ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 768 ส่ง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 768 ส่ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ชั่วเวลาหนึ่งถ้วยชาผ่านไป เมื่อหลิ่วหมิงมาถึงยอดเขาหลักนั้น บนลานหินสีดำก็มีคนมารวมตัวกันร้อยกว่าคนแล้ว

คนเหล่านี้ส่วนมากจะสวมชุดของศิษย์ยอดเขาต่างๆ และระดับการฝึกฝนส่วนใหญ่จะอยู่ที่ระดับผลึก ขณะนี้กำลังจับกลุ่มสองสามคนทำการพูดคุยอะไรบางอย่างอยู่ นอกจากนี้ยังมีไม่กี่คนที่สวมชุดแตกต่างกันเล็กน้อย เห็นได้ชัดว่ากลิ่นไอเหนือกว่าศิษย์เหล่านี้มาก คงเป็นผู้ควบคุมยอดเขากับผู้อาวุโสของแต่ละยอดเขา

และหน้าวิหารใหญ่ของยอดเขาหลัก เทียนเกอเจินเหรินที่สวมชุดคลุมสีเหลืองกำลังพูดคุยอะไรบางอย่างกับชายวัยกลางคนสวมชุดคลุมสีเทาที่มีท่าทีเหมือนบัณฑิตเล็กน้อย

ภายใต้การใช้จิตกวาดดูของหลิ่วหมิง ดูเหมือนว่าชายชุดคลุมสีเทาผู้นั้น ก็เป็นผู้ฝึกฝนระดับดาราพยากรณ์เช่นกัน อีกทั้งพลังก็ล้ำลึกจนไม่อาจหยั่งรู้ได้ จะต้องไม่ใช่สิ่งที่ระดับดาราพยากรณ์ทั่วไปสามารถเทียบเทียมได้ คงจะเป็นหนึ่งในผู้อาวุโสสูงสุดของนิกายยอดบริสุทธิ์

หลังจากเขามองไปรอบๆ อีกครั้ง ก็ไม่ค้นพบร่องรอยของศิษย์ยอดเขาลั่วโยวคนอื่นๆ เลย ศิษย์ในสถานที่แห่งนี้ นอกจากหลงเหยียนเฟย และหลัวเทียนเฉิงแล้ว คนอื่นๆ เขาไม่รู้จักเลยสักคน

นึกถึงเขาเข้านิกายยอดบริสุทธิ์มาหลายสิบปี นอกจากเก็บตัวฝึกฝนอย่างยากลำบากแล้ว ก็ออกไปนอกนิกายอยู่บ่อยๆ แม้จะนับว่ามีชื่อเสียงเล็กๆ ในนิกายอยู่บ้าง แต่คนที่เขารู้จักยังคงมีอยู่น้อยมาก

หลังจากหลิ่วหมิงถอนหายใจออกมาแล้ว ก็ร่อนเมฆลงไปยังสถานที่ที่มีคนไม่ค่อยมาก

ผ่านไปราวๆ ครึ่งชั่วยาม เทียนเกอเจินเหรินก็ล่องลอยมาถึงแท่นสูงตรงหน้าลานกว้าง หลังจากทำเสียงกระแอมไอเล็กน้อย ก็พูดเสียงดังออกมา

“ศิษย์ที่เข้าร่วมงานประตูสวรรค์มากันครบแล้ว ออกเดินทางได้แล้ว คนอื่นๆ ที่อยากไปเปิดประสบการณ์ ก็สามารถไปด้วยกันได้ คนที่ยังมาไม่ถึงพวกเราก็ไม่จำเป็นต้องรอแล้ว”

กล่าวจบเขาก็ยกแขนขึ้นมา แสงแวววาวพุ่งออกจากแขนเสื้อ หลังจากหมุนติ้วๆ แล้ว รถเหาะยักษ์สีเขียวสลัวๆ ก็ร่วงลงบนพื้นที่ราบเรียบด้านหน้าวิหารอย่างมั่นคง

รถเหาะลำนี้ยาวเกือบหนึ่งร้อยจั้ง สูงห้าหกจั้ง หัวรถเป็นรูปสามเหลี่ยม อักขระสีเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าๆ เปล่งประกายระยิบระยับอยู่บนพื้นผิว อักขระสีเขียวขนาดใหญ่สองตัว ‘ยอดบริสุทธิ์’ แลดูมีพลังน่าตกใจเป็นอย่างมาก

เทียบกับเรือเหาะที่เทียนเกอเจินเหรินปล่อยออกมานี้ ต้นแบบวุธเวทเหินเวหาที่หลิ่วหมิงเคยเห็นมาทั้งหมด ย่อมไม่มีค่าควรจะกล่าวถึง

เทียนเกอเจินเหรินกับชายชุดเทาเหาะขึ้นไปบนรถเหาะก่อน และศิษย์คนอื่นๆ เกือบหนึ่งร้อยคนเห็นเช่นนี้ ก็พากันขี่อาวุธเวทเหินเวหาของตนเองขึ้นไปบนนั้น

ขณะที่หลิ่วกำลังจะกระโดดขึ้นไปบนรถเหาะนั้น แสงหลบหลีกสีฟ้าก็พุ่งมาจากที่ไกลๆ หลังจากกะพริบไม่กี่ที ก็ร่วงลงตรงหน้าเขา

พอแสงดับลง หญิงสาวรูปร่างอรชร ใบหน้างดงามผู้หนึ่งก็ปรากฏออกมา นางก็คือเจียหลานนั่นเอง

หลังสิ้นสุดการประลอง และทำการหมั้นหมายมาเป็นเวลาหนึ่งปี พวกเขาทั้งสองก็ไม่เคยติดต่อกันเลย วันนี้อยู่ๆ ก็มาเจอกันในสถานที่แห่งนี้ ทำให้หลิ่งหมิงรู้สึกเคอะเขินไปชั่วขณะหนึ่ง ไม่รู้ว่าควรพูดอะไรออกมาดี

แม้ว่าเจียหลานจะเป็นคนมาหาก่อน แต่ก็หน้าแดงไปทั้งแถบ นางก้มหน้าเล็กน้อย ดูเหมือนไม่ค่อยกล้ามองชายที่อยู่ตรงหน้า

“อ่ะแฮ่ม…ศิษย์น้องเจียหลาน…” หลังจากผ่านไปพักใหญ่ๆ หลิ่วหมิงถึงกระแอมไอออกมา และคิดที่จะเอ่ยปากพูดคุยเพื่อทำลายบรรยากาศเคอะเขินนี้

แต่ในขณะนั้นเอง สาวงามตรงหน้ากลับเงยหน้าขึ้นแล้วก้าวไปด้านหน้าหนึ่งก้าว นางกอดหลิ่วหมิงพร้อมกับกลิ่นหอมจางๆ และกระซิบเบาๆ ข้างหูหลิ่วหมิง

“พี่หลิ่ว ถนอมตัวด้วย!”

ครั้งนี้ พอหลิ่วหมิงรู้สึกว่าในอ้อมกอดเต็มไปด้วยความหอมอบอุ่น เขาก็หายใจถี่ๆ ทันที ไม่รู้ว่าควรมีท่าทีอย่างไรดี

แต่ผ่านไปไม่นาน นางก็คลายอ้อมกอดออกมา หลังจากยิ้มพรายแล้ว ก็หมุนตัวขี่เมฆล่องลอยจากไป

“หลิ่วหมิง ยังไม่รีบขึ้นมาอีก!”

ขณะที่หลิ่วหมิวยังยืนอึ้งมองดูหญิงสาวที่จากไปนั้น เทียนเกอเจินเหรินกลับส่งเสียงมาเร่งเขา

หลังจากเขาถอนหายใจออกมาเบาๆ แล้ว ก็กลับมาเป็นปกติ จากนั้นก็หมุนตัวพุ่งขึ้นไปบนรถเหาะยักษ์

แต่แม้ว่าเขาจะเหาะขึ้นไปบนรถเหาะแล้ว ก็ยังอดไม่ได้ที่จะมองดูแสงหลบหลีกของเจียหลานที่จากไปไกลๆ ทีหนึ่ง ขณะเดียวกันใบหน้าของเขาก็ดูซับซ้อนขึ้นมา

พอเทียนเกอเจินเหรินเห็นว่าศิษย์ที่อยู่ด้านล่างขึ้นไปบนรถเหาะกันหมดแล้ว เขาก็พลิกฝ่ามือนำแผ่นค่ายกลสีเงินที่มีขนาดหนึ่งชุ่นกว่าๆ ออกมา

เขาใช้นิ้ววาดลงบนนั้นสองสามที จะเห็นว่าแสงสีเขียวเปล่งประกายทั้งสองด้านของรถเหาะ พายุหมุนม้วนตัวออกไปอยู่พักหนึ่ง และยกรถเหาะขึ้นมา จากนั้นก็กลายเป็นสายรุ้งสีเขียวพุ่งไปทางด้านทิศตะวันตก

ชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป หลิ่วหมิงรู้สึกว่าทิวทัศน์ทั้งสองด้านดูพร่ามัวไม่ชัดเจน และพุ่งถอยไปด้านหลังอย่างรวดเร็ว จากนั้นรถเหาะก็ออกห่างจากเทือกเขาหมื่นวิญญาณไป ความเร็วของรถเหาะทำให้ศิษย์ที่อยู่บนนั้นชมเปาะด้วยความตื่นตะลึง

ขณะนี้เขาถึงสังเกตดูสภาพบนรถเหาะยักษ์ จะเห็นว่าด้านหลังของรถเหาะมีทางเดินบันไดอยู่เส้นหนึ่ง มันพาดลงไปสู่ชั้นล่าง ซึ่งมีศิษย์ทยอยกันเดินลงไป และศิษย์คนอื่นๆ ก็มีบางส่วนชมภาพทิวทัศน์อยู่บนนี้

หลังจากหลิ่วหมิงลังเลอยู่ครู่หนึ่งแล้ว ก็เดินลงบันไดไป

ตอนนี้เขาถึงค้นพบด้วยความประหลาดใจว่า ทั้งสองด้านของทางเดินจะเป็นห้องลับแต่ละห้อง ประตูห้องลับบางห้องมีอักขระสีแดงสะท้อนออกมาว่า ‘เต็ม’ และส่วนมากจะสะท้อนอักขระสีเขียวว่า ‘ว่าง’

เขาเดินไปจนสุดทางเดิน และผลักประตูห้องลับที่ว่างห้องหนึ่ง พริบตาที่เขาปิดประตูลงนั้น แสงสีเขียวบนประตูก็กลายเป็นสีแดงทันที ‘เต็ม’

นี่เป็นห้องที่เรียบง่ายห้องหนึ่ง มีพื้นที่แค่ห้าหกจั้ง นอกจากจะมีเตียงเรียบง่ายวางอยู่หนึ่งเตียงแล้ว ก็ไม่มีของสิ่งอื่นอีก ผนังรอบห้องมีอักขระโบราณสีดำแปลกประหลาดประทับอยู่หลายตัว มันคงจะเป็นชั้นจำกัดปิดกั้นบางอย่าง

เขาขึ้นไปนั่งขัดสมาธิบนเตียงทันที หลังจากนำโอสถแฝงจิตวิญญาณมาทานไปหนึ่งเม็ดแล้ว ก็ฝึกฝนอย่างสบายใจ

ในตลอดการเดินทาง นอกจากอาศัยค่ายกลส่งตัวไม่กี่ครั้งที่จำเป็นต้องเก็บรถเหาะแล้ว เขาก็ดูเหมือนจะเก็บตัวอยู่ในห้องลับทำการฝึกฝนอย่างตั้งใจ

 หลังจากเดินทางไปทางทิศตะวันตกราวๆ สามเดือน รถเหาะก็มาปรากฏตัวตรงตีนเขาหิมะขนาดมหึมาที่เป็นสีขาวไปทั้งแถบ

“ลงรถได้แล้ว จุดหมายการเดินทางในครั้งนี้ได้มาถึงแล้ว” วันนี้ เสียงของเทียนเกอเจินเหรินดังขึ้นข้างหูหลิ่วหมิง ในขณะที่เขากำลังนั่งเข้าฌานอยู่

เขาเก็บพลังในทันที และเดินออกไปจากห้องลับ

พอหลิ่วหมิงไปจากชั้นล่างของรถเหาะ และเหยียบลงบนดาดฟ้าเรือ ไอเย็นสะท้านเสียดกระดูกก็ปะทะใส่หน้า แม้แต่ผู้ที่มีกายเนื้อแข็งแกร่งอย่างเขา ยังคงรู้สึกเย็นยะเยือกจนต้องกระตุ้นพลังดึงกระแสไออุ่นไปยังส่วนต่างๆ ทั่วร่าง

ขณะนี้เขาถึงสังเกตดูสภาพการณ์รอบๆ ด้าน

จะเห็นว่าด้านหลังของเขา เป็นภูเขาหิมะที่ทอดยาวติดต่อกันพันกว่าลี้ นอกจากภาพหิมะสีขาวกับกองก้อนหินยักษ์จำนวนหนึ่งที่ถูกหิมะปกคลุมแล้ว ก็ไม่มีสิ่งอื่นใดอีก

พื้นที่ราบเรียบใต้ตีนเขาหิมะ มีกระโจมกางอยู่เป็นจำนวนมาก ดูเหมือนจะล้อมรอบภูเขาหิมะทั้งลูกไว้ ดูท่าคงจะเป็นกลุ่มอิทธิพลของนิกายต่างๆ กับตระกูลใหญ่จำนวนหนึ่ง ไม่รู้ว่ามาดูความสนุกหรือมาเข้าร่วมงานประตูสวรรค์กันแน่

และบริเวณที่ไกลออกไป ก็มีหอจำนวนหนึ่งที่มีรูปแบบแตกต่างกันออกไปตั้งตระหง่านอยู่

 สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่ที่มีความสูงสิบกว่าจั้ง แต่ละหลังมีระยะห่างหลายลี้ บนนั้นมีธง ป้าย และสิ่งของอื่นๆ ของนิกายเทียนกง นิกายปีศาจลี้ลับ ตระกูลโอวหยาง แขวนอยู่ แต่ละอันดูเตะตาเป็นอย่างยิ่ง

สิ่งก่อสร้างเหล่านี้เป็นที่พักของสี่ยอดนิกายใหญ่ แปดตระกูลใหญ่ และกลุ่มอิทธิพลที่มีชื่อเสียงอื่นๆ

ห่างจากสิ่งก่อสร้างเหล่านี้ไปราวๆ สิบกว่าลี้ บนยอดเขาหิมะที่มีไม่ค่อยสูงมากลูกหนึ่ง มีสิ่งก่อสร้างสูงสิบกว่าจั้งตั้งตระหง่านอยู่หนึ่งหลัง ภายนอกของมันมีลักษณะคล้ายกับหัววัว แลดูเตะตาเป็นยิ่งนัก

หลิ่วหมิงหรี่ตาทั้งคู่ลง พอมองดูอย่างละเอียด ด้านนอกสิ่งก่อสร้างนี้ มีธงสีเขียวขนาดใหญ่กำลังโบกสะบัดตามลม บนธงมีอักขระสีทองขนาดใหญ่ปรากฏอยู่อย่างชัดเจนว่า ‘หุบเขาปีศาจสวรรค์’

“คนของหุบเขาปีศาจสวรรค์ก็มาด้วย” หลิ่วหมิงพูดพึมพำไปหนึ่งประโยค จากนั้นก็ตามศิษย์คนอื่นๆ กระโดดลงจากรถเหาะยักษ์

“ศิษย์พี่เฉียน นอกจากสี่ยอดนิกายใหญ่และแปดตระกูลใหญ่แล้ว กลุ่มอิทธิพลอื่นๆ มีที่ไปที่มาอย่างไร?” ศิษย์ยอดเขาดับสูญผู้หนึ่งที่อยู่ด้านข้างหลิ่วหมิง ถามคำถามนี้กับศิษย์อีกคนที่มีมิตรไมตรีดีต่อกัน

“งานประตูสวรรค์เป็นงานใหญ่ที่พันปีมีครั้งหนึ่ง แม้ว่าจะไม่ใช่ทุกนิกายในแผ่นดินจงเทียนที่มีสิทธิ์เข้าร่วม แต่ยังมีนิกายและตระกูลเล็กๆ จำนวนหนึ่งมาดูงานนี้ด้วยตาตนเอง” ชายผอมสูงอีกคนตอบกลับไปอย่างราบเรียบ

ขณะที่ผู้คนกำลังทำการกระซิบกระซาบกันอยู่นั้น ร่างของชายชุดเทาที่ยืนเคียงบ่าเทียนเกอเจินเหริน ก็พร่ามัวหายไปจากที่เดิม

ครู่ต่อมา ร่างของชายชุดคลุมสีเทาก็ปรากฏตัวบนพื้นว่างเปล่าบริเวณที่รถเหาะยักษ์ลงจอด ทันทีที่เขายกมือขึ้นมา แสงสีทองเจิดจ้าก็เปล่งประกาย เงาหอหลังเล็กๆ พุ่งยิงออกมา หลังจากหมุนตัวติ้วๆ กลางอากาศแล้ว ก็กลายเป็นหอขนาดใหญ่ที่สูงสิบกว่าจั้ง มันปกคลุมพื้นที่หลายสิบจั้ง และค่อยๆ ร่วงลงบนพื้นอย่างมั่นคง

 จากนั้นชายชุดเทาก็โบกมือข้างหนึ่ง ก้อนหินยักษ์บนหิมะที่สูงสองจั้งพุ่งยิงออกมา และร่วงลงด้านหน้าหอ

 ชายชุดเทาดีดนิ้วทั้งสิบติดต่อกันอีกครั้ง ปราณกระบี่ไร้รูปแต่ละสายถูกปล่อยออกไป พริบตาเดียวบนก้อนหินยักษ์ก็มีอักขระทรงพลังสลักไว้ว่า ‘นิกายยอดบริสุทธิ์’

หลังจากทำทุกอย่างนี้เสร็จ ชายชุดคลุมสีเทาก็เคลื่อนไหวมาปรากฏตัวด้านข้างเทียนเกอเจินเหรินอีกครั้ง

ทุกขั้นตอนการกระทำสำเร็จในคราเดียวราวกับสายน้ำไหล ไม่เพียงแต่ทำให้หลิ่วหมิงและคนอื่นๆ มองดูจนอึ้งเล็กน้อยเท่านั้น ยังทำให้ศิษย์ของกลุ่มอิทธิพลต่างๆ ที่อยู่ในกระโจมบริเวณนั้น พากันมองมาทางนี้ และกระซิบกระซาบกันอยู่ครู่หนึ่ง

แต่หลังจากศิษย์เหล่านี้เห็นคำว่านิกายยอดบริสุทธิ์บนก้อนหินยักษ์ กลับต้องสูดหายใจเข้าด้วยความรู้สึกเย็นสะท้าน บ้างก็ส่งเสียงพูดเบาลง บ้างก็รีบหมุนตัวกลับไปรายงานผู้อาวุโส

“เวลาหลังจากนี้ ข้ากับผู้อาวุโสเจ้าจะไปเยี่ยมเยียนคนรู้จักจำนวนหนึ่ง หอหลังนี้ให้พวกเจ้าทำการพักผ่อนและฝึกฝน สถานที่แห่งนี้มีงูมังกรปะปนกันสะเปะสะปะ เลี่ยงไม่ได้ที่จะไม่มีคนเจตนาไม่ดี พวกเจ้าต้องระมัดระวังให้มาก”

เทียนเกอเจินเหรินทำราวกับไม่เห็นทุกสิ่งที่เกิดขึ้น แต่กลับหันมากำชับผู้คนทั้งหมด จากนั้นก็ทะยานฟ้าไปกับชายชุดเทา และพุ่งไปยังสิ่งก่อสร้างขนาดใหญ่หลายแห่งที่อยู่ใกล้กัน

หลังจากทั้งสองไปไกลแล้ว ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์จำนวนหนึ่งก็ไม่ได้เดินตรงเข้าไปในหอ แต่กลับจับกลุ่มสองสามคนพุ่งออกไป ซึ่งไม่รู้ว่าพวกเขาไปทำอะไรกัน

หลิ่วหมิงก็ไม่สนใจว่าคนอื่นจะเป็นอย่างไร เขาเดินเข้าไปในหอ และเลือกห้องที่อยู่ไกลที่สุด เขานำป้ายประจำตัวมาโบกบนประตู พอมันส่งเสียงดัง “แคล่ก!” แล้วเปิดออกมา เขาก็ก้าวเข้าไปด้านใน

………………………………

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด