ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 783 บุรุษหน้าเหยี่ยว

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 783 บุรุษหน้าเหยี่ยว at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ภูมิประเทศในหุบเขาสูงชันซับซ้อน ทั้งสามคนต้องเหาะหลบหลีก จึงไม่อาจเพิ่มความเร็วได้ ดวงตามองเห็นตะขาบสีเงินเร็วขึ้นทุกที ทิ้งห่างทั้งสามคนไปช่วงหนึ่งแล้ว

ศิษย์ผอมสูงเหาะอยู่ด้านหน้าสุด ทันใดนั้นเขาก็ตวาดเสียงดัง สองมือตบประกบกันจนเกิดเสียง จากนั้นง้างออกอย่างแรงประดุจง้างคันศร แสงสีน้ำเงินเข้มผุดออกมาบนร่างของเขา เบื้องหน้าศรแสงใหญ่หนาดอกหนึ่งก่อตัวขึ้น หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งก็ปล่อย ศรแสงพาเสียงแหวกอากาศดังกึกก้องพุ่งเร็วรี่ออกไปเบื้องหน้า

ศรแสงเร็วอย่างที่สุด เพียงพริบตาเดียวก็ไล่ตามตะขาบสีเงินทัน โจมตีลงบนหลังสีเงินแวววาวของมันอย่างแม่นยำ

เสียงระเบิดดังเปรี้ยงขึ้นหนึ่งหนพาก้อนแสงสว่างแสบตากระจายออกมาจากแผ่นหลังของตะขาบ หลังแสงรัศมีดับหายไป บริเวณที่มันถูกโจมตีก็หลงเหลือเอาไว้เพียงรอยแผลจางๆ เส้นหนึ่งเท่านั้น

“เปลือกแข็งแกร่งยิ่งนัก!” ชายหนุ่มผอมสูงเห็นภาพนี้พลันกัดลิ้น

ตะขาบกลับส่งเสียงกรีดร้องเจ็บปวดออกมาทีหนึ่ง แสงสีเงินรอบร่างสว่างวูบแล้วพลันเปลี่ยนทิศทาง ความเร็วที่วิ่งหนีเร็วขึ้นกว่าเดิมอีกหลายส่วน

“พวกเราแยกกันไล่ล่า ปล่อยปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นปลายตัวนี้หนีไปไม่ได้เด็ดขาด!” หลัวเทียนเฉิงดวงตาสว่างวาบ ตะขาบสีเงินตัวนี้แข็งแกร่งยิ่งกว่าที่จินตนาการไว้ หลังสังหารแล้วจะต้องได้โชคชะตาไม่น้อยแน่นอน

ชายหนุ่มผอมสูงกับชายหนุ่มผู้สะพายกระบี่ขานรับคำหนึ่งก็เหาะแยกย้ายไปหนึ่งซ้ายหนึ่งขวาอย่างเข้าขา โอบล้อมเข้าไปหาตะขาบสีเงินทันที โดยมีหลัวเทียนเฉิงไล่ตามด้านหลังไปติดๆ

วิธีการนี้เห็นผลเร็วยิ่งขึ้น ตะขาบสีเงินไม่อาจเปลี่ยนทิศทางตามใจได้อีกต่อไป หลังเวลาชั่วมื้ออาหารมันก็ค่อยๆ ถูกทั้งสามคนล้อมเป็นวงบีบเข้ามาตรงกลาง

ตะขาบสีเงินค้นพบเช่นกันว่าสถานการณ์ของตนย่ำแย่ หลังส่งเสียงกรีดร้องร้อนรนทีหนึ่ง ขายาวนับไม่ถ้วนสองข้างพลันวาดเร็วรี่จนเป็นระลอกคลื่น ดิ้นรนหนีไปด้านหน้าสุดกำลัง

มันลนลานไม่เลือกทาง หนีออกจากหุบเขาชันโผล่มาบนเนินทรายสุดลูกหูลูกตาผืนหนึ่งโดยไม่รู้เนื้อรู้ตัว

เวลานี้ศิษย์ชุดสีน้ำเงินที่สะพายกระบี่ผู้นั้นไล่ตามอยู่ใกล้ที่สุด เขาชิงก่อนก้าวหนึ่งเหาะออกจากหุบเขาชัน เมื่อไม่มีภูมิประเทศคับแคบขัดขวาง ความเร็วของเขาฉับพลันก็เพิ่มขึ้นไม่น้อย

คนผู้นี้เหล่มองพวกหลัวเทียนเฉิงสองคนข้างหลังทีหนึ่ง หลังจากนั้นดวงตาก็ฉายแววประหลาดวูบหนึ่งแล้วทำท่ามือของเคล็ดวิชา จี้ไปยังอากาศเบื้องหน้าโดยไม่ลังเลสักนิด กระบี่ยาวบนหลังของเขาส่งเสียงใสกังวานแล้วดีดพุ่งออกไป ชั่วพริบตากลายเป็นรุ้งกระบี่สีแดงเข้มยาวสิบจั้งเส้นหนึ่ง พุ่งเร็วรี่ไปหาตะขาบสีเงิน ความเร็วรวดเร็วน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก!

เขาถึงกับชิงลงมือก่อน!

ในตอนนี้เองเสียงแหวกอากาศดังฟึบๆ ก็ดังขึ้นมาจากเบื้องหลัง หลัวเทียนเฉิงกับบุรุษผอมสูงอีกคนหนึ่งเหาะออกจากหุบเขาชันมาแล้วเช่นกัน เมื่อเห็นการกระทำของบุรุษผู้สะพายกระบี่ บุรุษผอมสูงพลันสีหน้าร้อนรน กระตุ้นเคล็ดวิชาในมือ ชั่วพริบตาเร่งความเร็วขึ้นหลายส่วน

นาทีต่อมาเห็นเพียงแสงสีน้ำเงินสว่างวาบ ในมือบุรุษผอมสูงฉับพลันมีคันศรยาวสีเขียวหยกเพิ่มขึ้นมาอีกคันหนึ่ง สองมือง้าง คันศรโค้งกลายเป็นจันทร์เต็มดวง

เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง ศรแสงหนาเท่าข้อมือดอกหนึ่งพลันแล่นเร็วรี่ออกไป แม้ยิงออกไปทีหลังแต่กลับถึงตะขาบสีเงินก่อน ความเร็วแทบจะใกล้เคียงกับการเคลื่อนย้ายชั่วพริบตา

แสงกระบี่สีแดงฉานกับศรแสงแทบจะตกลงบนส่วนหัวของตะขาบในเวลาเดียวกัน เห็นชัดว่าทั้งสองคนล้วนมีความคิดอย่างเดียวกันคือต้องการสังหารตะขาบในการโจมตีเดียวเพื่อแย่งชิงโชคชะตามา

หลัวเทียนเฉิงเห็นสถานการณ์นี้ ในดวงตาทอประกายกร้าว เพียงไหวหัวไหล่ทีหนึ่ง รอบร่างพลันเปล่งแสงสีเงินเจิดจ้า หนึ่งฝ่ามือตบเข้าใส่อากาศเบื้องหน้า หมอกสีเงินผืนใหญ่ซัดออกไปพร้อมกับเสียงสายลมหวีดหวิว

แม้เป็นศิษย์ร่วมนิกาย โชคชะตาที่ได้มาล้วนเป็นของนิกายยอดบริสุทธิ์ แต่คนที่ได้โชคชะตามาเห็นชัดว่าท้ายที่สุดย่อมได้ผลประโยชน์มากกว่า รางวัลที่ได้รับจากนิกายในตอนท้ายสุดก็แตกต่างกันอย่างมากด้วย

ตะขาบสีเงินเคลื่อนที่อย่างรวดเร็ว มันสัมผัสได้ถึงเสียงแหวกอากาศข้างหลังร่าง พยายามบิดร่างสุดกำลัง คิดจะหลบการโจมตี

เสียงบึ๊มดังสนั่นขึ้นทีหนึ่ง

แม้อสูรตัวนี้จะเลี่ยงจุดสำคัญพ้นในห้วงวิกฤต แต่ขายาวสีเงินฝั่งซ้ายหลายข้างก็ยังถูกแสงกระบี่กับศรแสงยิงเข้าอย่างจัง ถูกตัดขาดไปทั้งหมด

บุรุษผอมสูงกับบุรุษผู้สะพายกระบี่เห็นภาพนี้ ดวงตาพลันเปล่งประกาย เร่งเคล็ดวิชาในมือให้เร็วขึ้นอีกหนึ่งส่วน หมายจะลงมือสังหารอีกครั้ง

ทว่าในเวลานี้เองเงาพยัคฆ์หมอกสีเงินขนาดหลายจั้งตัวหนึ่งพลันคำรามเสียงดังดิ่งลงมาจากท้องฟ้า ขย้ำคอของตะขาบเกราะเงินคำเดียวประหนึ่งอสนีบาต

แม้ตะขาบตัวนี้จะเป็นปีศาจอสูรระดับผลึกขั้นปลาย แต่ผ่านการวิ่งกวดระยะทางไกลเช่นนี้มา ไม่ว่าพลังกายหรือพลังเวทล้วนสูญเสียไปมาก ตอนนี้ถูกโจมตีจนขาบาดเจ็บอีกจึงไม่อาจหลบพ้นการกระโจนเข้าใส่ครั้งนี้ของพยัคฆ์เงิน ฉับพลันได้แต่ขดร่างม้วนสวนกลับรัดร่างกายของพยัคฆ์เงินไว้ประหนึ่งงูเท่านั้น

จะว่าไปแล้ว แม้พยัคฆ์เงินยักษ์จะก่อเกิดมาจากพลังเวทที่รวมตัวกัน แต่ก็ไม่แตกต่างจากของจริงนัก ฝั่งหลังฉับพลันพลิกตัวกลางอากาศ กระแสลมคลั่งสายแล้วสายเล่าโหมซัดออกไปรอบด้าน

บุรุษผู้สะพายกระบี่รวมถึงศิษย์ผอมสูงทั้งสองคนถูกคลื่นลมกระแทก ร่างกายไม่อาจควบคุมถอยหลังไปหลายจั้งถึงยืนได้อย่างมั่นคง

ในเวลานี้เองเงาร่างของหลัวเทียนเฉิงก็มาถึงประหนึ่งสายฟ้า รอบร่างถูกไอหมอกสีเงินพลุ่งพล่านหุ้มอยู่ เขากระโจนออกมาตรงระหว่างคนทั้งสอง ปากตวาดเบาๆ คำหนึ่งก็พาปราณทะลักทลายสายหนึ่งพุ่งเข้าไปกลางวงต่อสู้

ศิษย์ที่สะพายกระบี่กับศิษย์ผอมสูงเห็นภาพนี้ก็ตกตะลึง ขณะที่กำลังจะพุ่งเข้าไปนั้น ฉับพลันตะขาบยักษ์ก็ส่งเสียงร้องโหยหวน เสียงหัวเราะลั่นของหลัวเทียนเฉิงดังขึ้น

เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง เงาดำร่างหนึ่งเหาะพุ่งออกมาจากกระแสลมคลั่งตรงวงต่อสู้ สายตาของทั้งสองคนเพ่งมองทีหนึ่งฉับพลันใบหน้าถอดสี

เงาดำไม่ใช่ใครอื่น แต่เป็นหัวใหญ่ยักษ์ของตะขาบสีเงินนั่นเอง ในปากของมันเขี้ยวโค้งคมกริบคู่หนึ่งอ้าหุบไม่หยุด ทว่าประกายดุร้ายในดวงตาทั้งคู่กลับหม่นแสงไปอย่างรวดเร็ว

หลังปีศาจตะขาบถูกสังหาร กระแสลมที่เดิมทีโหมคลั่งอยู่ก็สงบลง หลัวเทียนเฉิงเหาะอ้อยอิ่งออกมาจากกลางหมอกควันและฝุ่นดินที่ปลิวว่อน เห็นเพียงบนน่องของเขามีรอยแผลจางๆ เส้นหนึ่งที่เห็นได้ชัดเท่านั้น

แต่สีหน้าของเขาดูแล้วนิ่งสงบอย่างที่สุด มือข้างหนึ่งลูบบนปากแผลเบาๆ เส้นสีเงินประหนึ่งเส้นผมหลายเส้นฉับพลันทยอยมารวมตัวกันใกล้ๆ ปากแผล หลังจากนั้นปากแผลพลันประสานเข้าด้วยกันอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่เห็นได้ด้วยตาเปล่า

สองสามลมหายใจผ่านไป บาดแผลก็หายไปอย่างสิ้นเชิง

“พลังของศิษย์น้องหลัวช่างแข็งแกร่ง นับถือ นับถือ!” ศิษย์ผอมสูงเห็นภาพนี้ก็เก็บคันศรยาวสีเขียวหยกไป บนใบหน้าเผยสีหน้าซับซ้อนประสานมือเอ่ยอย่างกระอักกระอ่วนอยู่บ้าง

บุรุษผู้สะพายกระบี่ยังไม่ทันเอ่ยวาจา มือข้างหนึ่งกวักเรียกกระบี่บินสีแดงเข้มเก็บคืนแล้วเหล่มองข้อมือของหลัวเทียนเฉิงทีหนึ่ง เห็นแสงสีเทาที่แผ่ออกมาจากโซ่แห่งโชคชะตาของเขาสว่างขึ้นกว่าก่อนหน้านี้หลายส่วน หางตาก็กระตุกเล็กน้อย

“เพิ่งเข้าสู่ขอบนอกของแดนลึกลับ ศิษย์พี่ทั้งสองไม่ต้องท้อแท้ หากพวกเราสามคนร่วมมือกัน ไม่น่ามีคนไปถึงใจกลางแดนลึกลับเร็วกว่าพวกเรา” หลัวเทียนเฉิงเอ่ยขึ้นนิ่งๆ ประหนึ่งไม่รับรู้

สองคนที่เหลือได้ยินต่างพยักหน้า

“พวกเราไปจากที่นี่กันเถอะ คลื่นพลังเวทที่เกิดขึ้นเมื่อครู่เกรงว่าคงดึงความสนใจของคนละแวกใกล้ๆ ไม่น้อย…” หลัวเทียนเฉิงหมุนตัวพร้อมกับเอ่ยขึ้น

ผลปรากฏว่าเสียงพูดของเขายังไม่ทันจบ สีหน้าก็เปลี่ยนไปอย่างฉับพลัน เขาแหงนศีรษะมองไปยังทิศทางหนึ่ง

เห็นเพียงขอบฟ้าไกลออกไปด้านนั้น จุดแสงสีขาวจุดหนึ่งปรากฏขึ้นจากนั้นพุ่งเร็วรี่มายังจุดที่ ทั้งสามคนอยู่อย่างว่องไว

ทั้งสามคนคิดจะหลบแต่เห็นชัดว่าไม่ทันการณ์เสียแล้ว

ไม่กี่ลมหายใจผ่านไปก็เห็นลำแสงได้ชัดเจน แสงสีขาวกะพริบวูบหนึ่งจากนั้นหยุดลงกลางท้องฟ้าไม่ไกลจากทั้งสามคน หลังแสงสีขาวหายไปก็เผยร่างของคนผู้หนึ่งออกมา

เห็นเพียงผู้ที่มามีใบหน้ายาวเค้าโครงคล้ายเหยี่ยว จมูกงองุ้มแทบจะแตะถูกปาก ชุดสีขาวบนร่างพองตามลม เห็นชัดอย่างยิ่งว่าเป็นเครื่องแต่งกายของหุบเขาปีศาจสวรรค์!

สายตาคมกริบของเขากวาดผ่านร่างทั้งสามคนอย่างเหิมเกริมไม่หวั่นเกรง ท้ายที่สุดก็จับจ้องอยู่บนร่างของหลัวเทียนเฉิง ด้วยสายตาที่เปล่งประกายเล็กน้อย

บุรุษผู้สะพายกระบี่ลอบใช้เคล็ดกระบี่อยู่ก่อนแล้ว ส่วนศิษย์ผอมสูงก็ยื่นมือไปข้างเอวอย่างเคร่งเครียดเช่นกัน

“สหายท่านนี้ไม่ทราบว่ามีสิ่งใดชี้แนะหรือ?” หลัวเทียนเฉิงสีหน้าระแวงเช่นเดียวกัน แต่เขาไม่แสดงท่าทีอ่อนแอแม้แต่น้อยประสานสายตากับอีกฝ่ายแล้วเอ่ยถามอย่างเย็นชาประโยคหนึ่ง

แม้เขาไม่คุ้นหน้าคนผู้นี้ แต่กลิ่นอายเบาบางที่อีกฝ่ายแผ่ออกมากลับทำให้พวกเขาสามคนรู้สึกไม่ปลอดภัย เห็นชัดว่าคนจากหุบเขาปีศาจสวรรค์ผู้นี้ไม่ใช่บุคคลธรรมดาแน่นอน

“ฮ่ะๆ นิกายยอดบริสุทธิ์!”

บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับฉีกปากคล้ายยิ้มแต่ก็ไม่คล้ายยิ้ม สองแขนฉับพลันกางออกสองข้าง!

แสงสีเงินประหนึ่งเนื้อสารสายแล้วสายเล่าชั่วพริบตาโถมทะลักออกมาจากในแขนเสื้อสองข้างของเขา พร้อมกันนั้นพลังอันน่าตะลึงก็ระเบิดออกมาในทันใด

พวกหลัวเทียนเฉิงสามคนเดิมระแวงระวังอยู่ตลอด เมื่อเห็นการเคลื่อนไหวของบุรุษหน้าเหยี่ยวก็ตอบโต้ทันที

บุรุษผู้สะพายกระบี่ตวาดเสียงดังคำหนึ่ง มือวาดเคล็ดกระบี่ กระบี่ยาวบนแผ่นหลังพุ่งขึ้นฟ้าแปลงเป็นรุ้งยาวน่าตะลึงยาวสิบกว่าจั้งเส้นหนึ่ง จากนั้นก็หมุนสองมือดุจวงล้อ รุ้งยาวฉับพลันแยกร่างกลายเป็นแสงกระบี่เล็กละเอียดสิบกว่าสายซัดเข้าใส่บุรุษหน้าเหยี่ยวในเวลาทันที

เสียงแหวกอากาศดังขึ้น!

แสงกระบี่สีแดงเส้นแล้วเส้นเล่านี้พารัศมีแสงยาวเป็นหางสายแล้วสายเล่าไปด้วยประหนึ่งฝนดาวตก พลังอำนาจค่อนข้างน่าตะลึง

ศิษย์ผอมสูงกำคันศรยาวสีเขียวหยกเล่มนั้นไว้แน่นนานแล้ว ฝ่ามือที่เอวพร่าเลือนวูบหนึ่ง บนคันศรก็พาดศรสีน้ำเงินดอกหนึ่ง ดวงตาเขาเปล่งประกายเจิดจ้า ทันใดนั้นแขนข้างหนึ่งก็ปล่อยออก

เสียงฟิ้วดังลั่น แสงสีน้ำเงินมากมายพุ่งเร็วรี่เข้าใส่บุรุษหน้าเหยี่ยวอย่างมืดฟ้ามัวดิน

หลัวเทียนเฉิงยืนอยู่ตรงกลางระหว่างทั้งสองคน เขากลับไม่ได้บุ่มบ่ามลงมือ แต่สีหน้าเคร่งขรึมโคจรปราณ ทันใดนั้นเองไอหมอกสีเงินกลุ่มหนึ่งก็พลุ่งพล่านออกมาจากบนร่างเขากลายเป็นเงามังกรพยัคฆ์สีเงินบินวนเวียนรอบร่าง

บุรุษหน้าเหยี่ยวประจันหน้ากับแสงกระบี่สีแดงกับศรแสงสีน้ำเงินที่โถมเข้ามาถึงก็หัวเราะประหนึ่งมองไม่เห็น ประกายแสงในดวงตาทั้งคู่ไหววูบ รัศมีแสงสีเงินที่พุ่งออกมาจากในแขนเสื้อยิ่งสว่างจ้าแสบตา พร้อมกับที่ในอากาศส่งเสียงสั่นสะเทือน กระจกสีเงินขนาดเท่าฝ่ามือบานแล้วบานเล่าก็ลอยออกมาอย่างเร็วไว

กระจกเหล่านี้มีมากนับร้อยบาน หลังเปล่งเสียงดังฮึมๆ ผิวหน้าของกระจกทั้งหมดพลันเปล่งแสงสว่าง ฉับพลันยิงเสาแสงสีเงินต้นแล้วต้นเล่าออกมากวาดผ่านอากาศเบื้องหน้า ชั่วพริบตากลืนกินแสงกระบี่สีแดงและศรแสงสีน้ำเงินทั้งหมดไปจนสิ้น

เห็นบุคคลตรงหน้ารับการโจมตีของทั้งสองคนได้อย่างสบายๆ เช่นนี้ ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งสองคนพลันสูดลมหายใจดังเฮือก แม้หลัวเทียนเฉิงเองก็สีหน้าเคร่งเครียดเล็กน้อยด้วย

ทว่ายังไม่ทันที่ทั้งสามคนจะได้โจมตีต่อ บุรุษหน้าเหยี่ยวฉับพลันกระพือแขนสองข้าง เสาแสงแสบตานับร้อยต้นพุ่งออกมาจากในกระจกอีกหน วูบเดียวก็มาถึงตรงหน้าทั้งสามคน!

เสาแสงมากมายประหนึ่งน้ำหลากสีเงินกำลังจะกลืนกินทั้งสามคนเข้าไปจนหมดสิ้น

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด