ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 797 ผ่านด่าน

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 797 ผ่านด่าน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครู่ต่อมา เรื่องที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงก็บังเกิด!

พริบตาที่แมงป่องยักษ์ตัวนี้พุ่งไปถึงทางแยก ทันใดนั้นมันก็พร่าเลือนวูบหนึ่งแล้วแบ่งร่างกลายเป็นเงาร่างที่เหมือนกันทุกประการแต่ขนาดหนึ่งในสามของก่อนหน้านี้สามตัว จากนั้นพุ่งต่อไปยังทางที่ต่างกัน ที่ทางแยกต่อไปก็แยกร่างออกเป็นอีกหลายตัวมุ่งหน้าต่อไปอีก

เป็นเช่นนี้จากหนึ่งเป็นสาม จากสามเป็นเก้า ไม่นานนักเงาแมงป่องทั้งหมดก็หายลึกเข้าไปในอุโมงค์ไม่เห็นร่องรอย

“ที่แท้เป็นแบบนี้เอง!”

ตอนนี้หลิ่วหมิงเพิ่งเข้าใจขึ้นมาบ้าง ในที่สุดบนใบหน้าก็เผยรอยยิ้มจางๆ ออกมา

เซียเอ๋อร์ในเวลานี้ ดวงตาทางผลซิ่งเบิกโตจนกลม เพ่งมองเบื้องหน้าไม่กะพริบ ส่วนร่างกายก็นั่งหลังตรงนิ่งไม่กระดิกอยู่ที่เดิม พื้นดินใกล้ๆ มีแสงสีเหลืองอ่อนสายแล้วสายเล่าผุดออกมาแล้วจมลงไปในร่างนางเป็นระยะ

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละน้อย ใบหน้าของหญิงสาวซีดขาวขึ้นเรื่อยๆ ปราณบนร่างก็เริ่มไม่มั่นคงอ่อนแรงเป็นพักๆ

หลิ่วหมิงอดไม่ได้เผยสีหน้ากังวลใจ

ไม่รู้ผ่านไปนานเท่าไร ในที่สุดสตรีชุดตาข่ายสีดำก็ครางออกมาพลางหลับดวงเนตรงามลง ทั้งร่างสั่นระริกลุกขึ้นยืน เมื่อนางลืมดวงเนตรงามขึ้นอีกครั้ง บนใบหน้าซีดขาวผิดปกติก็ประดับรอยยิ้มยินดี

แทบจะในเวลาเดียวกัน เงาแมงป่องจิ๋วที่แยกร่างจนเหลือขนาดเท่านิ้วหัวแม่มือทั่วทุกมุมของเขาวงกตทั้งหมดก็ระเบิดดังปังกลายเป็นปราณสีเหลืองก้อนแล้วก้อนเล่าสลายหายไปเช่นนี้

“นายท่าน ตามข้ามาเถิด ข้าหาทางออกพบแล้ว”

เสียงของหญิงสาวเพิ่งเอ่ยจบ ร่างกายก็ขยับไหวกลายเป็นเงาสีเหลืองกลุ่มหนึ่งเหาะไปยังอุโมงค์สายหนึ่งเบื้องหน้า

หลิ่วหมิงดีใจยิ่งนัก ตามไปติดๆ อย่างยินดี

ครึ่งเค่อต่อมาหลังเขาเลี้ยวไปเลี้ยวมาหลายหนตามที่เซียเอ๋อร์นำทางอยู่พักหนึ่ง ในที่สุดก็เห็นสุดปลายอุโมงค์เส้นหนึ่งคือทางออกที่ส่องแสงสีขาว

“เซียเอ๋อร์ ครั้งนี้ลำบากเจ้าแล้ว รีบพักผ่อนเถิด” หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ผ่อนคลายลง หันหน้าไปสั่งสตรีชุดตาข่ายสีดำด้านข้างคำหนึ่ง

เซียเอ๋อร์ขานรับเบาๆ คำหนึ่งก็กลายเป็นปราณสีดำสายหนึ่ง ลอยเข้าไปในถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวหลิ่วหมิงอีกครั้ง

เวลานี้หลิ่วหมิงจึงเพ่งสายตาประเมินทางออกที่อยู่ไม่ไกลอีกหลายครั้งถึงก้าวยาวเดินเข้าไป

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นเบื้องหน้าเขาล้วนสว่างจ้า หลังจากนั้นเขาก็โผล่มายังลานกว้างมหึมาสักแห่ง

ลานแห่งนี้ค่อนข้างกว้างขวาง ขนาดราวหลายหมู่ นอกจากทางออกที่ตนออกมายังมีทางออกอีกสองทาง บนอุโมงค์ทั้งสามต่างมีสัญลักษณ์ เหนือทางออกด้านหลังร่างสลักภาพสัญลักษณ์ดวงดาราภาพหนึ่งไว้ อีกสองทางคือจันทราสว่างดวงหนึ่งกับพระอาทิตย์ดวงหนึ่ง

สัญลักษณ์เหล่านี้เห็นชัดว่าสอดคล้องกับอุโมงค์ทั้งสามที่เลือกตอนแรก

พื้นลานปูด้วยหินเขียวขนาดหนึ่งจั้งกว่าเหมือนเขาวงกตที่เดินทางผ่านมาก่อนหน้านี้ บนพื้นตรงกลางลานกว้างรางร่องสีทองอ่อนเส้นแล้วเส้นเล่าเห็นได้ชัดเจน มองไกลๆ เห็นชัดว่าวาดเป็นค่ายกลรูปวงกลมใหญ่ถึงสิบกว่าจั้งค่ายกลหนึ่ง

เวลานี้บนค่ายกลส่องแสงรัศมีครึ่งดำครึ่งขาว นอกจากนี้แสงสีดำกำลังค่อยๆ เจิดจ้าขึ้น ทำให้แสงสีขาวลดน้อยลงอย่างรวดเร็วด้วยความเร็วที่ตาเปล่ามองเห็นได้

หลิ่วหมิงครุ่นคิดขณะจับจ้องค่ายกลและเผยสีหน้าใคร่ครวญ

ในเวลานี้เองเสียงฟึบก็ดังขึ้น ตรงทางออกที่มีสัญลักษณ์พระอาทิตย์เงาสีม่วงร่างหนึ่งพุ่งรวดเร็วออกมา หลังกะพริบวูบหนึ่งก็หยุดไม่ไกลจากด้านข้างค่ายกล

หลังแสงสีม่วงดับลง คนข้างในกลับเป็นบุรุษผมม่วงแห่งหอเป๋ยโต่ว

“เจ้าเองหรือ? …ดียิ่ง ดียิ่ง”

บุรุษผมม่วงเห็นว่ามีคนออกจากเขาวงกตมาได้ก่อนหน้าเขาก็เผยสีหน้าคิดไม่ถึงออกมาในทันใด สายตากวาดมองสถานการณ์รอบด้านอย่างรวดเร็ว

หลังเขาเห็นว่าที่แห่งนี้มีเพียงเขากับหลิ่วหมิงสองคน ลูกตาก็กลอกไปมาเล็กน้อย เอ่ยพึมพำสองสามประโยคพร้อมกับที่บนใบหน้าเผยสีหน้าเหี้ยมเกรียมทันที ทันใดนั้นก็สะบัดแขนเสื้อ มีดสั้นสีม่วงยาวหนึ่งฉื่อกว่าที่แผ่ประกายเย็นเยียบจางๆ เล่มหนึ่งบินออกมา

“ที่แท้ท่านคิดจะประลองฝีมือ ในเมื่อเป็นเช่นนี้ผู้แซ่หลิ่วก็ยินดีเป็นคู่มือ” หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ ไหนเลยยังไม่รู้ว่าบุรุษผมม่วงหมายสิ่งใด แม้ในใจหวั่นอยู่เล็กน้อย แต่บนหน้ากลับยิ้มไม่โกรธ

สายตาของเขาฉับพลันเย็นเยียบ กระตุ้นเคล็ดวิชาอย่างไม่เกรงใจสักนิด พลังเวทในร่างเอ่อล้นไม่ขาดสายออกมาจากผลึกหนึ่งร้อยห้าสิบสามเม็ด จากนั้นแทรกเข้าไปในกระบี่บินว่างเปล่าที่ลอยอยู่ในทะเลจิตรับรู้

เสียงฟึบดังขึ้นทีหนึ่ง!

กระบี่เล็กสีทองเล่มหนึ่งพุ่งออกมาจากกลางหว่างคิ้วของหลิ่วหมิงแล้วลอยนิ่งอยู่เบื้องหน้าร่าง

บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะอย่างบ้าคลั่ง มือข้างหนึ่งชักมีดสั้นเบื้องหน้าร่างเสือกออกไปทีหนึ่ง

เสียงแหวกอากาศดังก้อง!

มีดสั้นพุ่งเร็วรี่ออกมา พริบตาเดียวก็กลายเป็นรุ้งน่าตะลึงสีม่วงยาวสิบกว่าจั้ง ซัดเข้ามาหาหลิ่วหมิงอย่างทรงพลังดุดัน

จุดที่รุ้งน่าตะลึงพาดผ่าน กลางอากาศคล้ายถูกแช่แข็ง ส่งเสียงกรีดแหลมดังเปรี๊ยะๆ ออกมา

หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยันคำหนึ่งแล้วใช้เคล็ดวิชาด้วยมือข้างเดียว กระบี่เล็กสีทองพร่าเลือนวูบหนึ่งกลายเป็นรุ้งสีทองยาวสิบกว่าจั้งประจันเข้าใส่อีกฝ่าย

เสียงเปรี้ยงดังขึ้นหนึ่งหน!

รุ้งบินสีทองกับรุ้งน่าตะลึงสีม่วงปะทะกันอย่างรุนแรง แสงสว่างสีทองกับสีม่วงสองสีส่องสว่างไม่หยุด ปราณจิตวิญญาณปะทะกันอย่างรุนแรงพักหนึ่ง พายุสีทองและสีม่วงลูกหนึ่งก็พัดหวีดหวิวพุ่งขึ้นฟ้า ด้านในแสงสว่างแสบตาพุ่งออกมาประหนึ่งอสรพิษแสงขนาดยักษ์สองตัวกำลังรัดพันขย้ำกันไม่หยุด

เสียงดังสนั่นดังขึ้นอีกหน!

พายุหมุนระเบิดออก มีดสั้นสีม่วงกับกระบี่บินสีทองต่างบินออกมาจากคลื่นปราณ พุ่งถอยกลับมาหาทั้งสองคน

การโจมตีนี้ทั้งสองเสมอกัน

บุรุษผมม่วงเห็นเช่นนี้ สีหน้าก็เคร่งขรึมขึ้นมาอย่างอดไม่ได้!

“ก่อนหน้านี้ก็รู้แล้วว่ากระบี่บินพลังจิตวิญญาณของท่านไม่อาจดูแคลนได้ วันนี้นับว่าได้รับการสั่งสอนอย่างแท้จริงแล้ว ถ้าเช่นนั้นกระบวนท่าต่อไป ท่านลองรับดูอีกสักหน!”

บุรุษผมม่วงเอ่ยอย่างเย็นชา ทันใดนั้นมือข้างหนึ่งก็ใช้เคล็ดวิชาอีก ลวดลายจิตวิญญาณประหลาดสีเหลืองกับสีดำสองสีปรากฏขึ้นบนใบหน้า แผ่นหลังส่งเสียงดังฟู่ทีหนึ่งก็ปรากฏเงาผีดุร้ายเดี๋ยวผลุบเดี๋ยวโผล่ร่างหนึ่งออกมา

เงาผีนี้สูงถึงสิบกว่าจั้ง สองขาลอยอยู่กลางอากาศประหนึ่งไร้กระดูก บนร่างสีเหลืองกับสีดำสองสีขนาบคู่กัน ตรงหน้าอกมีรูสีดำสนิมรูเบ้อเริ่มรูหนึ่งอยู่

นอกเหนือจากนี้ศีรษะผีก็มหึมาอย่างที่สุด ขนาดเท่ากับครึ่งร่าง ดวงตาสีแดงดั่งโลหิต ปากกว้างสีเลือดครึ่งอ้าครึ่งหุบ เขี้ยวยาวสีดำเผยออกมาข้างนอก ดูไปแล้วดุร้ายน่าหวาดกลัวยิ่งนัก

ผีดุร้ายเช่นนี้ หลิ่วหมิงเพิ่งเคยเห็นเป็นครั้งแรก ในใจไม่กล้าดูแคลนแม้สักนิด ไม่พูดพร่ำก็กระตุ้นวิชา ปราณดำบนร่างถาโถมพุ่งขึ้นฟ้า ชั่วครู่ผนึกรวมเป็นมังกรหมอกสีดำดุร้ายไม่ธรรมดาหลายตัวออกมา แต่ละตัวยาวเจ็ดแปดจั้ง พวกมันแยกเขี้ยวสะบัดกรงเล็บกลางท้องฟ้า บินวนเวียนพ่นหมอก พลังน่าตะลึงยิ่งนัก!

“เหอะ แค่วิชามังกรพยัคฆ์ทมิฬกระจอกๆ ก็คิดจะสู้กับข้า!” บุรุษผมม่วงมองวิชาที่หลิ่วหมิงใช้ออกทันที เขาคำรามหยันอย่างดูแคลน เคล็ดวิชาในมือเปลี่ยนไปทันทีกระตุ้นให้เงาผีด้านหลังลงมือ

ทว่านาทีนี้เองตรงปากอุโมงค์อีกอุโมงค์หนึ่งแสงสีเงินสายหนึ่งก็ฉายออกมา ด้านในหุ้มเงาคนเลือนรางร่างหนึ่งไว้ เห็นชัดว่าเป็นบุรุษหน้าเหยี่ยวของหุบเขาปีศาจสวรรค์

เขาปรากฏตัวปุบ หลังร่างพลันมีแสงสีทองอีกสายหนึ่งตามออกมาติดๆ แล้วหักเลี้ยวกะทันหันกลางทาง หยุดห่างจากบุรุษหน้าเหยี่ยวสิบกว่าจั้ง

ชายหนุ่มรถเงินของนิกายเทียนกงผู้นั้นนั่นเอง

ทั้งสองคนหยุดลำแสง เมื่อเห็นตรงหน้ากำลังจะลงมือใหญ่โตกันก็ล้วนตะลึงเล็กน้อย จากนั้นต่างทำสีหน้าประหลาด

ในดวงตาของชายหนุ่มรถเงินฉายแววระวัง ในมือฉับพลันลอบจับลูกบอลกลมของหุ่นหลายลูกไว้

บุรุษหน้าเหยี่ยวกลับหัวเราะแล้วไขว้มือไพล่หลัง ท่าทางรอชมเรื่องสนุก

“ฮ่ะๆ ในที่สุดก็มีคนมาอีกแล้ว ข้ากับสหายหลิ่วเบื่ออยู่บ้างจึงแลกเปลี่ยนฝีมือกันก่อนสักหน่อย”

บุรุษผมม่วงเห็นว่ามีคนมาอีก คิ้วก็ขมวด หลังจากมองดูหลิ่วหมิงฝั่งตรงข้ามอีกหน เขาก็กะพริบตาจากนั้นหัวเราะพลางกางสองแขนออก สลายวิชาไปเอง เงาผีมหึมาหลังร่างสลายกลายเป็นควันสีดำสายแล้วสายเล่าตามไปด้วย

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็หัวเราะเบาๆ ไม่เอ่ยตอบอันใด แต่เคล็ดวิชาที่มือเปลี่ยนไป มังกรหมอกที่บินวนอยู่เหนือศีรษะทั้งหมดระเบิดออกเองในพริบตา จากนั้นปราณดำก็ม้วนเก็บกลับมาในร่าง

 “ที่แท้เป็นเช่นนี้ แต่โชคดีที่ทั้งสองท่านสู้กันอยู่ที่นี่ พวกข้าสองคนถึงรับรู้คลื่นปราณจิตวิญญาณนำทางจนตามหาทางออกพบรวดเร็วเช่นนี้” ชายหนุ่มรถเงินเห็นเช่นนี้ แม้ในใจรู้กระจ่างว่าเกิดเรื่องอันใดขึ้นแต่ยังคงยิ้มเล็กน้อย หาวทีหนึ่งแล้วเอ่ยขึ้น

“ในเมื่อพวกเรามาถึงแล้ว คนอื่นก็น่าจะใกล้แล้วเช่นกัน” บุรุษหน้าเหยี่ยวเอ่ยเช่นนี้ด้วยสีหน้าเรียบเฉย

ทั้งสี่คนมองหน้ากันหนหนึ่งจากนั้นต่างคนต่างนั่งลงกับพื้นไม่เอ่ยวาจาอีก เริ่มรอคอยอย่างเงียบๆ

ไม่ผิดจากที่คาด เวลาหนึ่งก้านธูปให้หลัง ลำแสงสีดำกับสีเงินสองสายพลันแล่นออกมาจากทางออกพระอาทิตย์ หลัวเทียนเฉิงกับชายหนุ่มอัปลักษณ์นิกายปีศาจลี้ลับผู้นั้นนั่นเอง

เวลาผ่านไปอีกชั่วหนึ่งมื้ออาหาร ในอุโมงค์อีกเส้นหนึ่ง สตรีชุดเขียวของสำนักเฮ่าหรานก็ก้าวออกมา

มีเพียงอุโมงค์ด้านหลังร่างหลิ่วหมิงที่เผิงเยวี่ยกับสองพี่น้องโอวหยางไม่ออกมาเลย นอกจากนี้เซวียผานคนผู้นี้ก็ไร้ร่องรอยเช่นกัน

คิดแล้วก็ถูก ภาพสัญลักษณ์เจ็ดกลุ่มดาวมังกรครามนี้ไหนเลยจะเป็นสิ่งที่บรรลุกันง่ายดายปานนั้น หากไม่ใช่หลิ่วหมิงอาศัยพลังแห่งแม่เหล็กดาราเดาคลำทาง จะมาถึงที่นี่ได้หรือไม่ก็ยังไม่ทราบ

นอกจากนี้เซวียผานก็เห็นชัดว่าไม่อาจผ่านด่านแรกได้

เวลานี้ค่ายกลมหึมากลางลานกว้างกว่าครึ่งถูกสีดำปกคลุม ส่วนสีขาวเห็นชัดว่าเหลือเพียงไม่ถึงหนึ่งในห้าแล้ว

หลังรออีกราวจิบชาหนึ่งถ้วย ค่ายกลขนาดมหึมาก็ถูกสีดำปกคลุมทั้งหมด

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ ในใจก็ทอดถอนใจเล็กน้อย

ในเวลาเดียวกันนี้ ค่ายกลดำสนิทประหนึ่งหมึกฉับพลันแสงสีทองสว่างจ้า ทางออกของอุโมงค์ทั้งสามเส้นไหวเล็กน้อย จากนั้นหายวับไปกลางอากาศ

ตามมาด้วยท้องฟ้าเหนือค่ายกลพลันปรากฏแสงสีทองจุดแล้วจุดเล่าออกมา ผนึกรวมกลายเป็นอักษรตัวเล็กสีทองสองแถวอย่างรวดเร็ว

“หลังค่ายกลทำงาน ผู้ที่นั่งสงบด้านในเป็นเวลามากกว่าหนึ่งเค่อจะได้เข้าสู่ด่านต่อไป”

ขณะที่ทุกคนเงยหน้ามองอักษรสีทองบรรทัดนี้ บึงน้ำบางแห่งที่อยู่ในโถงใหญ่ฉับพลันก็ดำสนิท

พี่น้องโอวหยางรวมถึงเผิงเยวี่ยที่ยังคงตรากตรำบรรลุอยู่ริมบึงน้ำตกใจทันที พวกเขาต่างลุกขึ้นยืน

ในตอนนี้เองผิวน้ำใจกลางบึงแสงดาวก็สว่างจ้า ดวงดาราวิบวับนับไม่ถ้วนปรากฏออกมาจากข้างในส่องพี่น้องโอวหยางกับเผิงเยวี่ยสามคนประหนึ่งร่างกายตกอยู่กลางทางช้างเผือกบนท้องฟ้ายามค่ำคืน

ทั้งสามคนพร่าเลือนแล้วหายไปท่ามกลางแสงดาวระยิบระยับ

พวกนางเห็นเพียงภาพเบื้องหน้าเปลี่ยนไป ชั่วขณะที่มึนงงก็มาโผล่ในห้องศิลาไม่ใหญ่สักแห่ง

ทั้งสามคนรีบร้อนกวาดสายตา

บนโต๊ะศิลาตัวหนึ่งตรงกลางวางคัมภีร์ที่เก่าแก่อยู่บ้างเล่มหนึ่งไว้

ส่วนในมุมด้านข้างมีค่ายกลเคลื่อนย้ายสีน้ำนมค่ายกลหนึ่งส่องแสงจิตวิญญาณจางๆ

เผิงเยวี่ยเห็นเช่นนี้ใจพลันสะท้าน หลังเหล่ตามองสีหน้าประหลาดที่ปรากฏบนใบหน้าสตรีทั้งสองนางแล้วเขาก็ยิ้มขมขื่น ก้าวยาวเดินไปยังค่ายกลเคลื่อนย้ายที่ตรงมุมด้วยตัวเอง

หลังแสงสีขาวสว่างขึ้น เขาก็ถูกเคลื่อนย้ายจากไปอีกหน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด