ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 836 ฝักกระบี่ว่างเปล่า (ปลาย)

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 836 ฝักกระบี่ว่างเปล่า (ปลาย) at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 836 ฝักกระบี่ว่างเปล่า (ปลาย)
ห้าวันหลังจากนั้น ในห้องลับ

หลิ่วหมิงฟื้นกลับมาอยู่ในสภาพที่ดีที่สุด สองตาหลับสนิทนั่งขัดสมาธิ ในมือถือคัมภีร์หยกเล่มหนึ่งแนบกับหน้าผาก

สิ่งที่บันทึกอยู่ในคัมภีร์หยกเล่มนี้ก็คือวิธีหลอมฝักกระบี่ที่ผู้เฒ่าเทียนเหอมอบให้ หลังเขาได้มาไว้ในมือยังไม่ทันได้ศึกษาอย่างจริงจัง

หลิ่วหมิงปล่อยจิตสัมผัสจมลงไปในคัมภีร์หยก นั่งอยู่ที่เดิมนิ่งไม่ขยับจนเวลาผ่านไปสองสามชั่วยามถึงลืมตาขึ้นช้าๆ ใบหน้าเปลี่ยนเป็นสีหน้าจริงจัง

เขาเข้าใจวิธีหลอมฝักกระบี่ว่างเปล่าอย่างคร่าวๆ แล้ว วิธีที่คัมภีร์หยกเลือกใช้คือวิธีหลอมผูกพันธะเลือดซึ่งต่างจากการหลอมอาวุธจิตวิญญาณ และเนื่องจากฝักกระบี่เป็นธาตุว่างเปล่า เวลาที่ต้องใช้ในการหลอมจึงไม่สั้น

ส่วนวัตถุดิบหลักของฝักกระบี่ว่างเปล่า แม้มีหนังของอสูรแห่งความว่างเปล่าแล้ว แต่ก็ยังต้องการวัตถุดิบเสริมอื่นอีกไม่น้อย

นอกจากนี้หลังหลอมฝักกระบี่สำเร็จ ยังต้องเติมหญ้าจิตวิญญาณ สมุนไพรจิตวิญญาณนานาชนิดเข้าไปด้านในให้มันแปรสภาพกลายเป็นพลังจิตวิญญาณบริสุทธิ์บำรุงกระบี่บินอย่างช้าๆ อีกด้วย

หญ้าจิตวิญญาณและสมุนไพรจิตวิญญาณเหล่านี้ย่อมมีค่าใช้จ่ายก้อนโต

ยังดีที่ตอนนี้เขามีทรัพย์สมบัติไม่น้อย การรวบรวมของเหล่านี้น่าจะไม่ใช่เรื่องยากเกินไป

ดังนั้นเวลาหนึ่งเดือนต่อจากนั้น หลิ่วหมิงจึงเริ่มเดินทางไปยังตลาดของนิกายและตลาดใหญ่ต่างๆ รอบเทือกเขาหมื่นวิญญาณ

ในที่สุดหลังเขาใช้หินจิตวิญญาณที่ตัวครึ่งหนึ่งกับแต้มคุณูปการไม่น้อย อีกทั้งเดินทางไปยังตลาดกว่าครึ่งใกล้ๆ รวมถึงไปเยือนวิหารไท่เจินหลายเที่ยว เขาก็รวบรวมวัตถุดิบที่จำเป็นครบอย่างหวุดหวิด

ช่วงเวลาต่อจากนั้นหลิ่วหมิงเก็บตัวเงียบอยู่ในถ้ำที่พัก บนประตูแขวนป้ายไม่ต้อนรับแขก หลังเปิดชั้นจำกัดป้องกันถ้ำที่พักทั้งหมดก็เดินเข้าไปในห้องลับอีกครั้ง

หลิ่วหมิงนั่งทำสมาธิอยู่ครึ่งค่อนวัน หลังจิตใจสงบลงอย่างสมบูรณ์จึงเริ่มลงมือวางค่ายกลที่ซับซ้อนอย่างที่สุดค่ายกลหนึ่ง

หลิ่วหมิงไม่พบชื่อค่ายกลนี้ในคัมภีร์หยก จากความรู้เกี่ยวกับศาสตร์ค่ายกลของเขาเข้าใจค่ายกลนี้เพียงสองสามส่วนเท่านั้น

ทว่ายังดีที่คนเขียนวิธีหลอมนี้คล้ายจะคาดเดาจุดนี้ไว้แล้ว เขาจึงไม่รังเกียจที่จะบันทึกขั้นตอนการวางค่ายกลนี้แต่ละขั้นไว้อย่างชัดเจน เพียงทำตามสิ่งที่เขียนไว้ก็ใช้ได้

แม้หลิ่วหมิงจดจำวิธีวางค่ายกลจนขึ้นใจแล้ว แต่ถึงเวลาลงมือจริงก็ยังคงระมัดระวัง สลักยันต์ลงบนพื้นทีละขีดทีละเส้นอย่างไม่กล้าเสียสมาธิแม้แต่น้อย นอกจากนี้เมื่อทำเสร็จแต่ละส่วนยังนำคัมภีร์หยกออกมาเทียบอีกรอบหนึ่ง

ใช้เวลาเช่นนี้ไปครึ่งเดือนเต็ม ค่ายกลรูปวงกลมที่มีลวดลายจิตวิญญาณสีเงินยวงลี้ลับนับไม่ถ้วนก็แผ่อยู่เต็มเส้นผ่านศูนย์กลางห้าหกจั้ง ค่ายกลหนึ่งวางสำเร็จในที่สุด

หลิ่วหมิงแนบคัมภีร์หยกกับหน้าผากอีกครั้ง หลังแน่ใจว่าค่ายกลถูกต้องไม่มีพลาด ตอนนี้ถึงแหงนหน้าพรูลมหายใจ

จากนั้นเขาจึงล้วงแหวนย่อส่วนออกมาด้วยมือข้างเดียว นำหินแร่สีดำอ่อนสิบกว่าก้อนออกมาจากด้านใน แต่ละก้อนขนาดเท่ากำปั้น ด้านในหินแร่มีแสงสีขาวราวกับเปลวเพลิงเต้นอยู่เลือนราง

ผลึกหินสุญอัคคีเหล่านี้เป็นสิ่งที่คัมภีร์หยกบอกอย่างเจาะจงว่าต้องใช้ในการหลอมฝักกระบี่ธาตุว่างเปล่า เป็นของซึ่งเป็นรองเพียงวัตถุดิบจากอสูรแห่งความว่างเปล่าจากวัตถุดิบทั้งหมด

หลิ่วหมิงครุ่นคิดครู่หนึ่ง ร่างกายก็หมุนรอบหนึ่งอยู่กับที่ แสงสีขาวในมือส่องสว่างติดๆ กัน ผลึกหินสิบกว่าก้อนทยอยบินพุ่งออกมาพร้อมกับส่งเสียงแหวกอากาศดัง “ฟึบๆ” จากนั้นตกลงบนช่องเว้าสี่ด้านแปดทิศของค่ายกลอย่างแม่นยำไม่พลาด

ต่อมาค่ายกลทั้งหมดก็ส่งเสียงดังวิ้ง ลวดลายจิตวิญญาณสีเงินบนพื้นฉับพลันส่องแสงสว่างจ้าหลังจากนั้นเริ่มกะพริบวูบวาบ

ยันต์ลี้ลับสีเงินที่ส่องแสงวิบวับนับไม่ถ้วนทยอยลอยขึ้นมา พวกมันค่อยๆ หมุนรอบตัวหลิ่วหมิง ส่องห้องลับทั้งห้องจนสว่างไสว

หลิ่วหมิงเห็นสภาพเช่นนี้ ในสมองก็นึกย้อนไปถึงคำบรรยายยามค่ายกลนี้ทำงานในคัมภีร์หยกอยู่เงียบๆ เมื่อเห็นว่าสภาพเวลานี้เหมือนกับที่บรรยายไว้ในนั้นไม่มีผิด ตอนนี้ถึงวางใจอย่างสิ้นเชิง

หลังจากนั้นหลิ่วหมิงไม่ได้เริ่มทันทีแต่นั่งขัดขาทำสมาธิต่อ เขาใช้เวลาโคจรปราณราวหนึ่งก้านธูป เมื่อฟื้นพลังเวทและพลังจิตกลับคืนมาถึงสภาพสูงสุดแล้วจึงพลิกมือข้างหนึ่งเรียกหนังของอสูรกวางชะมดว่างเปล่าผืนใหญ่ออกมาแล้วกรีดเป็นชิ้นไม่ใหญ่ไม่เล็กบนพื้น วางไว้ใจกลางค่ายกลอย่างระมัดระวัง

ในเวลาเดียวกันนั้นเขาก็โบกมือทีหนึ่ง แสงพิสุทธิ์สายหนึ่งร่วงลงตรงมุมค่ายกลใหญ่

หลังเสียงทุ้มต่ำดังขึ้นพักหนึ่ง ใจกลางค่ายกลก็มีลำแสงสีเงินหนาเส้นหนึ่งพุ่งออกมาล้อมหนังอสูรไว้ด้านในจากนั้นค่อยๆ ยกมันลอยขึ้น

จากนั้นหลิ่วหมิงก็กวาดแขนเสื้อยาวบนพื้นอีกครั้ง แสงเรืองรองแถบหนึ่งส่องสว่างในทันใด หลังจากนั้นบนพื้นก็ปรากฏภาชนะขวดและโหลใบแล้วใบเล่าที่ใส่วัตถุดิบกองโต

สิ่งเหล่านี้ย่อมเป็นวัตถุดิบเสริมที่จำเป็นในการหลอมฝักกระบี่

หลิ่วหมิงชี้นิ้วไปยังขวดหยกสีขาวใบหนึ่งเป็นอย่างแรก แสงสีดำสายหนึ่งพุ่งเข้าไป ของเหลวสีเงินยวงก้อนหนึ่งบินออกมาจากในขวด

ลำแสงสีเงินอ่อนเรียวเล็กสายหนึ่งสว่างขึ้นในค่ายกลทันที จากนั้นยกของเหลวสีเงินเหล่านี้ไว้

ต่อมาเขาก็โบกมือชี้อีกหน ผลึกหินรูปร่างเหมือนเกาลัดสีดำเข้มก้อนหนึ่งลอยขึ้นมาแล้วถูกลำแสงสีเงินสายหนึ่งยกลอย

หลังจากนั้นหลิ่วหมิงก็โยนวัตถุดิบชิ้นแล้วชิ้นเล่าเข้าไปในค่ายกลไม่หยุด ผ่านไปไม่นานนัก ลำแสงเส้นหนาตรงใจกลางก็รายล้อมด้วยลำแสงสีเงินขนาดเล็กยี่สิบกว่าสาย

กลางหว่างคิ้วเขาก็มีแสงเจิดจ้าฉายออกมา จิตสัมผัสอันแข็งแกร่งถูกปล่อยออกมาอย่างไม่เก็บออมไว้สักนิด ดึงลำแสงสีเงินอ่อนทั้งหมดเข้ามาในการควบคุมทั้งหมด

ทันใดนั้นแสงสีเงินเหล่านี้ก็ประหนึ่งมีชีวิต เริ่มวนเวียนล้อมร่างเขา

หลิ่วหมิงเพ่งสายตา สะบัดมือส่งเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกไปตกกลางค่ายกล ลำแสงเส้นหนาที่สุดเส้นนั้นที่ยกหนังอสูรอยู่บิดเบี้ยวไปเล็กน้อยวูบหนึ่ง เปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสสายเล็กๆ พุ่งออกมาจากด้านใน

หลังหลิ่วหมิงเผยสีหน้าครุ่นคิดก็อ้าปากพ่นก้อนปราณสีน้ำเงินก้อนหนึ่งออกมา มันส่องสว่างร่วงลงบนลำแสงเส้นหนา

เสียงฮู่ดังขึ้นทีหนึ่ง ทันใดนั้นเปลวเพลิงที่ล้อมศพของกวางชะมดอยู่ก็ลุกโหม เปลวเพลิงใสล้อมหนังอสูรทั้งผืนไว้ข้างใต้

หนังอสูรของกวางชะมดว่างเปล่าถูกเปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสกลืนกินไปก็เริ่มจะละลาย พร้อมกันนั้นสิ่งเจือปนสีเทาดำจำนวนหนึ่งก็ค่อยๆ ซึมออกมา

หลิ่วหมิงสังเกตการเปลี่ยนแปลงของแผ่นหนังอย่างละเอียดไม่คลาดสายตา เคล็ดวิชาสายแล้วสายเล่าในมือพุ่งออกไปเร็วรี่ดุจสายน้ำไหล รักษาเปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสดวงนี้ไว้

สภาพเช่นนี้ดำเนินไปครึ่งค่อนวันเต็มๆ สิ่งเจือปนในหนังผืนนี้ถึงไม่ซึมออกมาอีก ท้ายที่สุดกลายเป็นวัตถุสภาพเหมือนยางที่ส่องแสงสีขาวเรืองๆ ก้อนหนึ่ง ดูแล้วเหนียวอย่างยิ่ง

หลิ่วหมิงนึกย้อนถึงคำบรรยายในคัมภีร์หยกอย่างละเอียด หลังแน่ใจว่าไม่ผิดพลาด ตอนนี้ถึงถอนหายใจเฮือกใหญ่ ต่อจากนั้นเขาก็ขยับความคิด สะบัดมือยิงเคล็ดวิชาสายหนึ่งออกมาลงบนเสาแสงขนาดเล็กเส้นหนึ่งรอบนอก

เสียง “พรึ่บ” ดังขึ้น

ลำแสงขนาดเล็กลุกไหม้รุนแรงขึ้นดุจเดียวกัน ชั่วพริบตากลายเป็นเสาอัคคีต้นหนึ่ง ทว่าสีของเปลวเพลิงกลับไม่ใช่สีแดงฉาน

สิ่งที่ลอยอยู่บนลำแสงเดิมทีคือผลึกหินใสสีน้ำเงินอ่อนก้อนหนึ่ง มันละลายอ่อนตัวท่ามกลางเปลวเพลิงอย่างรวดเร็ว

หลังหลิ่วหมิงเปลี่ยนมันให้กลายเป็นของเหลวใสสีน้ำเงินก้อนหนึ่งอย่างสมบูรณ์แล้ว สิบนิ้วบนสองมือก็กางออก พลังจิตวิญญาณละเอียดดั่งสายพิณพุ่งเร็วรี่ออกไปจากสิบนิ้ว แทรกเข้าไปในก้อนของเหลวอย่างพอดิบพอดี

จากนั้นนิ้วของเขาก็ดีดเบาๆ ไม่หยุด ก้อนของเหลวนั่นเริ่มหมุนเปลี่ยนรูปร่างตามการชักนำของสายพลังจิตวิญญาณ หยดน้ำขนาดเล็กหยดแล้วหยดเล่าขนาดเท่าๆ กันแยกตัวออกมาจากด้านใน หลังจากนั้นผสานเข้าไปในวัตถุลักษณะเหมือนยางสีขาวที่กลายสภาพมาจากหนังอสูรทีละหยดๆ ภายใต้การควบคุมของเขา

หลิ่วหมิงชักนำหยดของเหลวสีน้ำเงินหยดแล้วหยดเล่าอย่างระมัดระวังไม่หยุด พร้อมกับสังเกตความเปลี่ยนแปลงของวัตถุสภาพเหมือนยางสีขาวอยู่ตลอดเวลา

ในที่สุดหลังของเหลวสีน้ำเงินหยดที่แปดผสานเข้าไป วัตถุลักษณะเหมือนยางก้อนนั้นในที่สุดก็เกิดการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย สีสันของมันเปลี่ยนเป็นสีเงินอ่อนทันที

ดวงตาของหลิ่วหมิงฉายแววยินดีจางๆ หลังจากนั้นมือข้างหนึ่งจึงสะบัดอีกหน ยิงเคล็ดวิชาอีกสายหนึ่งเข้าใส่ลำแสงเส้นหนึ่งที่อีกด้าน แสงเปลวเพลิงรุนแรงปรากฏออกมา เปลี่ยนหญ้าจิตวิญญาณสีขาวน้ำนมต้นหนึ่งที่มันยกลอยอยู่ให้กลายเป็นไอ สภาพเหมือนหมอกสีขาวน้ำนมสายหนึ่ง

เคล็ดวิชาที่มือของหลิ่วหมิงชักนำไอหมอกสีขาวน้ำนมให้ซึมเข้าไปในวัตถุลักษณะเหมือนยางสีเงินอ่อนตรงกลางอย่างรวดเร็ว

หลิ่วหมิงจัดการวัตถุดิบในลำแสงรอบด้านด้วยกรรมวิธีพิเศษผสานเข้าไปในวัตถุลักษณะเหมือนยางที่แปลงสภาพมาจากหนังอสูรกวางชะมดอย่างระมัดระวังทีละอย่างๆ ไม่หยุด ในเวลาเดียวกันวัตถุลักษณะเหมือนยางก็เริ่มเปลี่ยนสภาพช้าๆ ค่อยๆ กลายเป็นวัตถุแคบแบนทรงวงรีที่ตรงกลางมีช่องว่างชิ้นหนึ่งภายใต้การควบคุมของจิตสัมผัสรวมถึงพลังเวทของเขา

สภาพของมันแลดูคล้ายฝักกระบี่ชิ้นนั้นที่ห้อยอยู่ข้างเอวซาทงเทียนอยู่หลายส่วน

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็อดไม่ได้ฮึกเหิมขึ้นมา เขาใช้แขนเสื้อปาดหยดเหงื่อที่ซึมออกมาจากหน้าผาก ออกแรงเล็กน้อยใช้ฟันขบปลายลิ้นจนแตก โลหิตบริสุทธิ์คำหนึ่งถูกพ่นออกมา รวมตัวกันกลายเป็นก้อนเลือดขนาดเท่าไข่ไก่เบื้องหน้าร่าง

ก้อนเลือดจับตัวรวมกันกลายเป็นยันต์ลี้ลับสีเลือดขนาดเล็กตัวแล้วตัวแล้วภายใต้การควบคุมของเคล็ดวิชาที่มือเขา จากนั้นเรียงเป็นลำดับบางอย่าง ผสานเข้าไปในฝักกระบี่ทีละตัวๆ

หลังทำเรื่องนี้เสร็จ หลิ่วหมิงก็พลิกมือเรียกขวดหยกน้อยใบหนึ่งออกมาอีก เขาเทผงสีขาวจำนวนหนึ่งด้านในออก เมื่อมือข้างหนึ่งชี้ ผงสีขาวเหล่านี้ก็ลอยขึ้นมาในทันใดแล้วทาไปบนผิวรอบนอกของฝักกระบี่อย่างทั่วกัน

หลังจากนั้นก็เป็นของเหลวสีดำสนิทอีกขวดหนึ่ง…

หลิ่วหมิงเติมวัตถุดิบทีละอย่างๆ เข้าไปในต้นแบบฝักกระบี่ตามวิธีการหลอมที่บันทึกไว้ในคัมภีร์หยก

ในเวลาเดียวกันเปลวเพลิงกึ่งโปร่งใสที่ล้อมรอบฝักกระบี่อยู่ก็กลายเป็นอสรพิษเพลิงกึ่งโปร่งใส หนาเท่านิ้วมือตัวแล้วตัวเล่า พวกมันวนล้อมด้านบนด้านล่างของฝักกระบี่แล้วลุกโหมไม่หยุดภายใต้การควบคุมของหลิ่วหมิง

ผิวนอกของฝักกระบี่เริ่มยืดเปลี่ยนรูปร่างไม่หยุดเช่นนี้ พร้อมกันนั้นบนผิวก็เริ่มมีเส้นสีเงินเรียวเล็กเส้นแล้วเส้นเล่าลอยออกมาเลือนราง

หลังผ่านไปเช่นนี้เป็นเวลาสองวัน ฝักกระบี่ว่างเปล่าถึงเป็นรูปเป็นร่างขึ้น

หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาว เมื่อจิตผ่อนคลายลงเล็กน้อย ทันใดนั้นก็รู้สึกสมองเจ็บแปลบอยู่เลือนราง เขาอดไม่ได้หัวเราะเจื่อนๆ ออกมา

ใช้เวลาหลอมยาวนานเช่นนี้ แม้พลังจิตของเขาแข็งแกร่ง ทั้งยังมีหนอนพลังจิตช่วยเหลือแต่ก็รู้สึกทนไม่ค่อยไหวนัก

ยังดีที่การขึ้นรูปฝักกระบี่ซึ่งสำคัญที่สุดสำเร็จไปแล้ว งานต่อจากนี้แม้เทียบกันแล้วทำง่ายกว่ามาก แต่ก็เป็นก้าวที่ซับซ้อนที่สุดยาวนานที่สุดของขั้นตอนการทำทั้งหมด

หลิ่วหมิงกินโอสถหลายเม็ดลงไป หลังพักครู่หนึ่งสองมือก็เริ่มทำท่าเคล็ดวิชา เสาอัคคีสีเงินอ่อนรอบนอกส่องสว่างสองสามหนก็หายวับไปกับความว่างเปล่า มีเพียงลำแสงสีเงินอ่อนตรงกลางค่ายกลที่ยังคงส่องแสงสว่างไสวออกมา

จากนั้นเขาก็สูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่ง สิบนิ้วบนสองมือดีดไม่หยุด ยันต์หน้าตาเหมือนลูกกบบูดเบี้ยวเล็กจิ๋วตัวแล้วตัวเล่าพุ่งออกมาจากด้านใน เริ่มสลักยันต์ลงไปในฝักกระบี่

เวลาผ่านไปทีละน้อยเช่นนี้

ครึ่งปีให้หลัง ประตูใหญ่ของห้องลับจึงค่อยๆ เปิดออก ชายหนุ่มสีหน้าซูบเซียวผู้หนึ่งเดินออกมาจากด้านใน

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด