร็ว ผ่านไปเพียงไม่กี่อึดใจ ก็รวมตัวกันเป็นรังไหมโลหิตที่หดขยายอยู่ไม่หยุด

ขณะเดียวกัน ก็เกิดเสียงดังโครมครามภายในภูเขา ทั่วทั้งห้องลับสั่นสะเทือนขึ้นมาอีกครั้ง

ดูเหมือนว่าหินกลมๆ ที่แมงป่องกระดูกสร้างขึ้น จะถูกพลังฟ้าดินอันแข็งแกร่งนี้ดึงขึ้นมา ภายใต้แสงสีเงินที่เป็นประกาย ในที่สุดมันก็ค่อยๆ พุ่งขึ้นด้านบน

“ตู๊ม!”

ผ่านไปสักพัก ลูกหินสีเทากลมๆ ก็พุ่งออกจากบนยอดเขา หลังจากหมุนตัววนกลางอากาศหนึ่งรอบแล้ว ก็ร่วงลงมาด้านล่าง ตำแหน่งที่ร่วงลงมาก็คือด้านข้างรังไหมโลหิตนั่นเอง

ท่ามกลางอากาศเหนือยอดเขาในขณะนี้ เมฆดำทั้งหมดก็ก่อตัวเป็นคลื่นระลอกคลื่นสีดำที่มีขนาดหลายสิบจั้ง พายุบ้าระห่ำที่มืดครึ้มและเย็นยะเยือกยังคงหมุนวนจากรอบด้านเข้าสู่ในนั้น และมีเสียงดังโครมครามดังออกมาตลอดเวลา

“ฟิ้ว!” แสงสีทองวาดตัวผ่านบนท้องฟ้า และมาปรากฏตัวด้านข้างของทั้งสอง

พอแสงสีทองดับลง เผยให้เห็นชายชุดคลุมสีเทาผู้หนึ่ง ซึ่งก็คือหลิ่วหมิงนั่นเอง

ตั้งแต่เขารับรู้ถึงการเปลี่ยนแปลงของฟ้าดินบนเทือกเขา ก็ขี่กระบี่บินตามออกมาจากถ้ำที่พักโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง

ภายในรังไหมขณะนี้ กลิ่นไอของหัวบินก็ชัดเจนขึ้นมา และแมงป่องกระดูกที่อยู่ภายในลูกหินสีเทาก็ค่อยๆ แผ่กลิ่นไอออกมา กลิ่นไอของทั้งสองประเดี๋ยวก็ประสานกัน ประเดี๋ยวก็แยกออกจากกัน และยังคงแข็งแกร่งขึ้นเรื่อยๆ

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็พอจะเข้าใจเล็กน้อยแล้ว

คิดไม่ถึงว่าอสูรเลี้ยงทั้งสองจะบรรลุระดับพร้อมกัน!

หลังจากหลิ่วหมิงคิดไตร่ตรองเล็กน้อยแล้ว ก็นำธงค่ายกลหกทิศที่เปล่งแสงสีทองออกมา หลังจากร่ายคาถาแล้ว ก็โยนมันไปยังอากาศรอบด้าน

จากนั้นมือทั้งสองของเขาก็ปล่อยพลังออกไปอย่างรวดเร็ว ธงค่ายกลหกทิศเปล่งแสงสีทองประกาย และค่อยๆ ร่วงลงรอบด้าน

ม่านแสงสีทองจางๆ หนึ่งชั้นปรากฏออกมา และปกคลุมทั้งสองไว้ด้านใน

ขณะนี้ สายฟ้าสีเขียวขนาดเท่าปากถ้วยกำลังพุ่งลงมาจากระลอกคลื่น และปะทะลงบนม่านแสงสีทองอย่างรุนแรง

สายฟ้าสีเขียวฟันผ่านอากาศไป ทำให้ม่านแสงสีทองสั่นสะเทือนอยู่ครู่หนึ่ง และมีรอยเว้าปรากฏออกมาหนึ่งแห่ง จากนั้นก็แตกกระจายเป็นชิ้นๆ

ขณะที่หลิ่วหมิงกำลังปล่อยพลังใส่ธงค่ายกลที่อยู่รอบด้าน เพื่อฟื้นฟูม่านแสงนั้น สายฟ้าสีเขียวก็ผ่าลงมาจำนวนมาก

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วกระตุ้นพลังสายฟ้าสวรรค์ในร่างทันที สายฟ้าสีเงินก่อตัวขึ้นบนฝ่ามือ และพุ่งออกไปรับมือกับสายฟ้าสวรรค์สีเขียว

“เปรี้ยงๆ!” สายฟ้าสีเขียวกับสีเงินกลางอากาศกระจายออกไปทั่วทิศ

หลังจากแสงสายฟ้าดับลง สายฟ้าสวรรค์สีเขียวนี้ก็ไม่มีทีท่าว่าจะหยุดลงเลยแม้แต่น้อย ยังคงฟันลงมาจากระลอกคลื่นอย่างต่อเนื่อง ทั้งยังดุเดือดรุนแรงมากขึ้นเรื่อยๆ

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด