ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 952 กองหนุนผู้แข็งแกร่งที่คิดไม่ถึง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 952 กองหนุนผู้แข็งแกร่งที่คิดไม่ถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่ปิดบังความจริง ข้าชำนาญวิชาซ่อนเร้นอำพราง ใช้ลมหายใจร่วมกับต้นไม้ใบหญ้าได้ ระหว่างที่สหายหลิ่วกับพรรคพวกชิงสมบัติจากในท้องอสูรยักษ์ตัวนั้น ข้าก็ซ่อนตัวเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ มาตลอด ข้าย่อมทราบนามของสหาย” สตรีชุดฟ้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น

หลิ่วหมิงฟังแล้วในใจก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง แต่บนใบหน้าไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ต้องรู้ว่าก่อนหน้าที่ทุกคนจะตัดสินใจชิงสมบัติ พวกจินเทียนชื่อกับเยี่ยโจ่งล้วนใช้วิธีการต่างๆ ตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบด้านอสูรยักษ์ตัวนั้นแล้ว ตัวเขาเองก็ลอบใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณแล้วเช่นกันแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด สตรีนางนี้ซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ๆ หลบพ้นสายตาของพวกเขาทั้งหมดได้จริงหรือ?

เขามองประเมินสตรีชุดฟ้าผู้นี้จากหัวจรดเท้า สายตาเย็นเยือกขึ้นเล็กน้อย

“พูดเช่นนี้ ที่เผ่าปีศาจเหล่านั้นลอบจู่โจมพวกเราล้วนเพราะท่านชักนำมาสินะ?”

หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน บนร่างมีปราณดำหนาทึบลอยออกมาในทันใด

“นี่หาใช่ไม่ จี๋อิ่งกับคนของเผ่าพยัคฆ์เงินจ้องนิกายเทียนกงอยู่ก่อนแล้ว ข้าเพียงถูกจี๋อิ่งใช้งาน จึงซุ่มซ่อนสอดส่องอยู่ตลอดเท่านั้น นอกจากนี้ทั้งสามคนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกท่านก็ไม่ได้ตายเพราะเหตุนี้ ระหว่างข้ากับท่านจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีความแค้นอันใดให้กล่าวถึง” หญิงสาวชุดฟ้าเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความเป็นอริของหลิ่วหมิง นางยังคงกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า

สตรีผู้นี้ก็กล่าวไม่ผิด!

หลิ่วหมิงฟังแล้วสายตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลงไปบ้าง

“พูดไปแล้ว แม้ข้าจะเป็นคนของเผ่าปีศาจ แต่ข้าก็ไม่ใช่พรรคพวกของผู้ฝึกฝนเผ่าหมาป่าเงาและเผ่าพยัคฆ์เงิน ไม่ทราบสหายหลิ่วมีเวลาฟังข้าอธิบายเพิ่มหรือไม่?” สตรีชุดฟ้าเห็นสีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปสีหน้าก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน นางเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ชักช้า

หลิ่วหมิงฟังอย่างเงียบๆ ระหว่างที่ต่อสู้ชุลมุนก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่ากลิ่นอายของสตรีนางนี้แตกต่างกับพวกจี๋อิ่งอย่างเห็นได้ชัด

ปราณปีศาจที่พวกจี๋อิ่งแผ่ออกมาโหดเหี้ยมดุดันเหมือนพยัคฆ์หิวโหยหรือนกนักล่า แต่สตรีนางนี้ลมปราณอ่อนโยนนุ่มนวล แตกต่างจากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

แต่อาศัยเพียงจุดนี้เขายังไม่อาจเชื่อคำพูดอีกฝ่ายอย่างแท้จริงแล้วคลายความระแวงที่มีต่อสตรีนางนี้ไปได้

‘หรือเผ่าหมาป่าเงานามจี๋อิ่งผู้นั้นเห็นว่าไล่ตามข้าไม่ทันจึงส่งหลานซือคนนี้มารั้งข้าไว้เพื่อซื้อเวลา?’ หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจดุจสายฟ้าแลบ ทันใดนั้นเขาก็ลงมือท่องมนตร์ลอบใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณทันที

อึดใจต่อมาสีหน้าเขากลับตกตะลึง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขาสัมผัสได้ว่ายามนี้จู่ๆ จี๋อิ่งก็เปลี่ยนทิศไล่ตามไปอีกทางหนึ่ง

“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลถึงจี๋อิ่ง หลายวันนี้ที่เขาไล่ตามสหายมาติดๆ ได้ตลอดก็เพราะข้าใช้วิชาลับของเผ่าข้าจับร่องรอยของสหายไว้ตลอดแล้วรายงานเขา แม้จี๋อิ่งผู้นี้จะมีความเร็วเป็นเอก แต่ตัวเขาเองใช้วิชาลับจำพวกสะกดรอยเช่นนี้ไม่เป็น เมื่อครู่ข้านำเขาไปผิดทิศ ชั่วครู่ชั่วยามเขาไม่มีทางรู้แน่” สตรีชุดฟ้าสายตาทอประกายเล็กน้อยคล้ายมองความในใจของหลิ่วหมิงออก นิ้วเรียวขาวดุจโคนต้นหอมเหน็บเส้นผมเงางามที่ร่วงลงมาข้างหูขึ้นไปเบาๆ นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เขามองสตรีชุดฟ้านิ่งนานอีกครั้ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็สะบัดค่อยๆ เก็บปราณสีดำบนร่างไป

“คิกๆ สหายเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายจริง ดูท่าข้าจะเลือกไม่ผิด!” สตรีชุดฟ้าเห็นการกระทำของหลิ่วหมิง ดวงเนตรงามก็ทอประกายแล้วหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้นมา

“ท่านมาหาข้า น่าจะไม่ใช่เพื่อคุยกันเฉยๆ กระมัง มีธุระก็พูดธุระออกมาเถอะ” เสียงของหลิ่วหมิงนิ่งสงบอย่างยิ่ง

“ดี ในเมื่อสหายหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว! วันนี้สหายพลังอยู่ในระดับแก่นเสมือน จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้คงเป็นเรื่องอีกไม่นานสินะ” สตรีชุดฟ้าเอ่ยออกมาทีละคำด้วยสีหน้าจริงจัง

“คำพูดนี้ของสหายหมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอะไรบางอย่าง แต่เอ่ยถามออกมาเหมือนปกติด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ในมือข้ามีผลแก่นแท้วิญญาณอยู่ลูกหนึ่งซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังจิตวิญญาณได้อย่างมาก มีประโยชน์ต่อการผนึกแก่นแท้อย่างที่สุด ข้าอยากใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับสหายหลิ่วสักครั้ง” สตรีชุดฟ้ายิ้มแย้มประหนึ่งกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าเอ่ยถึง

“ผลแก่นแท้วิญญาณ”

หลิ่วหมิงได้ยิน ดวงตาพลันทอประกาย

ผลไม้นี้เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อน

กล่าวกันว่าต้นแก่นแท้วิญญาณที่ให้กำเนิดผลไม้ชนิดนี้ต้องอาศัยดูดซับวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจึงจะเติบโตขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่ในยุคโบราณ ผลแก่นแท้วิญญาณก็ยังถูกแผ่นดินหลายแห่งจัดเป็นวัตถุจิตวิญญาณจำพวกโอสถต้องห้าม จนมาถึงปัจจุบันพบได้บางครั้งในตลาดมืดใต้ดินบางแห่งของแผ่นดินจงเทียนเท่านั้น แต่ทุกครั้งล้วนดึงราคาซื้อขายขึ้นสูงจนยากจะจินตนาการ

แต่ผลไม้ลูกนี้กินเข้าไปก็จะเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ มันเพิ่มพลังจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งได้ไม่น้อย ทำให้โอกาสผนึกแก่นแท้สำเร็จเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

ผลไม้นี้เป็นโชควาสนาที่ปรารถนาแต่หาไม่ได้ประการหนึ่งสำหรับเขาอย่างแท้จริง

“เจ้าต้องการสิ่งใด” ชั่วครู่หลังจากนั้นหลิ่วหมิงถึงเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า

“ข้าอยากขอให้สหายหลิ่วช่วยข้า สังหารจี๋อิ่งเสีย!”

สตรีชุดฟ้าสีหน้ายินดีแต่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“สังหารจี๋อิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วตกตะลึงอยู่ในใจ สองตาหรี่มองสตรีชุดฟ้าอย่างโจ่งแจ้ง

นางกลับสบสายตาหลิ่วหมิงตรงๆ ด้วยสีหน้านิ่งสงบ ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย

“คำพูดนี้ของแม่นางทำให้ข้าตกใจจริงๆ เจ้ากับจี๋อิ่งอย่างไรก็มาจากแผ่นดินหมานฮวงเหมือนกัน หรือว่าระหว่างพวกเจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงอันใดกันงั้นหรือ?” ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงจึงผ่อนสายตาลงแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ

“สหายป็นคนจากแผ่นดินจงเทียน หาได้เข้าใจสถานการณ์ของแผ่นดินหมานฮวงไม่ เอาเถิดในเมื่อข้าขอความช่วยเหลือจากท่าน ย่อมต้องเล่าความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวให้กระจ่าง” สตรีชุดฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มเล่า

“เผ่าปีศาจบนแผ่นดินหมานฮวงส่วนใหญ่แบ่งได้เป็นสองพวกใหญ่ จำพวกหนึ่งคือปีศาจอสูรชนิดต่างๆ ที่ฝึกฝนพลังตัวอย่างเช่นเผ่าพยัคฆ์เงิน เผ่าหมาป่าเงาเหล่านี้ อีกจำพวกหนึ่งคือวิญญาณของหมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์ที่ก่อเกิดสติปัญญาแล้วฝึกฝนจนกลายเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจ”

ฟังถึงตรงนี้สีหน้าของหลิ่วหมิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก วิธีแบ่งประเภทผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่หลานซือพูดถึงก็ใช้กันบนแผ่นดินจงเทียนเช่นกัน แต่บนแผ่นดินจงเทียนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เกิดจากหมู่มวลพฤกษาน้อยยิ่งนัก เมื่อเอ่ยถึงเผ่าปีศาจ สิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึงล้วนเป็นผู้ฝึกฝนที่มาจากปีศาจอสูร

“เผ่าปีศาจที่ถือกำเนิดมาจากปีศาจอสูรซึ่งฝึกฝนพลังจะถนัดวิชากระบวนท่าเป็นพิเศษและมีนิสัยรักการต่อสู้ มีนิสัยชอบรุกรานอย่างมาก ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจพฤกษาที่ถือกำเนิดจากพืชพรรณนานาชนิดที่ฝึกฝนพลังโดยทั่วไปจะไม่ชอบการต่อสู้ วิชาที่ฝึกปรือส่วนใหญ่ก็เอนเอียงไปทางการป้องกันและเสริมพลังเป็นหลัก” สตรีชุดฟ้าเอ่ยต่อช้าๆ จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“นิสัยที่แตกต่างกันของเผ่าปีศาจสองประเภททำให้ทั้งสองฝ่ายมักขัดแย้งกันบ่อยครั้ง นิสัยของเผ่าปีศาจพฤกษาทำให้ตกเป็นรองในการต่อสู้ จึงมักจะถูกเผ่าปีศาจฝ่ายปีศาจอสูรจับเป็นทาสรับใช้อยู่เสมอ แน่นอนนี่เป็นเพียงสภาพโดยรวมเท่านั้น ในหมู่เผ่าปีศาจพฤกษาก็มีพวกที่ดุร้ายอย่างที่สุดกลับเป็นฝ่ายปกครองเผ่าปีศาจที่มาจากปีศาจอสูรก็มี สรุปก็คือบนแผ่นดินหมานฮวง เผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งจะมีเผ่าปีศาจอื่นเป็นบริวารใต้ปกครองไม่น้อย” ดวงเนตรงามของหญิงสาวชุดฟ้าทอประกายเจิดจ้า

“สหายน่าจะเป็นเผ่าปีศาจจำพวกพฤกษาสินะ?” หลิ่วหมิงถามแทรกขึ้น

“ไม่ผิด ข้ามีนามว่าหลานซือ เป็นผู้ฝึกฝนจากเผ่าหลานมู่ เผ่าหลานมู่เป็นเผ่าบริวารของเผ่าหมาป่าเงาที่จี๋อิ่งอยู่ เผ่าของข้าถูกเผ่าหมาป่าเงาจับเป็นทาสรับใช้มานานหลายหมื่นปี มีคนในเผ่าไม่รู้เท่าไรตายอย่างน่าเวทนาจากการบีบบังคับของเผ่าหมาป่าเงา แต่น่าเสียดายคนในเผ่านิสัยขลาดกลัว อีกทั้งไร้กำลังต่อต้าน…” เมื่อหลานซือเอ่ยถึงเผ่าหมาป่าเงาขึ้นมา ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นก็เผยให้เห็นความเคียดแค้นที่สลักลึกในกระดูก

หลิ่วหมิงมองหลานซือนิ่งแต่ไม่เอ่ยคำใด

หลานซือรู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่าตนเสียกิริยา นางสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะฟื้นกลับเป็นปกติอย่างเร็วไวยิ่งนัก

“แต่หลายพันปีนี้เผ่าหลานมู่ของข้าค่อยๆ เจริญขึ้น ในเผ่าเกิดยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ขึ้นมาไม่น้อย นี่ทำให้เผ่าหมาป่าเงารู้สึกถึงภัยคุกคาม และเพื่อรักษาอำนาจปกครองของเผ่าตน เผ่าหมาป่าเงาจึงอ้างการเดินทางมายังเศษซากโลกบนครั้งนี้ใช้เล่ห์กลยึด ‘ตราประทับหลานมู่’ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเราไป ทั้งยังอ้างว่าต้องการคนไว้ใช้ตราประทับหลานมู่จึงเอาคนในเผ่าที่มีพรสวรรค์หลายคนติดตามมาด้วย”

“ตราประทับหลานมู่สำคัญกับเผ่าของเราอย่างที่สุด พวกเราเหล่านี้ไม่อาจปล่อยมันไปโดยไม่สนใจได้ จึงได้แต่ร่วมเดินทางมายังเศษซากโลกบนแห่งนี้ ทว่าระหว่างการปะทะหลายครั้งก่อนคนอื่นในเผ่าส่วนใหญ่ถูกเขาสละเป็นตัวเบี้ยไปแล้ว มีเพียงข้าที่ระวังระไวอยู่เสมอ อีกทั้งวิชาที่ฝึกฝนมามีประโยชน์ต่อจี๋อิ่งจึงโชคดีมีชีวิตรอด แต่ข้าก็รู้ชัดยิ่งว่าจี๋อิ่งไม่มีทางปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดกลับไป แทนที่จะรอความตาย ข้าขอฉวยโอกาสสู้สักครั้งดีกว่า” ในดวงตาหลานซือฉายแววเย้ยหยันตนเองอยู่เจือจาง จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว

“เจ้าคิดว่าข้ามีความสามารถพอช่วยเจ้าสังหารจี๋อิ่งได้จริงหรือ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แม้สหายหลิ่วเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์แต่พละกำลังของกายเนื้อแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ความเร็วยิ่งแทบจะทัดเทียมกับจี๋อิ่งได้ ขอเพียงมีความเร็วไม่แพ้เขา พวกเราสองคนร่วมมือกันย่อมมั่นใจได้มากกว่าครึ่ง” หลานซือมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้ามีความหวัง

“หากเจ้าตั้งใจจะเล่นงานจี๋อิ่งผู้นั้นจริงๆ พวกเราย่อมร่วมมือกันได้ แต่สหายมีวิธีใดทำให้ผู้แซ่หลิ่วเชื่อว่าสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง มิใช่เจ้าใช้กลลวงแกล้งน่าสงสาร!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างเร็วไวหลายตลบแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างเด็ดขาด

ก็อย่างที่หลานซือกล่าว จี๋อิ่งมุ่งมั่นจะจัดการเขาให้จงได้ แม้หลานซือไม่โผล่มาเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของจี๋อิ่งเพียงลำพังอยู่แล้ว ตอนนี้จู่ๆ มีหลานซือผู้ช่วยคนนี้โผล่มากะทันหัน เขาย่อมยินดีน้อมรับอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ผลแก่นแท้วิญญาณยังเป็นของที่จำเป็นในการเพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ของเขา คุ้มค่าแก่การลองสู้สักตั้งทุกประการ

“สหายหลิ่ววางใจได้ เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ากับเจ้าต่างวางชั้นจำกัดชนิดหนึ่งบนร่างของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร?” หลานซือได้ยินก็ดีใจยิ่งแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนอดทนรอไม่ไหว

“นี่ก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงกันเช่นนี้ แต่ข้าต้องเป็นคนวางชั้นจำกัดก่อน!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตอบกลับเช่นนี้

“เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา” หลานซือเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็ไม่เกรงใจแล้ว”

หลังจากหลิ่วหมิงพยักหน้า เขาก็ยกมือขึ้นยิงแสงสีดำหลายสายออกมา ท่องมนตร์อยู่ครู่หนึ่ง แสงสีดำก็แปรเปลี่ยนกลางอากาศอยู่พักหนึ่งก่อนที่อักขระสีดำเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนจะบินออกมาจากด้านในลอยวนเวียนรอบร่างหลานซือ พวกมันกะพริบวูบหนึ่งก็จมลงไปในร่างสตรีนางนี้จนหมด

รอบร่างหลานซือทอประกายสีดำวูบหนึ่งจากนั้นก็กลับเป็นปกติ

จากต้นจนจบสตรีนางนี้ไม่มีท่าทีต่อต้านแม้แต่น้อย นางยอมรับอย่างนิ่งสงบ

หลิ่วหมิงสำรวจสตรีนางนี้ครู่หนึ่ง เมื่อตรวจสอบว่าชั้นจำกัดที่วางไว้ไม่มีปัญหาอย่างใด เขาถึงเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า

“ดียิ่ง ตาสหายหลานแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 952 กองหนุนผู้แข็งแกร่งที่คิดไม่ถึง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 952 กองหนุนผู้แข็งแกร่งที่คิดไม่ถึง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ไม่ปิดบังความจริง ข้าชำนาญวิชาซ่อนเร้นอำพราง ใช้ลมหายใจร่วมกับต้นไม้ใบหญ้าได้ ระหว่างที่สหายหลิ่วกับพรรคพวกชิงสมบัติจากในท้องอสูรยักษ์ตัวนั้น ข้าก็ซ่อนตัวเฝ้ามองอยู่ใกล้ๆ มาตลอด ข้าย่อมทราบนามของสหาย” สตรีชุดฟ้ายิ้มน้อยๆ เอ่ยขึ้น

หลิ่วหมิงฟังแล้วในใจก็ตกตะลึงอย่างแท้จริง แต่บนใบหน้าไม่เผยสีหน้าประหลาดใจออกมา

ต้องรู้ว่าก่อนหน้าที่ทุกคนจะตัดสินใจชิงสมบัติ พวกจินเทียนชื่อกับเยี่ยโจ่งล้วนใช้วิธีการต่างๆ ตรวจสอบสภาพแวดล้อมรอบด้านอสูรยักษ์ตัวนั้นแล้ว ตัวเขาเองก็ลอบใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณแล้วเช่นกันแต่ไม่พบสิ่งผิดปกติแต่อย่างใด สตรีนางนี้ซุ่มซ่อนอยู่ใกล้ๆ หลบพ้นสายตาของพวกเขาทั้งหมดได้จริงหรือ?

เขามองประเมินสตรีชุดฟ้าผู้นี้จากหัวจรดเท้า สายตาเย็นเยือกขึ้นเล็กน้อย

“พูดเช่นนี้ ที่เผ่าปีศาจเหล่านั้นลอบจู่โจมพวกเราล้วนเพราะท่านชักนำมาสินะ?”

หลิ่วหมิงแค่นเสียงหยัน บนร่างมีปราณดำหนาทึบลอยออกมาในทันใด

“นี่หาใช่ไม่ จี๋อิ่งกับคนของเผ่าพยัคฆ์เงินจ้องนิกายเทียนกงอยู่ก่อนแล้ว ข้าเพียงถูกจี๋อิ่งใช้งาน จึงซุ่มซ่อนสอดส่องอยู่ตลอดเท่านั้น นอกจากนี้ทั้งสามคนจากนิกายยอดบริสุทธิ์ของพวกท่านก็ไม่ได้ตายเพราะเหตุนี้ ระหว่างข้ากับท่านจะว่าไปแล้วก็ไม่ได้มีความแค้นอันใดให้กล่าวถึง” หญิงสาวชุดฟ้าเหมือนจะไม่รู้สึกถึงความเป็นอริของหลิ่วหมิง นางยังคงกล่าวพร้อมรอยยิ้มน้อยๆ บนใบหน้า

สตรีผู้นี้ก็กล่าวไม่ผิด!

หลิ่วหมิงฟังแล้วสายตาก็ทอประกายวูบหนึ่ง ในที่สุดสีหน้าก็ผ่อนคลายลงไปบ้าง

“พูดไปแล้ว แม้ข้าจะเป็นคนของเผ่าปีศาจ แต่ข้าก็ไม่ใช่พรรคพวกของผู้ฝึกฝนเผ่าหมาป่าเงาและเผ่าพยัคฆ์เงิน ไม่ทราบสหายหลิ่วมีเวลาฟังข้าอธิบายเพิ่มหรือไม่?” สตรีชุดฟ้าเห็นสีหน้าของหลิ่วหมิงเปลี่ยนไปสีหน้าก็ผ่อนคลายลงเช่นกัน นางเอ่ยขึ้นอย่างไม่รีบร้อนแต่ก็ไม่ชักช้า

หลิ่วหมิงฟังอย่างเงียบๆ ระหว่างที่ต่อสู้ชุลมุนก่อนหน้านี้ เขาสัมผัสได้อย่างเฉียบไวว่ากลิ่นอายของสตรีนางนี้แตกต่างกับพวกจี๋อิ่งอย่างเห็นได้ชัด

ปราณปีศาจที่พวกจี๋อิ่งแผ่ออกมาโหดเหี้ยมดุดันเหมือนพยัคฆ์หิวโหยหรือนกนักล่า แต่สตรีนางนี้ลมปราณอ่อนโยนนุ่มนวล แตกต่างจากผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เขาเคยพบก่อนหน้านี้อย่างสิ้นเชิง

แต่อาศัยเพียงจุดนี้เขายังไม่อาจเชื่อคำพูดอีกฝ่ายอย่างแท้จริงแล้วคลายความระแวงที่มีต่อสตรีนางนี้ไปได้

‘หรือเผ่าหมาป่าเงานามจี๋อิ่งผู้นั้นเห็นว่าไล่ตามข้าไม่ทันจึงส่งหลานซือคนนี้มารั้งข้าไว้เพื่อซื้อเวลา?’ หลิ่วหมิงครุ่นคิดในใจดุจสายฟ้าแลบ ทันใดนั้นเขาก็ลงมือท่องมนตร์ลอบใช้วิชาอนธการค้นวิญญาณทันที

อึดใจต่อมาสีหน้าเขากลับตกตะลึง ไม่รู้ว่าเพราะเหตุใด แต่เขาสัมผัสได้ว่ายามนี้จู่ๆ จี๋อิ่งก็เปลี่ยนทิศไล่ตามไปอีกทางหนึ่ง

“ท่านไม่จำเป็นต้องกังวลถึงจี๋อิ่ง หลายวันนี้ที่เขาไล่ตามสหายมาติดๆ ได้ตลอดก็เพราะข้าใช้วิชาลับของเผ่าข้าจับร่องรอยของสหายไว้ตลอดแล้วรายงานเขา แม้จี๋อิ่งผู้นี้จะมีความเร็วเป็นเอก แต่ตัวเขาเองใช้วิชาลับจำพวกสะกดรอยเช่นนี้ไม่เป็น เมื่อครู่ข้านำเขาไปผิดทิศ ชั่วครู่ชั่วยามเขาไม่มีทางรู้แน่” สตรีชุดฟ้าสายตาทอประกายเล็กน้อยคล้ายมองความในใจของหลิ่วหมิงออก นิ้วเรียวขาวดุจโคนต้นหอมเหน็บเส้นผมเงางามที่ร่วงลงมาข้างหูขึ้นไปเบาๆ นางเอ่ยขึ้นพร้อมกับรอยยิ้มน้อยๆ

หลิ่วหมิงได้ยินย่อมรู้สึกประหลาดใจยิ่งนัก เขามองสตรีชุดฟ้านิ่งนานอีกครั้ง จากนั้นมือข้างหนึ่งก็สะบัดค่อยๆ เก็บปราณสีดำบนร่างไป

“คิกๆ สหายเป็นคนเข้าใจอะไรง่ายจริง ดูท่าข้าจะเลือกไม่ผิด!” สตรีชุดฟ้าเห็นการกระทำของหลิ่วหมิง ดวงเนตรงามก็ทอประกายแล้วหัวเราะคิกคักเอ่ยขึ้นมา

“ท่านมาหาข้า น่าจะไม่ใช่เพื่อคุยกันเฉยๆ กระมัง มีธุระก็พูดธุระออกมาเถอะ” เสียงของหลิ่วหมิงนิ่งสงบอย่างยิ่ง

“ดี ในเมื่อสหายหลิ่วเป็นคนตรงไปตรงมา ข้าก็จะไม่พูดอ้อมค้อมแล้ว! วันนี้สหายพลังอยู่ในระดับแก่นเสมือน จะเข้าสู่ระดับแก่นแท้คงเป็นเรื่องอีกไม่นานสินะ” สตรีชุดฟ้าเอ่ยออกมาทีละคำด้วยสีหน้าจริงจัง

“คำพูดนี้ของสหายหมายความว่าอย่างไร?” หลิ่วหมิงฉุกคิดอะไรบางอย่าง แต่เอ่ยถามออกมาเหมือนปกติด้วยน้ำเสียงเย็นชา

“ในมือข้ามีผลแก่นแท้วิญญาณอยู่ลูกหนึ่งซึ่งช่วยเพิ่มความแข็งแกร่งให้พลังจิตวิญญาณได้อย่างมาก มีประโยชน์ต่อการผนึกแก่นแท้อย่างที่สุด ข้าอยากใช้สิ่งนี้แลกเปลี่ยนกับสหายหลิ่วสักครั้ง” สตรีชุดฟ้ายิ้มแย้มประหนึ่งกำลังพูดเรื่องเล็กน้อยไม่ควรค่าเอ่ยถึง

“ผลแก่นแท้วิญญาณ”

หลิ่วหมิงได้ยิน ดวงตาพลันทอประกาย

ผลไม้นี้เขาย่อมเคยได้ยินมาก่อน

กล่าวกันว่าต้นแก่นแท้วิญญาณที่ให้กำเนิดผลไม้ชนิดนี้ต้องอาศัยดูดซับวิญญาณของสิ่งมีชีวิตจึงจะเติบโตขึ้นมาได้ ด้วยเหตุนี้แม้แต่ในยุคโบราณ ผลแก่นแท้วิญญาณก็ยังถูกแผ่นดินหลายแห่งจัดเป็นวัตถุจิตวิญญาณจำพวกโอสถต้องห้าม จนมาถึงปัจจุบันพบได้บางครั้งในตลาดมืดใต้ดินบางแห่งของแผ่นดินจงเทียนเท่านั้น แต่ทุกครั้งล้วนดึงราคาซื้อขายขึ้นสูงจนยากจะจินตนาการ

แต่ผลไม้ลูกนี้กินเข้าไปก็จะเป็นเช่นที่อีกฝ่ายพูดจริงๆ มันเพิ่มพลังจิตวิญญาณของคนผู้หนึ่งได้ไม่น้อย ทำให้โอกาสผนึกแก่นแท้สำเร็จเพิ่มขึ้นอีกหลายส่วน

ผลไม้นี้เป็นโชควาสนาที่ปรารถนาแต่หาไม่ได้ประการหนึ่งสำหรับเขาอย่างแท้จริง

“เจ้าต้องการสิ่งใด” ชั่วครู่หลังจากนั้นหลิ่วหมิงถึงเอ่ยปากอย่างเชื่องช้า

“ข้าอยากขอให้สหายหลิ่วช่วยข้า สังหารจี๋อิ่งเสีย!”

สตรีชุดฟ้าสีหน้ายินดีแต่เอ่ยออกมาด้วยน้ำเสียงเย็นยะเยือก

“สังหารจี๋อิ่ง!” หลิ่วหมิงฟังแล้วตกตะลึงอยู่ในใจ สองตาหรี่มองสตรีชุดฟ้าอย่างโจ่งแจ้ง

นางกลับสบสายตาหลิ่วหมิงตรงๆ ด้วยสีหน้านิ่งสงบ ไม่หลบสายตาแม้แต่น้อย

“คำพูดนี้ของแม่นางทำให้ข้าตกใจจริงๆ เจ้ากับจี๋อิ่งอย่างไรก็มาจากแผ่นดินหมานฮวงเหมือนกัน หรือว่าระหว่างพวกเจ้ามีความแค้นใหญ่หลวงอันใดกันงั้นหรือ?” ครู่หนึ่งหลังจากนั้นหลิ่วหมิงจึงผ่อนสายตาลงแล้วเอ่ยถามขึ้นอย่างช้าๆ

“สหายป็นคนจากแผ่นดินจงเทียน หาได้เข้าใจสถานการณ์ของแผ่นดินหมานฮวงไม่ เอาเถิดในเมื่อข้าขอความช่วยเหลือจากท่าน ย่อมต้องเล่าความเป็นมาเป็นไปของเรื่องราวให้กระจ่าง” สตรีชุดฟ้าลังเลอยู่ครู่หนึ่งก็เริ่มเล่า

“เผ่าปีศาจบนแผ่นดินหมานฮวงส่วนใหญ่แบ่งได้เป็นสองพวกใหญ่ จำพวกหนึ่งคือปีศาจอสูรชนิดต่างๆ ที่ฝึกฝนพลังตัวอย่างเช่นเผ่าพยัคฆ์เงิน เผ่าหมาป่าเงาเหล่านี้ อีกจำพวกหนึ่งคือวิญญาณของหมู่มวลพฤกษานานาพันธุ์ที่ก่อเกิดสติปัญญาแล้วฝึกฝนจนกลายเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจ”

ฟังถึงตรงนี้สีหน้าของหลิ่วหมิงไม่ได้เปลี่ยนแปลงไปเท่าใดนัก วิธีแบ่งประเภทผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่หลานซือพูดถึงก็ใช้กันบนแผ่นดินจงเทียนเช่นกัน แต่บนแผ่นดินจงเทียนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจที่เกิดจากหมู่มวลพฤกษาน้อยยิ่งนัก เมื่อเอ่ยถึงเผ่าปีศาจ สิ่งที่คนส่วนใหญ่นึกถึงล้วนเป็นผู้ฝึกฝนที่มาจากปีศาจอสูร

“เผ่าปีศาจที่ถือกำเนิดมาจากปีศาจอสูรซึ่งฝึกฝนพลังจะถนัดวิชากระบวนท่าเป็นพิเศษและมีนิสัยรักการต่อสู้ มีนิสัยชอบรุกรานอย่างมาก ส่วนผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจพฤกษาที่ถือกำเนิดจากพืชพรรณนานาชนิดที่ฝึกฝนพลังโดยทั่วไปจะไม่ชอบการต่อสู้ วิชาที่ฝึกปรือส่วนใหญ่ก็เอนเอียงไปทางการป้องกันและเสริมพลังเป็นหลัก” สตรีชุดฟ้าเอ่ยต่อช้าๆ จากนั้นสีหน้าก็ค่อยๆ เปลี่ยนไปเล็กน้อย

“นิสัยที่แตกต่างกันของเผ่าปีศาจสองประเภททำให้ทั้งสองฝ่ายมักขัดแย้งกันบ่อยครั้ง นิสัยของเผ่าปีศาจพฤกษาทำให้ตกเป็นรองในการต่อสู้ จึงมักจะถูกเผ่าปีศาจฝ่ายปีศาจอสูรจับเป็นทาสรับใช้อยู่เสมอ แน่นอนนี่เป็นเพียงสภาพโดยรวมเท่านั้น ในหมู่เผ่าปีศาจพฤกษาก็มีพวกที่ดุร้ายอย่างที่สุดกลับเป็นฝ่ายปกครองเผ่าปีศาจที่มาจากปีศาจอสูรก็มี สรุปก็คือบนแผ่นดินหมานฮวง เผ่าปีศาจที่แข็งแกร่งจะมีเผ่าปีศาจอื่นเป็นบริวารใต้ปกครองไม่น้อย” ดวงเนตรงามของหญิงสาวชุดฟ้าทอประกายเจิดจ้า

“สหายน่าจะเป็นเผ่าปีศาจจำพวกพฤกษาสินะ?” หลิ่วหมิงถามแทรกขึ้น

“ไม่ผิด ข้ามีนามว่าหลานซือ เป็นผู้ฝึกฝนจากเผ่าหลานมู่ เผ่าหลานมู่เป็นเผ่าบริวารของเผ่าหมาป่าเงาที่จี๋อิ่งอยู่ เผ่าของข้าถูกเผ่าหมาป่าเงาจับเป็นทาสรับใช้มานานหลายหมื่นปี มีคนในเผ่าไม่รู้เท่าไรตายอย่างน่าเวทนาจากการบีบบังคับของเผ่าหมาป่าเงา แต่น่าเสียดายคนในเผ่านิสัยขลาดกลัว อีกทั้งไร้กำลังต่อต้าน…” เมื่อหลานซือเอ่ยถึงเผ่าหมาป่าเงาขึ้นมา ดวงตาใสกระจ่างคู่นั้นก็เผยให้เห็นความเคียดแค้นที่สลักลึกในกระดูก

หลิ่วหมิงมองหลานซือนิ่งแต่ไม่เอ่ยคำใด

หลานซือรู้สึกตัวอย่างรวดเร็วว่าตนเสียกิริยา นางสูดลมหายใจลึกเฮือกหนึ่งก่อนจะฟื้นกลับเป็นปกติอย่างเร็วไวยิ่งนัก

“แต่หลายพันปีนี้เผ่าหลานมู่ของข้าค่อยๆ เจริญขึ้น ในเผ่าเกิดยอดฝีมือที่มีพรสวรรค์ขึ้นมาไม่น้อย นี่ทำให้เผ่าหมาป่าเงารู้สึกถึงภัยคุกคาม และเพื่อรักษาอำนาจปกครองของเผ่าตน เผ่าหมาป่าเงาจึงอ้างการเดินทางมายังเศษซากโลกบนครั้งนี้ใช้เล่ห์กลยึด ‘ตราประทับหลานมู่’ อาวุธศักดิ์สิทธิ์ของเผ่าเราไป ทั้งยังอ้างว่าต้องการคนไว้ใช้ตราประทับหลานมู่จึงเอาคนในเผ่าที่มีพรสวรรค์หลายคนติดตามมาด้วย”

“ตราประทับหลานมู่สำคัญกับเผ่าของเราอย่างที่สุด พวกเราเหล่านี้ไม่อาจปล่อยมันไปโดยไม่สนใจได้ จึงได้แต่ร่วมเดินทางมายังเศษซากโลกบนแห่งนี้ ทว่าระหว่างการปะทะหลายครั้งก่อนคนอื่นในเผ่าส่วนใหญ่ถูกเขาสละเป็นตัวเบี้ยไปแล้ว มีเพียงข้าที่ระวังระไวอยู่เสมอ อีกทั้งวิชาที่ฝึกฝนมามีประโยชน์ต่อจี๋อิ่งจึงโชคดีมีชีวิตรอด แต่ข้าก็รู้ชัดยิ่งว่าจี๋อิ่งไม่มีทางปล่อยให้ข้ามีชีวิตรอดกลับไป แทนที่จะรอความตาย ข้าขอฉวยโอกาสสู้สักครั้งดีกว่า” ในดวงตาหลานซือฉายแววเย้ยหยันตนเองอยู่เจือจาง จากนั้นนางก็เอ่ยอย่างเด็ดเดี่ยว

“เจ้าคิดว่าข้ามีความสามารถพอช่วยเจ้าสังหารจี๋อิ่งได้จริงหรือ” ในที่สุดหลิ่วหมิงก็เอ่ยปากขึ้นด้วยสีหน้าเรียบเฉย

“แม้สหายหลิ่วเป็นผู้ฝึกฝนเผ่ามนุษย์แต่พละกำลังของกายเนื้อแข็งแกร่งไม่ธรรมดา ความเร็วยิ่งแทบจะทัดเทียมกับจี๋อิ่งได้ ขอเพียงมีความเร็วไม่แพ้เขา พวกเราสองคนร่วมมือกันย่อมมั่นใจได้มากกว่าครึ่ง” หลานซือมองหลิ่วหมิงด้วยสีหน้ามีความหวัง

“หากเจ้าตั้งใจจะเล่นงานจี๋อิ่งผู้นั้นจริงๆ พวกเราย่อมร่วมมือกันได้ แต่สหายมีวิธีใดทำให้ผู้แซ่หลิ่วเชื่อว่าสิ่งที่พูดก่อนหน้านี้ล้วนเป็นเรื่องจริง มิใช่เจ้าใช้กลลวงแกล้งน่าสงสาร!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอย่างเร็วไวหลายตลบแล้วเอ่ยถามออกมาอย่างเด็ดขาด

ก็อย่างที่หลานซือกล่าว จี๋อิ่งมุ่งมั่นจะจัดการเขาให้จงได้ แม้หลานซือไม่โผล่มาเขาก็ต้องเผชิญหน้ากับการไล่ล่าของจี๋อิ่งเพียงลำพังอยู่แล้ว ตอนนี้จู่ๆ มีหลานซือผู้ช่วยคนนี้โผล่มากะทันหัน เขาย่อมยินดีน้อมรับอย่างยิ่ง

นอกจากนี้ผลแก่นแท้วิญญาณยังเป็นของที่จำเป็นในการเพิ่มโอกาสผนึกแก่นแท้ของเขา คุ้มค่าแก่การลองสู้สักตั้งทุกประการ

“สหายหลิ่ววางใจได้ เพื่อแสดงความจริงใจ ข้ากับเจ้าต่างวางชั้นจำกัดชนิดหนึ่งบนร่างของอีกฝ่ายเป็นอย่างไร?” หลานซือได้ยินก็ดีใจยิ่งแล้วเอ่ยขึ้นเหมือนอดทนรอไม่ไหว

“นี่ก็เป็นข้อเสนอที่ไม่เลว ถ้าเช่นนั้นก็ตกลงกันเช่นนี้ แต่ข้าต้องเป็นคนวางชั้นจำกัดก่อน!” หลิ่วหมิงครุ่นคิดอยู่ครู่เดียวก็ตอบกลับเช่นนี้

“เรื่องนี้ไม่เป็นปัญหา” หลานซือเอ่ยขึ้นอย่างไม่ลังเลแม้แต่น้อย

“ถ้าเช่นนั้นผู้แซ่หลิ่วก็ไม่เกรงใจแล้ว”

หลังจากหลิ่วหมิงพยักหน้า เขาก็ยกมือขึ้นยิงแสงสีดำหลายสายออกมา ท่องมนตร์อยู่ครู่หนึ่ง แสงสีดำก็แปรเปลี่ยนกลางอากาศอยู่พักหนึ่งก่อนที่อักขระสีดำเล็กจิ๋วนับไม่ถ้วนจะบินออกมาจากด้านในลอยวนเวียนรอบร่างหลานซือ พวกมันกะพริบวูบหนึ่งก็จมลงไปในร่างสตรีนางนี้จนหมด

รอบร่างหลานซือทอประกายสีดำวูบหนึ่งจากนั้นก็กลับเป็นปกติ

จากต้นจนจบสตรีนางนี้ไม่มีท่าทีต่อต้านแม้แต่น้อย นางยอมรับอย่างนิ่งสงบ

หลิ่วหมิงสำรวจสตรีนางนี้ครู่หนึ่ง เมื่อตรวจสอบว่าชั้นจำกัดที่วางไว้ไม่มีปัญหาอย่างใด เขาถึงเผยรอยยิ้มจางๆ แล้วเอ่ยว่า

“ดียิ่ง ตาสหายหลานแล้ว”

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+