ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 756 หลัวเทียนเฉิงกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 756 หลัวเทียนเฉิงกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 756 หลัวเทียนเฉิงกับเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ
โดย
Ink Stone_Fantasy
“ศิษย์พี่ท่านนี้ต้องการแลกสิ่งใด วัสดุ โอสถ หรือว่าอาวุธจิตวิญญาณ?” บริเวณทางเข้าชั้นสอง ชายหน้ายาวที่สวมชุดศิษย์ดำเนินการ อายุราวๆ สามสิบกว่าปี รีบลุกขึ้นมากล่าวกับหลิ่วหมิง

“ข้าอยากจะสอบถามว่าทางนี้มีวัสดุที่มีคุณสมบัติว่างเปล่าที่สามารถแลกได้หรือไม่?” หลิ่วหมิงรีบพูดออกมาตามตรง

“วัสดุที่มีคุณสมบัติว่างเปล่า? ให้ข้าตรวจสอบดูสักหน่อย แล้วค่อยบอกกับศิษย์พี่” ชายหน้ายาวสะบัดแขนเสื้อโดยไม่พูดพร่ำทำเพลง เขานำคัมภีร์หยกแววแววออกมาเล่มหนึ่ง และหรี่ตาทั้งคู่ทำการตรวจสอบ

ครู่ต่อมา เขาก็ปิดคัมภีร์หยกลง และกล่าวด้วยความเสียดาย

“ศิษย์พี่ผู้นี้ ต้องขอโทษด้วย ข้าได้ตรวจสอบดูวัสดุทั้งหมดที่มีในวิหารไท่เจินแล้ว ไม่มีสิ่งของที่มีคุณสมบัติเช่นนี้เลย”

“รบกวนศิษย์น้องแล้ว” หลิ่วหมิงประสานมือกล่าวด้วยแววตาผิดหวัง

แม้แต่วิหารไท่เจินยังไม่มีของสิ่งนี้ ดูท่าเรื่องตามหาวัสดุอสูรว่างเปล่าคงได้แต่ละทิ้งไว้ชั่วคราวแล้ว

เขาคิดไตร่ตรองเช่นนี้ในใจ จากนั้นก็หมุนตัวเดินออกไปจากวิหารไท่เจิน

ขณะที่เขาเดินออกมาตรงประตูใหญ่นั้น แสงหลบหลีกสีดำกับสีเงินก็พุ่งเข้ามา พริบตาเดียวก็ร่วงบนอากาศตรงหน้าหลิ่วหมิง พอแสงหลบหลีกดับลง กลับเป็นชายหนุ่มสองคนที่สวมชุดผ้าแพรสีเงิน

“หยุดก่อน! เจ้าคือหลิ่วหมิงใช่ไหม?”

ชายหนุ่มหน้าตาดุดัน รูปร่างค่อนข้างสูง ปราฏตัวตรงหน้าหลิ่วหมิง เขายื่นแขนขวาขัดขวางไว้พร้อมกับตะโกนออกมา

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ก็พอจะคาดเดาสถานการณ์ได้คร่าวๆ แล้ว เขาหมุนตัวเพื่อจะจากไป แต่กลับถูกชายหนุ่มใบหน้างดงาม ที่สวมชุดคลุมสีเงินอีกคนขวางทางไว้

“ศิษย์พี่หลิ่ว ข้าหลัวเทียนเฉิง เป็นศิษย์ยอดเขาสวรรค์ลี้ลับ ผู้นี้คือฟ่านเจิ้ง ลูกพี่ลูกข้าของข้า เคยมีคุณสมบัติเป็นหนึ่งในศิษย์คัดเลือกเข้าร่วมงานประตูสวรรค์ด้วยเช่นกัน” ชายหนุ่มชุดคลุมสีเงินประสานมือคารวะแล้วค่อยๆ กล่าวออกมา

หลิ่วหมิงได้ยินก็เผยแววตาประหลาดใจออกมา แต่ก็ฟื้นฟูกลับมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

พูดถึงหลัวเทียนเฉิงที่มีชื่อเสียงโด่งดังในนิกายในช่วงนี้แล้ว ทำไมเขาจะไม่รู้จักเล่า แม้กระทั่งอินจิ่วหลิงยังเคยพูดถึงชื่อนี้กับเขาเลย

และคนที่ชื่อฟ่านเจิ้งนี้เขาก็เคยได้ยินชื่อมาก่อน แม้ว่าจะไม่เป็นที่รู้จักเหมือนกับหลัวเทียนเฉิง แต่ก็มีชื่อเสียงในบรรดาศิษย์สายในไม่น้อย

“เทียนเฉิงอย่าพูดจาไร้สาระกับเขา หากเจ้ารู้ว่าควรจะทำเช่นไร ก็มอบสิทธิ์ในการเข้าร่วมงานประตูสวรรค์มาเถอะ บางทีข้าอาจจะข้าให้ผลประโยชน์แก่เจ้าเล็กน้อย ข้าจะได้ไม่ต้องลงมือเอง” ฟ่านเจิ้งกลับเผยแววตาโหดร้ายออกมา และกล่าวด้วยสีหน้าเคร่งขรึม

สำหรับข้อคิดเห็นเช่นนี้ หลิ่วหมิวย่อมไม่สนใจแต่อย่างใด หลังจากยิ้มบางๆ แล้ว ก็เคลื่อนไหวออกไปสี่ห้าจั้ง

“ฮึ! ไม่รู้จักให้เกียรติกันเลย! เทียนเฉิงหลบไป วันนี้ข้าจะสั่งสอนเจ้าเด็กที่ไม่รู้ฟ้าสูงแผ่นดินต่ำผู้นี้” ฟ่านเจิ้งเห็นเช่นนี้ก็โมโหเป็นอย่างมาก พอยกมือข้างหนึ่งขึ้น แผ่นผังอวกาศสีขาวดำก็พุ่งออกมาจากแขนเสื้อ

“ศิษย์พี่ฟ่าน ท่านลืมไปแล้วหรือว่าที่นี่คือที่ใด?” หลิ่วหมิงรับรู้ได้ถึงปราณจิตวิญญาณแปลกประหลาดที่อยู่ด้านหลัง แต่กลับกล่าวด้วยน้ำเสียงเคร่งขรึมโดยไม่ได้หันหน้ากลับไป

ฟ่านเจิ้งกระโดดขึ้นฟ้าราวไม่ได้ยินคำพูดของหลิ่วหมิง จากนั้นก็ปล่อยพลังใส่แผ่นผังอวกาศ แผ่นผังอวกาศที่มีขนาดแค่หนึ่งชุ่นกว่าๆ มีลายเส้นจิตวิญญาณสีดำกับสีขาวเปล่งประกายอยู่บนพื้นผิวอย่างบ้าคลั่ง และแผ่นค่ายกลนี้ก็หมุนตัวติ้วๆ ท่ามกลางพายุจนขยายใหญ่ห้าหกจั้ง ทำให้ผังอวกาศบนแผ่นค่ายกลขนาดใหญ่ดูชัดเจนขึ้นมา ขณะเดียวกัน ภายในรัศมีที่ปกคลุมก็มีพายุสีดำกับสีขาวม้วนตัวขึ้นมา

หลัวเทียนเฉิงเห็นเช่นนี้ก็ขมวดคิ้วทันที เท้าข้างหนึ่งกระทืบลงพื้นอย่างรุนแรง และกลายเป็นแสงสีเงินพุ่งถอยออกไป

หลิ่วหมิงคิดไม่ถึงว่าฟ่านเจิ้งจะลงมือในสถานที่แห่งนี้โดยไม่สนกฎของนิกาย เขาจึงมีท่าทีตอบสนองช้าไปหน่อยหนึ่ง ขณะที่กำลังตกใจนั้น พายุกระหน่ำสีดำขาวก็กลายเป็นกำแพงพายุในทันที และกักขังเขาไว้ด้านใน

ขณะนี้คลื่นพลังจิตวิญญาณก็ดึงดูดความสนใจของศิษย์ที่อยู่บริเวณนั้นมาดูการประลองนี้

“ในเมื่อศิษย์พี่ฟ่านจะตัดสินแพ้ชนะให้ได้ ข้าน้อยคงต้องตอบสนองแล้ว” หลิ่งหมิงเห็นเช่นนี้ก็เลิกคิ้วกล่าวด้วยสีหน้าเฉียบขาด

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง ไอดำก็ม้วนตัวออกจากร่างของเขา และคิดที่จะปล่อยกำปั้นใส่กำแพงพายุ

แต่ขณะนั้นเอง เท้าของเขาก็รู้สึกเบาขึ้นมา พายุบ้ากระหน่ำม้วนตัวออกมาจากด้านล่าง ทำให้อากาศรอบด้านหนาแน่นขึ้นมา และเขาก็ไม่อาจขยับตัวได้ชั่วเวลาหนึ่ง

“หลิ่วหมิง วันนี้ข้าจะนำเจ้ามาเก็บไว้ในกรงอวกาศนี้” ขณะเดียวกัน พลันมีน้ำเสียงเยือกเย็นของฟ่านเจิ้งดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง

ครู่ต่อมา ฟ่านเจิ้งตบมือข้างหนึ่งลงไปด้านล่าง แผ่นผังอวกาศสั่นสะเทือนกลางอากาศอย่างรุนแรง และยิ่งหมุนวนเร็วขึ้นเรื่อยๆ จนสีดำกับสีขาวผสมเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็ว

“ฟิ้ว!” อักขระสีดำกับสีขาวล่องลอยออกมาจากแผ่นผังอวกาศ แรงดึงดูดมหาศาลม้วนตัวลงไปอย่างบ้าคลั่ง ทำให้ร่างของหลิ่วหมิงถูกดูดขึ้นมา และพุ่งไปทางแผ่นผังอวกาศโดยตรง

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เผยแววตาเยือกเย็นออกมา ไอดำบนตัวม้วนตัวออกไป ร่างของเขาหยุดนิ่งอยู่กลางอากาศทันที ขณะเดียวกัน พลังที่คุมขังอยู่รอบด้านก็สั่นสะเทือนออกไป พอเอานิ้วแตะระหว่างคิ้ว แสงสีทองลำหนึ่งก็ม้วนตัวออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นสายรุ้งทองคำที่ยาวหนึ่งจั้งกว่าๆ

“ไป!”

ขณะที่หลิ่วหมิงตะโกนออกมาเบาๆ นั้น รุ้งกระบี่สีทองก็แยกตัวจากหนึ่งเป็นสอง จากสองเป็นสี่ พริบตาเดียวก็กลายเป็นแสงกระบี่แปดลำพุ่งไปรับมือกับอักขระสีขาวดำที่กำลังร่วงลงมา

เกิดเสียงแตกหักดังมาจากกำแพงพายุอย่างต่อเนื่อง อักขระอวกาศสีดำกับสีขาวแต่ละตัวถูกรุ้งกระบี่ฟันจนแตกกระจายกลายเป็นจุดๆ และสลายไปในอากาศ

ฟ่านเจิ้งที่อยู่กลางอากาศเห็นเช่นนี้ ก็เผยสีหน้าตกใจออกมา เขาตบแผ่นอวกาศอย่างรุนแรงอีกครั้ง และใส่พลังเวทเข้าไปในนั้นอย่างบ้าคลั่ง อักขระอวกาศหลายร้อยตัวพวยพุ่งออกจากผิวแผ่นค่ายกล หลังจากรวมตัวกันกลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นอักขระขนาดสิบกว่าจั้ง และกระแทกลงพื้นอย่างรุนแรง

“ฟัน!”

หลิ่วหมิงรู้สึกแค่ว่ามีแรงกดดันจิตวิญญาณมหาศาลโจมตีเข้ามา จึบรีบเก็บแสงกระบี่ที่กลายร่างมาจากกระบินพลังจิตวิญญาณทั้งหมด ทันใดนั้นแสงกระบี่ที่ยาวเจ็ดแปดจั้งก็หมุนวนอยู่รอบตัวเขา

เกิดเสียงดัง “ฟิ้วๆ!” อยู่ชั่วขณะหนึ่ง!

มันคือกำแพงพายุสีดำขาวที่แผ่นผังอวกาศสร้างขึ้นมา ภายใต้การการปั่นของปราณกระบี่ที่อยู่รอบด้าน ทำให้เกิดรอยร้าวแคบยาวบนพื้นผิว

“ระวัง!”

หลัวเทียนเฉิงที่มองดูการต่อสู้อยู่เห็นเช่นนี้ ก็รีบตะโกนออกไปออกไปทันที

แต่ฟ่านเจิ้งยังไม่ทันได้มีท่าทีตอบสนองใดๆ ก็มีเสียงคำรามของหลิ่วหมิงดังขึ้นมาจากด้านล่าง

“กระบี่ร่างเป็นหนึ่ง!”

แสงสีทองเจิดจ้าม้วนตัวหลิ่วหมิงขึ้นมา และกลายเป็นสายรุ้งยาวพุ่งไปยังอักขระอวกาศขนาดใหญ่

จะพอทั้งสองปะทะกัน คลื่นบางอย่างก็โจมตีกำแพงพายุจนแตกกระจาย

ทั้งสองคุมเชิงกันแค่พริบตาเดียว อักขระอวกาศสีขาวดำก็แตกกระจายเป็นเสี่ยงๆ สายรุ้งสีทองสายหนึ่งพุ่งทะลุผ่านไป หลังจากมีเสียงดัง “ฟิ้ว!” สายรุ้งสีทองก็วาดตัวผ่านไป

แผ่นผังอวกาศส่งเสียงแตกหักออกมา จากนั้นก็มีรูใหญ่ตรงกลางเหมือนกระดาษแปะ และมีเสียงร้องอย่างเวทนาอยู่พักหนึ่ง

ภายใต้การหมุนวนของสายรุ้งสีทอง พอแสงดับลง ก็เผยให้เห็นหลิ่วหมิงที่ถือกระบี่บินว่างเปล่าอยู่

“ตู๊ม!”

แผ่นผังอวกาศเปล่งประกายสองสามที จากนั้นก็ระเบิดตัวกลางอากาศ จนกลายเป็นเศษสีขาวดำผสมปนเปกับฝนโลหิตร่วงลงมาจากท้องฟ้า

เงาร่างสีเงินโซเซออกมาจากเศษสีขาวดำเหล่านี้ ซึ่งก็คือฟ่านเจิ้งนั่นเอง

จะเห็นว่าในขณะนี้ แขนขวาของเขาถูกตัดออกมา บริเวณที่ขาดมีโลหิตไหลย้อยลงมา หลังจากร่างของเขาโงนเงนสองสามทีแล้ว ก็ล้มลงพื้นและหมดสติไป

ตั้งแต่ตอนที่หลิ่วหมิงปล่อยกระบี่บินพลังจิตวิญญาณออกมา จนถึงตอนที่ทำลายแผ่นอวกาศที่ฟ่านเจิ้งควบคุมนั้น เป็นเรื่องที่เกิดขึ้นในช่วงเวลาแค่สองสามอึดใจเท่านั้น สิ่งนี้ทำให้ศิษย์ที่ดูการต่อสู้อยู่พากันตกใจเป็นอย่างมาก

ขณะนั้นเอง หลัวเทียนเฉิงก็มาปรากฏตัวด้านข้างฟ่านเจิ้ง พอโบกมือข้างหนึ่ง ก็ดูดแขนที่ตกอยู่บนพื้นบริเวณนั้นเข้ามาไว้ในมือ เมื่อนำไปประกบบนบาดแผลเสร็จแล้ว ก็ใช้มืออีกข้างก็ขยี้ยันต์สีฟ้าจางๆ มาแปะไว้อย่างรวดเร็ว

ม่านแสงสีฟ้าปกคลุมร่างของฟ่านเจิ้งไว้ภายในพริบตา โลหิตหยุดไหลออกจากบาดแผลบนไหล่ และเริ่มสมานเข้าด้วยกัน

ขณะนี้ หลัวเทียนเฉิงถึงหันมากล่าวกับหลิ่วหมิงด้วยน้ำเสียงเยือกเย็น

“ศิษย์พี่หลิ่ว ก็แค่การแลกมือกันในนิกายเท่านั้น ไม่ลงมือหนักไปหน่อยหรือ?”

“ศิษย์พี่ฟ่านไม่สนแม้แต่กฎของนิกาย ลงมือลอบโจมตีข้าโดยตรง ข้ากลับคิดว่าการลงมือสั่งสอนในเมื่อครู่มันยังเบาไปหน่อย” หลิ่วหมิงได้ยินก็กล่าวอย่างไม่เห็นว่าจะเป็นเช่นนั้น

“ฮึ! ในเมื่อศิษย์พี่หลิ่วกล่าวเช่นนี้แล้ว ข้าผู้แซ่หลัวก็จำเป็นต้องสั่งสอนท่านเล็กน้อยแล้ว” หลัวเทียนเฉิงได้ยินก็รู้สึกโมโหขึ้นมา แต่ยังคงกล่าวด้วยใบหน้าไร้ความรู้สึก

พอน้ำเสียงสิ้นสุดลง เขาก็สะบัดแขนทั้งสองทันที ทันใดนั้นเปลวไฟสีเงินก็พวยพุ่งออกมาจากตัว

เสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามดังขึ้นมาพักหนึ่ง!

เงามังกรสี่ตัวกับเงาพยัคฆ์สี่ตัวพุ่งออกจากตัวหลัวเทียนเฉิง และแยกเขี้ยวยิงฟันอยู่เหนือศีรษะของเขา

ที่เจ้าเด็กหนุ่มผู้นี้ฝึกฝนก็เป็นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเช่นกัน แต่แตกต่างจากเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่หลิ่วหมิงแสดงออกมา โดยที่เงามังกรพยัคฆ์ทมิฬที่เขาสร้างขึ้นมานั้นเป็นสีเงิน

จะเห็นว่าเงามังกรสี่ตัวยาวสามสิบจั้ง แต่ละตัวต่างก็มีอักขระสีเงินปรากฏอยู่บนตัวอย่างชัดเจน ดวงตาทั้งคู่ก็มีเปลวไฟสีเงินเปล่งประกายอยู่ไม่หยุด แลดูราวกับมีชีวิตจริงๆ

เงาพยัคฆ์สีเงินทั้งสี่ตัวก็มีขนาดเจ็ดแปดจั้ง ทั้งยังมีใบหน้าโหดเหี้ยมเป็นอย่างยิ่ง

ขณะที่เงามังกรพยัคฆ์ปรากฏตัวออกมานั้น ศิษย์จำนวนหนึ่งที่มองดูอยู่รอบๆ ต่างก็รับรู้ได้ถึงแรงกดดันจิตวิญญาณอันแข็งแกร่งที่ม้วนตัวออกมาอย่างบ้าคลั่ง จนต้องพากันร่นออกไปด้วยสีหน้าที่เปลี่ยนไปเป็นอย่างมาก สองสามคนที่อยู่ค่อนข้างใกล้ ต่างก็พากันร่นถอยออกไปร้อยกว่าจั้ง จากนั้นถึงถอนหายใจด้วยความโล่งอก

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ย่อมรู้สึกตกใจมาก

แม้ว่าศิษย์สายในต่างก็สามารถฝึกฝนเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬได้ แต่มันก็ฝึกฝนได้ยากมาก นี่กลับเป็นครั้งแรกที่เขาเจอคนฝึกวิชานี้ในนิกาย มังกรพยัคฆ์สีเงินที่ฝ่ายตรงข้ามก่อตัวขึ้นมาแตกต่างจากเขามาก ยิ่งทำให้ใจของเขาร่วงหล่นลงไปทันที “ตุ๊บ!”

ดูเหมือนว่าเขาจะเก็บกระบี่บินไปโดยไม่ต้องคิด หลังจากส่งเสียงคำรามออกมาแล้ว ก็กระตุ้นเคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬเช่นกัน

ไอหมอกสีดำพวยพุ่งรอบตัวหลิ่วหมิง ทันใดนั้นเสียงมังกรร้องพยัคฆ์คำรามก็ดังออกมาเช่นกัน มังกรหมอกดำห้าตัวที่ยาวสิบกว่าจั้งกับพยัคฆ์หมอกดำก่อตัวขึ้นมาจากไอดำที่อยู่ด้านหลัง

เพียงแต่ว่าเมื่อเทียบกับเงาร่างมังกรพยัคฆ์สีเงินที่หลัวเทียนเฉิงสร้างขึ้นมาแล้ว มังกรพยัคฆ์ดำของหลิ่วหมิงมีขนาดเล็กกว่ามาก

“เคล็ดวิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬ! คิดไม่ถึงว่าเจ้าก็ฝึกฝนวิชานี้ด้วย ทั้งยังบรรลุขั้นที่ห้าแล้ว! ดี! ดีมาก!” พอหลัวเทียนเฉิงเห็นมังกรพยัคฆ์สีดำที่พุ่งขึ้นมาบนตัวหลิ่วหมิง เขาก็รู้สึกตกตะลึงเล็กน้อย แต่ก็ยิ้มอย่างเยือกเย็นในทันที ยังไม่ทันเห็นว่าเขาจะมีท่าทีใดๆ มังกรพยัคฆ์เหนือศีรษะก็พุ่งขึ้นฟ้าด้วยเสียงอันดัง “ตู๊ม!” และกระโจนเข้าหาหลิ่วหมิงอย่างโหดเหี้ยม

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด