ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 936 สารของนิกายเทียนกง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 936 สารของนิกายเทียนกง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดูท่าศิษย์น้องจะลืมอีกแล้ว จินเลี่ยหยางก็คือจินเลี่ยหยาง จินเทียนชื่อก็คือจินเทียนชื่อ! สองคนหาใช่คนเดียวกันไม่ เขาในยามนั้นหากไม่ใช่เพราะเตรียมกายเนื้อร่างหนึ่งไว้ล่วงหน้าแล้วให้วิญญาณเสี้ยวหนึ่งหนีกลับมายังนิกายก่อนสิ้นลมจากนั้นหลอมวิญญาณฟื้นคืนชีพ จะมีข้าในตอนนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพื่อการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้กับการซ่อมแซมลูกกลอนกระบี่เม็ดนั้นที่ถูกทำลายไปในอดีต ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกดพลังไว้ คงเลื่อนระดับเป็นระดับดาราพยากรณ์นานแล้ว แต่ถ้าก่อนหน้านี้ตอนพบกับมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนั้น ข้าเลิกกดระดับพลังแล้วทุ่มเต็มกำลังใช้วิชาหลายวิชานั้นเข้าจริง ต่อให้โจมตีมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนั้นถอยไปได้ แต่ตนเองก็คงเลื่อนระดับเป็นระดับดาราพยากรณ์ทันที ไม่อาจอยู่ในเศษซากของโลกบนต่อได้ ไม่ถึงที่สุดข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ

“นี่ก็ใช่ แต่หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่จินก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าสำแดงพลังออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน” แรกสุดฉิวหลงจื่อพยักหน้าแต่จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยอีกครั้ง

“แม้ข้าไม่อาจลงมือเต็มกำลังได้ แต่ก็ยังมีเจ้ากับศิษย์น้องหลิ่วไหม! ศิษย์น้องหลิ่วหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จแล้วย่อมเพียงพอต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งคนใดก็ตามใต้ระดับดาราพยากรณ์ ส่วนตัวเจ้า ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าวิชากระบี่ที่เจ้าเผยออกมาเวลานี้ไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสักนิด แม้เจ้าจะหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่สำเร็จมาตลอด แต่ตอนนี้เจ้าก็คงบรรลุวิชาลับจากศาสตร์กระบี่สมัยบรรพกาลวิชานั้นที่เจ้าเปลี่ยนไปฝึกบ้างแล้วกระมัง” ทันใดนั้นจินเทียนชื่อก็หรี่สองตาพลางเอ่ยขึ้น

“คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้ศิษย์พี่จินก็รู้ ไม่ผิด ข้าติดอยู่ระดับแก่นแท้มานานปีเช่นนี้ย่อมปรารถนาจะก้าวหน้า ในเมื่อหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่สำเร็จก็มีแต่ต้องค้นหาวิธีอื่น ทว่าแม้ข้าจะหาวิชาลับของศาสตร์กระบี่สมัยบรรพกาลวิชานี้มาได้อย่างยากลำบาก แต่มันก็ขาดหายไปไม่น้อย ทั้งยังมีลักษณะบางประการคล้ายผู้ฝึกร่าง คือยามปกติจำต้องผนึกไว้ในกายเนื้อของตน มีเพียงยามเผชิญหน้าศัตรูที่อันตรายจึงจะปลดผนึกกายเนื้อใช้วิชานี้ได้ เพราะเพิ่งบรรลุได้บางส่วน ข้าจึงคงสภาพยามปลดผนึกไว้ได้ไม่นานนัก อีกทั้งเมื่อใช้วิชานี้แล้วก็ยังมีผลร้ายที่ติดตามมาอีกไม่น้อย ดังนั้นไม่ถึงเวลาที่จำเป็น ข้าก็ไม่กล้าใช้วิชานี้เช่นเดียวกัน” ตอนแรกฉิวหลงจื่อตกตะลึงแต่จากนั้นก็หัวเราะจืดเจื่อนตอบกลับมา

จินเทียนชื่อฟังแล้วก็นิ่งงันไร้วาจาโต้ตอบอยู่บ้าง

……

ครึ่งวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงค้นหาตามการชี้ทางของแผ่นค่ายกล ในที่สุดก็หาบริเวณที่มีสายแร่ซึ่งจินเทียนชื่อบอกพบ ทว่าการสำรวจและขุดเก็บสายแร่ล้ำค่าเช่นนี้ไม่ใช่งานที่จะทำเสร็จได้ในวันสองวัน

เขาขุดถ้ำชั่วคราวหยาบๆ แห่งหนึ่งแถวนั้น จากนั้นยกมือขึ้นส่งธงค่ายกลสีฟ้าอ่อนแปดผืนพุ่งไปปักตรงมุมต่างๆ ของถ้ำ

ม่านแสงสีฟ้าชั้นหนึ่งหมุนวนแล้วแผ่ขยายไปรอบด้านล้อมถ้ำทั้งหมดไว้ด้านใน จากนั้นส่องประกายวิบวับสองสามครั้งแล้วกลืนหายไปกับอากาศ

หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ เขาถึงก้าวเท้าเดินเข้าไปในถ้ำอย่างไม่เร็วไม่ช้า เขาค้นหาที่ว่างจุดหนึ่งเพื่อนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วลูบข้างเอวแผ่วเบา แสงสีเงินส่องสว่าง ฝักกระบี่ว่างเปล่าสีเงินอ่อนลอยออกมา

ทันใดนั้นปากฝักกระบี่ก็เปิดออก แสงสีทองอ่อนสายหนึ่งแผ่กระจาย

เขาใช้จิตสัมผัสด้านในฝักกระบี่พบว่ามุกกลมสีทองอ่อนเม็ดหนึ่งนอนนิ่งสงบอยู่ด้านใน มันก็คือลูกกลอนกระบี่ว่างเปล่าเม็ดนั้นนั่นเอง บนลูกกลอนกระบี่ไม่มีร่องรอยความเสียหายแต่อย่างใด ทว่าปราณกระบี่อ่อนแรงกว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่เล็กน้อย

หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วหยิบสมุนไพรจิตวิญญาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วจำนวนหนึ่งออกมาจากในแหวนย่อส่วนเติมเข้าไปในฝักกระบี่ แล้วจึงพลิกมือเรียกยันต์ที่ทอแสงสีเงินขมุกขมัวแผ่นหนึ่งตบลงบนฝักกระบี่เบาๆ

“ผนึก!”

ยันต์สีเงินกลายเป็นแสงสีเงินอ่อนสายหนึ่งแทรกเข้าไปในฝักกระบี่

ครั้งนี้เขาถูกบีบให้ไร้ทางเลือกจึงต้องใช้พลังของลูกกลอนกระบี่ นับว่าได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของมันแล้ว แต่การควบคุมลูกกลอนกระบี่ก็ผลาญพลังจิตไปเร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียดายที่สุดก็คือ ลูกกลอนกระบี่เม็ดนี้ถูกเรียกออกมาก่อนที่จะบำรุงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ความพยายามก่อนหน้านี้จึงเรียกได้ว่าเสียเปล่าหมดสิ้น วันนี้ต้องเริ่มบำรุงใหม่อีกครั้ง

เขายกมือข้างหนึ่งลูบเบาๆ ฝักกระบี่ก็ทอแสงสีเงินวูบหนึ่งแล้วเร้นกายไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็นั่งทำสมาธิฟื้นพลังเวทไปพลาง ขณะที่ขบคิดเรื่องแร่อุกกาบาต

เช้าวันต่อมาหลิ่วหมิงออกจากถ้ำชั่วคราวด้วยความกระปรี้กระเปร่า เท้าเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป

ไม่นานนักหลังจากเมฆสีดำวนตรงบริเวณหนึ่งอยู่สักครู่ก็ร่อนลงบนยอดเขาโล่งเตียนลูกหนึ่งในนั้นอย่างรวดเร็ว

ปราณสีดำสลายไป ร่างกายของหลิ่วหมิงปรากฏออกมา มือข้างหนึ่งถือแผ่นค่ายกลขึ้นมากวาดมองอีกสองสามครั้ง เขาก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวครั้งหนึ่งอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

ปราณสีดำสายหนึ่งม้วนตัวออกมา เซียเอ๋อร์ผู้สวมชุดที่ทำจากตาข่ายสีดำทั้งร่างปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเขา

“เซียเอ๋อร์ ต่อจากนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยสั่งเสียงเรียบ

เขาตรวจสอบดูแล้วว่าอาจเป็นเพราะแร่อุกกาบาต หินรอบเทือกเขาแถบนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ยันต์ดำดินทั่วไปยากจะแทรกเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขุดเปิดไปถึงหินแร่ด้านใน

เขาคิดไปคิดมาก็ได้แต่พึ่งการดำดินด้วยพรสวรรค์ธาตุดินของเซียเอ๋อร์ค้นหา ก่อนหน้านี้ในแดนลึกลับประตูสวรรค์เซียเอ๋อร์ก็เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน

“วางใจเถิดนายท่าน เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเอง” เซียเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ร่างกายขยับวูบเดียวก็มีแสงเรืองรองสีน้ำตาลทองสายหนึ่งลอยออกมาจากร่างของนางแล้วหุ้มร่างไว้มุดลงไปใต้พื้นดินทันที

เจ็ดวันให้หลังบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอยู่ท่ามกลางสายลม กลางฝ่ามือคือหินแร่สีเขียวคล้ำที่ทอแสงเรืองๆ ทั้งก้อนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง เขามองด้วยสีหน้าผิดหวัง

แผ่นค่ายกลที่จินเทียนชื่อมอบให้ทำได้เพียงสัมผัสตำแหน่งคร่าวๆ ได้สิบลี้เท่านั้น ไม่อาจระบุตำแหน่งแน่นอนที่แร่อุกกาบาตอยู่ได้ โชคดีที่มีพลังพิเศษของเซียเอ๋อร์ หลังจากเปลี่ยนตำแหน่งอยู่หลายครั้งในที่สุดเขาจึงตามหาหินแร่อุกกาบาตน้อยนิดที่ขนาดไม่เท่ากันเจ็ดถึงแปดก้อนพบ ก้อนที่ใหญ่ที่สุดขนาดเพียงเท่าศีรษะ ก้อนที่เล็กที่สุดขนาดเท่าก้อนนี้ที่อยู่ในมือเขาเท่านั้น

เดิมทีคิดว่าที่แห่งนี้จะมีสายแร่อุกกาบาตสายใหญ่ ผลสุดท้ายกลับพบเพียงไม่กี่สายประปราย ส่วนหินแร่อุกกาบาตที่ตกผลึกเป็นก้อนก็หาพบน้อยนิดเพียงเท่านี้ นี่ทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง

ในเวลานี้เองเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาสายหนึ่งก็ดังลอยมา

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงนิ่งเรียบของจินเทียนชื่อก็ดังออกมาจากด้านใน

“ศิษย์น้องหลิ่ว หลังได้รับสารนี้ ขอให้รีบกลับมายังที่พักชั่วคราว มีเรื่องสำคัญต้องหารือ”

หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้ว หลังจากเก็บแร่อุกกาบาตในมือเข้าไปในแหวนย่อส่วน เขาก็ใช้เคล็ดวิชาเรียกเมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างของตนลอยเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็วทันที

ไม่กี่ชั่วยามให้หลังแสงสีดำเส้นหนึ่งก็แหวกเมฆหมอกร่อนลงมาในหุบเขาซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ นั่นก็คือหลิ่วหมิงที่เร่งกวดเดินทางมาตลอดทางนั่นเอง

“ศิษย์น้องหลิ่ว รอเจ้าอยู่แค่คนเดียว” หลิ่วหมิงเพิ่งเดินเข้าไปในถ้ำ ฉิวหลงจื่อก็หัวเราะพลางเดินเข้ามาหา

“ปล่อยให้ศิษย์พี่ทั้งหลายรอนานแล้ว” หลิ่วหมิงผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบประโยคหนึ่ง

เวลานี้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหลายรวมถึงพี่น้องโอวหยางล้วนอยู่กันพร้อมหน้าในถ้ำแล้ว เมื่อรวมเขาเข้าไปด้วยทั้งหมดเหลือเพียงสิบหกคน

“วันนี้ที่เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องบอกกับทุกคน” เมื่อเห็นคนมาครบแล้ว จินเทียนชื่อจึงลุกขึ้นเอ่ยด้วยเสียงกังวาน

“เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มอำนาจใหญ่จากแผ่นดินแต่ละแห่งที่จะเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้ปะปนกันมากมายยากแบ่งแยกมิตรศัตรู ตัวเศษซากโลกบนเองก็มีสภาพที่ซับซ้อนยากคาดเดา ดังนั้นก่อนหน้าที่พวกเราจะเข้ามายังที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายจึงทำข้อตกลงกับนิกายเทียนกงไว้ว่าศิษย์สองนิกายจะไม่ต่อสู้กันในเศษซากโลกบน นอกจากนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียผลประโยชน์ ทั้งสองนิกายสามารถร่วมมือกันต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่งได้ หรือหากพบผลประโยชน์ประการใดที่นิกายหนึ่งยากจะคว้ามาได้ตามลำพัง ศิษย์ทั้งสองนิกายก็ร่วมมือคว้ามันมาก่อนแล้วค่อยหารือแบ่งสรรกันภายหลังได้” จินเทียนชื่อเอ่ยปากเข้าประเด็น

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมาคนทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นส่วนใหญ่ก็เข้าใจเรื่องราวได้แปดเก้าในสิบส่วนแล้ว เรื่องที่จะพูดหลังจากนี้กว่าครึ่งคงเกี่ยวกับนิกายเทียนกง

หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อดไม่ได้นึกถึงกำไลเก็บของของศิษย์นิกายเทียนกงที่เก็บได้จากบึงหมอกพิษก่อนหน้านี้กับหุ่นระดับแก่นแท้ตัวหนึ่งด้านใน

หากถูกศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นรู้เข้า ไม่แน่อาจจะนำเรื่องยุ่งยากบางประการมาให้ก็เป็นได้

“หลายวันก่อนตอนที่พักอยู่ ข้าได้รับสารจากนิกายเทียนกง บอกว่าในซากโบราณสถานแห่งหนึ่งมีสมบัติที่สำคัญยิ่งต่อนิกายเทียนกงชิ้นหนึ่งอยู่ หนึ่งในภารกิจของการเดินทางเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ของพวกเขาก็คือการตามหาสมบัติชิ้นนี้แล้วนำกลับไป ทว่าข่าวนี้ไม่ทราบแพร่หลุดไปได้อย่างไร อีกทั้งระหว่างการค้นหาสมบัติก่อนหน้านี้นิกายเทียนกงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนหนึ่ง หากอาศัยกำลังของตนเองเพียงฝ่ายเดียวโอกาสที่จะได้สมบัติมามีไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงส่งข่าวมาหาพวกเรา หวังว่าพวกเราจะส่งผู้มีฝีมือแข็งแกร่งเดินทางไปร่วมมือกันได้ หลังเสร็จงานนิกายเทียนกงยินดีมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นที่มีค่าครึ่งหนึ่งของสมบัติชิ้นนี้เป็นของแลกเปลี่ยน จากที่นิกายเทียนกงแจ้งมาตำแหน่งที่ซากโบราณสถานแห่งนี้อยู่ไกลจากจุดที่พวกเราอยู่ตอนนี้ค่อนข้างมาก ข้ากับศิษย์น้องฉิวจึงหารือกันแล้วว่าจะให้ศิษย์น้องฉิวกับศิษย์ที่ยังไม่หายดีอยู่รักษาตัวและค้นหาสมบัติบริเวณนี้ ส่วนข้าจะนำคนที่รักษาตัวได้พอประมาณแล้วเดินทางไปหานิกายเทียนกง ลองดูว่าจะมีโชควาสนาอย่างอื่นหรือไม่ แต่ข้าต้องเตือนทุกคนไว้ก่อน การเดินทางครั้งนี้จะต้องมีอันตรายไม่น้อยแน่นอน ดังนั้นจะเข้าร่วมหรือไม่แล้วแต่สมัครใจทั้งสิ้น ศิษย์น้องทุกคนจงใคร่ครวญให้ดี ครึ่งวันหลังจากนี้พวกเราจะออกเดินทาง” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า

คนที่อยู่ที่นั่นฟังแล้วก็มองหน้ากันพักหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครเอ่ยวาจา

หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจเร็วไว วิเคราะห์ข่าวสารที่เผยผ่านถ้อยคำของจินเทียนชื่อกับข้อดีข้อเสียของการอยู่และไปอย่างเร็วไว

“ศิษย์พี่จิน ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร นับข้าไปหนึ่งคนเถิด” หลังจากครุ่นคิดครู่สั้นๆ หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมา

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมาย่อมดึงสายตาของคนทั้งหมดที่นี่

หลงเหยียนเฟยมองหลิ่วหมิง แม้ในใจอยากไปอยู่บ้าง แต่ประการแรกเพราะอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ยังไม่หายดี ประการต่อมากระบี่จิตวิญญาณสองเล่มของนางเสียหายไม่น้อย เกรงว่าสิบวันครึ่งเดือนคงไม่อาจฟื้นพลังกลับคืนมาเป็นปกติได้ นางจึงได้แต่เสียดาย

สองพี่น้องโอวหยางก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าคิดจะเข้าร่วม

อย่างไรนี่ก็เป็นสัญญาพันธมิตรระหว่างคนระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกง แม้พวกนางอยากเข้าร่วม จินเทียนชื่อก็คงไม่ตกลง

“ศิษย์พี่จิน ผู้แซ่หลัวก็ยินดีเดินทางไปด้วย”

ทันใดนั้นคนอีกคนหนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้า เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว

หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 936 สารของนิกายเทียนกง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 936 สารของนิกายเทียนกง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ดูท่าศิษย์น้องจะลืมอีกแล้ว จินเลี่ยหยางก็คือจินเลี่ยหยาง จินเทียนชื่อก็คือจินเทียนชื่อ! สองคนหาใช่คนเดียวกันไม่ เขาในยามนั้นหากไม่ใช่เพราะเตรียมกายเนื้อร่างหนึ่งไว้ล่วงหน้าแล้วให้วิญญาณเสี้ยวหนึ่งหนีกลับมายังนิกายก่อนสิ้นลมจากนั้นหลอมวิญญาณฟื้นคืนชีพ จะมีข้าในตอนนี้ได้อย่างไร หากไม่ใช่เพื่อการเดินทางมายังเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้กับการซ่อมแซมลูกกลอนกระบี่เม็ดนั้นที่ถูกทำลายไปในอดีต ข้าก็ไม่จำเป็นต้องกดพลังไว้ คงเลื่อนระดับเป็นระดับดาราพยากรณ์นานแล้ว แต่ถ้าก่อนหน้านี้ตอนพบกับมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนั้น ข้าเลิกกดระดับพลังแล้วทุ่มเต็มกำลังใช้วิชาหลายวิชานั้นเข้าจริง ต่อให้โจมตีมนุษย์ปีศาจระดับดาราพยากรณ์คนนั้นถอยไปได้ แต่ตนเองก็คงเลื่อนระดับเป็นระดับดาราพยากรณ์ทันที ไม่อาจอยู่ในเศษซากของโลกบนต่อได้ ไม่ถึงที่สุดข้าไม่มีทางทำเรื่องเช่นนั้นเด็ดขาด” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นอย่างนิ่งสงบ

“นี่ก็ใช่ แต่หากเป็นเช่นนี้ ศิษย์พี่จินก็เหมือนถูกมัดมือมัดเท้าสำแดงพลังออกมาได้ไม่ถึงหนึ่งในสิบส่วน” แรกสุดฉิวหลงจื่อพยักหน้าแต่จากนั้นก็เอ่ยออกมาอย่างกลัดกลุ้มเล็กน้อยอีกครั้ง

“แม้ข้าไม่อาจลงมือเต็มกำลังได้ แต่ก็ยังมีเจ้ากับศิษย์น้องหลิ่วไหม! ศิษย์น้องหลิ่วหลอมลูกกลอนกระบี่สำเร็จแล้วย่อมเพียงพอต่อกรกับศัตรูที่แข็งแกร่งคนใดก็ตามใต้ระดับดาราพยากรณ์ ส่วนตัวเจ้า ฮ่าๆ เจ้าคิดว่าข้าไม่รู้หรือว่าวิชากระบี่ที่เจ้าเผยออกมาเวลานี้ไม่ใช่ความสามารถที่แท้จริงของเจ้าสักนิด แม้เจ้าจะหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่สำเร็จมาตลอด แต่ตอนนี้เจ้าก็คงบรรลุวิชาลับจากศาสตร์กระบี่สมัยบรรพกาลวิชานั้นที่เจ้าเปลี่ยนไปฝึกบ้างแล้วกระมัง” ทันใดนั้นจินเทียนชื่อก็หรี่สองตาพลางเอ่ยขึ้น

“คิดไม่ถึงว่ากระทั่งเรื่องนี้ศิษย์พี่จินก็รู้ ไม่ผิด ข้าติดอยู่ระดับแก่นแท้มานานปีเช่นนี้ย่อมปรารถนาจะก้าวหน้า ในเมื่อหลอมลูกกลอนกระบี่ไม่สำเร็จก็มีแต่ต้องค้นหาวิธีอื่น ทว่าแม้ข้าจะหาวิชาลับของศาสตร์กระบี่สมัยบรรพกาลวิชานี้มาได้อย่างยากลำบาก แต่มันก็ขาดหายไปไม่น้อย ทั้งยังมีลักษณะบางประการคล้ายผู้ฝึกร่าง คือยามปกติจำต้องผนึกไว้ในกายเนื้อของตน มีเพียงยามเผชิญหน้าศัตรูที่อันตรายจึงจะปลดผนึกกายเนื้อใช้วิชานี้ได้ เพราะเพิ่งบรรลุได้บางส่วน ข้าจึงคงสภาพยามปลดผนึกไว้ได้ไม่นานนัก อีกทั้งเมื่อใช้วิชานี้แล้วก็ยังมีผลร้ายที่ติดตามมาอีกไม่น้อย ดังนั้นไม่ถึงเวลาที่จำเป็น ข้าก็ไม่กล้าใช้วิชานี้เช่นเดียวกัน” ตอนแรกฉิวหลงจื่อตกตะลึงแต่จากนั้นก็หัวเราะจืดเจื่อนตอบกลับมา

จินเทียนชื่อฟังแล้วก็นิ่งงันไร้วาจาโต้ตอบอยู่บ้าง

……

ครึ่งวันหลังจากนั้นหลิ่วหมิงค้นหาตามการชี้ทางของแผ่นค่ายกล ในที่สุดก็หาบริเวณที่มีสายแร่ซึ่งจินเทียนชื่อบอกพบ ทว่าการสำรวจและขุดเก็บสายแร่ล้ำค่าเช่นนี้ไม่ใช่งานที่จะทำเสร็จได้ในวันสองวัน

เขาขุดถ้ำชั่วคราวหยาบๆ แห่งหนึ่งแถวนั้น จากนั้นยกมือขึ้นส่งธงค่ายกลสีฟ้าอ่อนแปดผืนพุ่งไปปักตรงมุมต่างๆ ของถ้ำ

ม่านแสงสีฟ้าชั้นหนึ่งหมุนวนแล้วแผ่ขยายไปรอบด้านล้อมถ้ำทั้งหมดไว้ด้านใน จากนั้นส่องประกายวิบวับสองสามครั้งแล้วกลืนหายไปกับอากาศ

หลังทำทุกสิ่งนี้เสร็จ เขาถึงก้าวเท้าเดินเข้าไปในถ้ำอย่างไม่เร็วไม่ช้า เขาค้นหาที่ว่างจุดหนึ่งเพื่อนั่งขัดสมาธิลงกับพื้นแล้วลูบข้างเอวแผ่วเบา แสงสีเงินส่องสว่าง ฝักกระบี่ว่างเปล่าสีเงินอ่อนลอยออกมา

ทันใดนั้นปากฝักกระบี่ก็เปิดออก แสงสีทองอ่อนสายหนึ่งแผ่กระจาย

เขาใช้จิตสัมผัสด้านในฝักกระบี่พบว่ามุกกลมสีทองอ่อนเม็ดหนึ่งนอนนิ่งสงบอยู่ด้านใน มันก็คือลูกกลอนกระบี่ว่างเปล่าเม็ดนั้นนั่นเอง บนลูกกลอนกระบี่ไม่มีร่องรอยความเสียหายแต่อย่างใด ทว่าปราณกระบี่อ่อนแรงกว่าก่อนหน้านี้ไม่ใช่แค่เล็กน้อย

หลิ่วหมิงส่ายศีรษะแล้วหยิบสมุนไพรจิตวิญญาณที่เตรียมเอาไว้ก่อนแล้วจำนวนหนึ่งออกมาจากในแหวนย่อส่วนเติมเข้าไปในฝักกระบี่ แล้วจึงพลิกมือเรียกยันต์ที่ทอแสงสีเงินขมุกขมัวแผ่นหนึ่งตบลงบนฝักกระบี่เบาๆ

“ผนึก!”

ยันต์สีเงินกลายเป็นแสงสีเงินอ่อนสายหนึ่งแทรกเข้าไปในฝักกระบี่

ครั้งนี้เขาถูกบีบให้ไร้ทางเลือกจึงต้องใช้พลังของลูกกลอนกระบี่ นับว่าได้เห็นพลังอันยิ่งใหญ่ของมันแล้ว แต่การควบคุมลูกกลอนกระบี่ก็ผลาญพลังจิตไปเร็วกว่าที่เขาคาดเอาไว้มากนัก

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกเสียดายที่สุดก็คือ ลูกกลอนกระบี่เม็ดนี้ถูกเรียกออกมาก่อนที่จะบำรุงเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ความพยายามก่อนหน้านี้จึงเรียกได้ว่าเสียเปล่าหมดสิ้น วันนี้ต้องเริ่มบำรุงใหม่อีกครั้ง

เขายกมือข้างหนึ่งลูบเบาๆ ฝักกระบี่ก็ทอแสงสีเงินวูบหนึ่งแล้วเร้นกายไปอีกครั้ง หลังจากนั้นเขาก็นั่งทำสมาธิฟื้นพลังเวทไปพลาง ขณะที่ขบคิดเรื่องแร่อุกกาบาต

เช้าวันต่อมาหลิ่วหมิงออกจากถ้ำชั่วคราวด้วยความกระปรี้กระเปร่า เท้าเหยียบเมฆสีดำก้อนหนึ่งแหวกท้องฟ้าจากไป

ไม่นานนักหลังจากเมฆสีดำวนตรงบริเวณหนึ่งอยู่สักครู่ก็ร่อนลงบนยอดเขาโล่งเตียนลูกหนึ่งในนั้นอย่างรวดเร็ว

ปราณสีดำสลายไป ร่างกายของหลิ่วหมิงปรากฏออกมา มือข้างหนึ่งถือแผ่นค่ายกลขึ้นมากวาดมองอีกสองสามครั้ง เขาก็ตบถุงหล่อเลี้ยงวิญญาณข้างเอวครั้งหนึ่งอย่างไม่ลังเลอีกต่อไป

ปราณสีดำสายหนึ่งม้วนตัวออกมา เซียเอ๋อร์ผู้สวมชุดที่ทำจากตาข่ายสีดำทั้งร่างปรากฏตัวออกมาเบื้องหน้าเขา

“เซียเอ๋อร์ ต่อจากนี้ต้องพึ่งเจ้าแล้ว” หลิ่วหมิงเอ่ยสั่งเสียงเรียบ

เขาตรวจสอบดูแล้วว่าอาจเป็นเพราะแร่อุกกาบาต หินรอบเทือกเขาแถบนี้แข็งแกร่งอย่างยิ่ง ยันต์ดำดินทั่วไปยากจะแทรกเข้าไปได้ ยิ่งไม่ต้องพูดถึงการขุดเปิดไปถึงหินแร่ด้านใน

เขาคิดไปคิดมาก็ได้แต่พึ่งการดำดินด้วยพรสวรรค์ธาตุดินของเซียเอ๋อร์ค้นหา ก่อนหน้านี้ในแดนลึกลับประตูสวรรค์เซียเอ๋อร์ก็เคยทำเรื่องเช่นนี้มาก่อน

“วางใจเถิดนายท่าน เรื่องนี้มอบให้ข้าจัดการเอง” เซียเอ๋อร์หัวเราะคิกคัก ร่างกายขยับวูบเดียวก็มีแสงเรืองรองสีน้ำตาลทองสายหนึ่งลอยออกมาจากร่างของนางแล้วหุ้มร่างไว้มุดลงไปใต้พื้นดินทันที

เจ็ดวันให้หลังบนยอดเขาที่เต็มไปด้วยหลุมบ่อแห่งหนึ่ง หลิ่วหมิงยืนอยู่ท่ามกลางสายลม กลางฝ่ามือคือหินแร่สีเขียวคล้ำที่ทอแสงเรืองๆ ทั้งก้อนขนาดเท่ากำปั้นก้อนหนึ่ง เขามองด้วยสีหน้าผิดหวัง

แผ่นค่ายกลที่จินเทียนชื่อมอบให้ทำได้เพียงสัมผัสตำแหน่งคร่าวๆ ได้สิบลี้เท่านั้น ไม่อาจระบุตำแหน่งแน่นอนที่แร่อุกกาบาตอยู่ได้ โชคดีที่มีพลังพิเศษของเซียเอ๋อร์ หลังจากเปลี่ยนตำแหน่งอยู่หลายครั้งในที่สุดเขาจึงตามหาหินแร่อุกกาบาตน้อยนิดที่ขนาดไม่เท่ากันเจ็ดถึงแปดก้อนพบ ก้อนที่ใหญ่ที่สุดขนาดเพียงเท่าศีรษะ ก้อนที่เล็กที่สุดขนาดเท่าก้อนนี้ที่อยู่ในมือเขาเท่านั้น

เดิมทีคิดว่าที่แห่งนี้จะมีสายแร่อุกกาบาตสายใหญ่ ผลสุดท้ายกลับพบเพียงไม่กี่สายประปราย ส่วนหินแร่อุกกาบาตที่ตกผลึกเป็นก้อนก็หาพบน้อยนิดเพียงเท่านี้ นี่ทำให้เขาผิดหวังอยู่บ้าง

ในเวลานี้เองเสียงทุ้มต่ำแผ่วเบาสายหนึ่งก็ดังลอยมา

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปทันที เขาพลิกมือข้างหนึ่งเรียกแผ่นค่ายกลส่งสารขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งออกมา ในเวลาเดียวกันนั้นเสียงนิ่งเรียบของจินเทียนชื่อก็ดังออกมาจากด้านใน

“ศิษย์น้องหลิ่ว หลังได้รับสารนี้ ขอให้รีบกลับมายังที่พักชั่วคราว มีเรื่องสำคัญต้องหารือ”

หลิ่วหมิงได้ยินพลันขมวดคิ้ว หลังจากเก็บแร่อุกกาบาตในมือเข้าไปในแหวนย่อส่วน เขาก็ใช้เคล็ดวิชาเรียกเมฆดำก้อนหนึ่งยกร่างของตนลอยเหาะจากไปไกลอย่างรวดเร็วทันที

ไม่กี่ชั่วยามให้หลังแสงสีดำเส้นหนึ่งก็แหวกเมฆหมอกร่อนลงมาในหุบเขาซึ่งเป็นที่พักชั่วคราวของศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ นั่นก็คือหลิ่วหมิงที่เร่งกวดเดินทางมาตลอดทางนั่นเอง

“ศิษย์น้องหลิ่ว รอเจ้าอยู่แค่คนเดียว” หลิ่วหมิงเพิ่งเดินเข้าไปในถ้ำ ฉิวหลงจื่อก็หัวเราะพลางเดินเข้ามาหา

“ปล่อยให้ศิษย์พี่ทั้งหลายรอนานแล้ว” หลิ่วหมิงผงกศีรษะเล็กน้อยแล้วเอ่ยตอบประโยคหนึ่ง

เวลานี้ศิษย์นิกายยอดบริสุทธิ์ทั้งหลายรวมถึงพี่น้องโอวหยางล้วนอยู่กันพร้อมหน้าในถ้ำแล้ว เมื่อรวมเขาเข้าไปด้วยทั้งหมดเหลือเพียงสิบหกคน

“วันนี้ที่เรียกทุกคนมารวมตัวกันที่นี่เพราะมีเรื่องสำคัญเรื่องหนึ่งต้องบอกกับทุกคน” เมื่อเห็นคนมาครบแล้ว จินเทียนชื่อจึงลุกขึ้นเอ่ยด้วยเสียงกังวาน

“เนื่องจากเห็นว่ากลุ่มอำนาจใหญ่จากแผ่นดินแต่ละแห่งที่จะเข้ามาในเศษซากโลกบนแห่งนี้ปะปนกันมากมายยากแบ่งแยกมิตรศัตรู ตัวเศษซากโลกบนเองก็มีสภาพที่ซับซ้อนยากคาดเดา ดังนั้นก่อนหน้าที่พวกเราจะเข้ามายังที่แห่งนี้ ผู้อาวุโสระดับสูงในนิกายจึงทำข้อตกลงกับนิกายเทียนกงไว้ว่าศิษย์สองนิกายจะไม่ต่อสู้กันในเศษซากโลกบน นอกจากนี้ภายใต้เงื่อนไขที่ไม่ทำให้อีกฝ่ายเสียผลประโยชน์ ทั้งสองนิกายสามารถร่วมมือกันต่อต้านศัตรูที่แข็งแกร่งได้ หรือหากพบผลประโยชน์ประการใดที่นิกายหนึ่งยากจะคว้ามาได้ตามลำพัง ศิษย์ทั้งสองนิกายก็ร่วมมือคว้ามันมาก่อนแล้วค่อยหารือแบ่งสรรกันภายหลังได้” จินเทียนชื่อเอ่ยปากเข้าประเด็น

เมื่อเอ่ยคำพูดนี้ออกมาคนทั้งหลายที่อยู่ตรงนั้นส่วนใหญ่ก็เข้าใจเรื่องราวได้แปดเก้าในสิบส่วนแล้ว เรื่องที่จะพูดหลังจากนี้กว่าครึ่งคงเกี่ยวกับนิกายเทียนกง

หลิ่วหมิงฟังแล้วก็อดไม่ได้นึกถึงกำไลเก็บของของศิษย์นิกายเทียนกงที่เก็บได้จากบึงหมอกพิษก่อนหน้านี้กับหุ่นระดับแก่นแท้ตัวหนึ่งด้านใน

หากถูกศิษย์นิกายเทียนกงคนอื่นรู้เข้า ไม่แน่อาจจะนำเรื่องยุ่งยากบางประการมาให้ก็เป็นได้

“หลายวันก่อนตอนที่พักอยู่ ข้าได้รับสารจากนิกายเทียนกง บอกว่าในซากโบราณสถานแห่งหนึ่งมีสมบัติที่สำคัญยิ่งต่อนิกายเทียนกงชิ้นหนึ่งอยู่ หนึ่งในภารกิจของการเดินทางเข้ามาในเศษซากแห่งโลกบนครั้งนี้ของพวกเขาก็คือการตามหาสมบัติชิ้นนี้แล้วนำกลับไป ทว่าข่าวนี้ไม่ทราบแพร่หลุดไปได้อย่างไร อีกทั้งระหว่างการค้นหาสมบัติก่อนหน้านี้นิกายเทียนกงมีศิษย์บาดเจ็บล้มตายไปจำนวนหนึ่ง หากอาศัยกำลังของตนเองเพียงฝ่ายเดียวโอกาสที่จะได้สมบัติมามีไม่มาก ดังนั้นพวกเขาจึงส่งข่าวมาหาพวกเรา หวังว่าพวกเราจะส่งผู้มีฝีมือแข็งแกร่งเดินทางไปร่วมมือกันได้ หลังเสร็จงานนิกายเทียนกงยินดีมอบสมบัติล้ำค่าชิ้นอื่นที่มีค่าครึ่งหนึ่งของสมบัติชิ้นนี้เป็นของแลกเปลี่ยน จากที่นิกายเทียนกงแจ้งมาตำแหน่งที่ซากโบราณสถานแห่งนี้อยู่ไกลจากจุดที่พวกเราอยู่ตอนนี้ค่อนข้างมาก ข้ากับศิษย์น้องฉิวจึงหารือกันแล้วว่าจะให้ศิษย์น้องฉิวกับศิษย์ที่ยังไม่หายดีอยู่รักษาตัวและค้นหาสมบัติบริเวณนี้ ส่วนข้าจะนำคนที่รักษาตัวได้พอประมาณแล้วเดินทางไปหานิกายเทียนกง ลองดูว่าจะมีโชควาสนาอย่างอื่นหรือไม่ แต่ข้าต้องเตือนทุกคนไว้ก่อน การเดินทางครั้งนี้จะต้องมีอันตรายไม่น้อยแน่นอน ดังนั้นจะเข้าร่วมหรือไม่แล้วแต่สมัครใจทั้งสิ้น ศิษย์น้องทุกคนจงใคร่ครวญให้ดี ครึ่งวันหลังจากนี้พวกเราจะออกเดินทาง” จินเทียนชื่อเอ่ยขึ้นอย่างเชื่องช้า

คนที่อยู่ที่นั่นฟังแล้วก็มองหน้ากันพักหนึ่ง ชั่วขณะหนึ่งไม่มีใครเอ่ยวาจา

หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจเร็วไว วิเคราะห์ข่าวสารที่เผยผ่านถ้อยคำของจินเทียนชื่อกับข้อดีข้อเสียของการอยู่และไปอย่างเร็วไว

“ศิษย์พี่จิน ข้าไม่ได้บาดเจ็บอะไร นับข้าไปหนึ่งคนเถิด” หลังจากครุ่นคิดครู่สั้นๆ หลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นมา

เมื่อคำนี้เอ่ยออกมาย่อมดึงสายตาของคนทั้งหมดที่นี่

หลงเหยียนเฟยมองหลิ่วหมิง แม้ในใจอยากไปอยู่บ้าง แต่ประการแรกเพราะอาการบาดเจ็บก่อนหน้านี้ยังไม่หายดี ประการต่อมากระบี่จิตวิญญาณสองเล่มของนางเสียหายไม่น้อย เกรงว่าสิบวันครึ่งเดือนคงไม่อาจฟื้นพลังกลับคืนมาเป็นปกติได้ นางจึงได้แต่เสียดาย

สองพี่น้องโอวหยางก็ไม่ได้แสดงท่าทีว่าคิดจะเข้าร่วม

อย่างไรนี่ก็เป็นสัญญาพันธมิตรระหว่างคนระดับสูงของนิกายยอดบริสุทธิ์กับนิกายเทียนกง แม้พวกนางอยากเข้าร่วม จินเทียนชื่อก็คงไม่ตกลง

“ศิษย์พี่จิน ผู้แซ่หลัวก็ยินดีเดินทางไปด้วย”

ทันใดนั้นคนอีกคนหนึ่งก็ก้าวออกมาข้างหน้า เขาเอ่ยขึ้นพร้อมกับเลิกคิ้ว

หลัวเทียนเฉิงนั่นเอง!

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+