ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 977 พบดินปราณอีกครั้ง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 977 พบดินปราณอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงใต้ดินลึกหนึ่งพันห้าร้อยจั้ง

“ถึงแล้ว นายท่าน!”

สิ้นเสียงของเซียเอ๋อร์ หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างฉับพลัน ศิลารอบด้านหายไป สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือพื้นที่ทรงกลมขนาดยักษ์ใต้ดินแห่งหนึ่ง

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือพื้นที่ทรงกลมที่เต็มไปด้วยแสงสีเหลืองจางๆ และถูกเขตแดนสีเหลืองชั้นหนึ่งล้อมไว้

พื้นที่แห่งนี้ใหญ่กว่าถ้ำบึงน้ำเมื่อครู่กว่าหนึ่งเท่า และตรงหน้าก็คือพระราชวังสีน้ำเงินขนาดหนึ่งหมู่กว่าหลังหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“ดูจากสภาพตรงหน้าคล้ายกับแดนอบอ้าวเมื่อตอนนั้นอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงมองอยู่หลายที ทันใดนั้นในใจก็นึกถึงเรื่องราวเนิ่นนานก่อนหน้านี้ขึ้นมาจนเหม่อไปพักหนึ่ง

“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ว่าในพระราชวังเต็มไปด้วยลมปราณธาตุดินเข้มข้นอย่างยิ่ง” เซียเอ๋อร์ชี้พระราชวังแล้วเอ่ยเช่นนี้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูกันเถิด” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปรอบด้าน หลังจากพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ บนร่างก็มีปราณสีดำพวยพุ่งออกมาหุ้มอยู่รอบตัวทั้งสองคนแล้วเหาะไปหยุดหน้าพระราชวัง

พระราชวังหลังนี้สร้างได้งดงามประณีตเหนือใดเปรียบ ทั้งพระราชวังก่อขึ้นมาจากหินแร่สีน้ำเงิน ซึ่งจากความรู้ของหลิ่วหมิงไม่อาจระบุได้ว่านี่คือวัสดุชนิดใด

ประตูพระราชวังที่สูงสองถึงสามจั้งปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ผลึกสีเหลืองใหญ่หลายจั้งลูกหนึ่งที่ฝังอยู่บนคานเหนือประตูใหญ่กำลังทอแสงสีเหลืองเรืองๆ

สี่มุมรอบตำหนักใหญ่มีเสาศิลาสีน้ำเงินสลักลวดลายยันต์มากมายตั้งตระหง่านอยู่มุมละต้น ค่อนข้างคล้ายกับเสาศิลาตรงทางเข้าซากโบราณสถาน แต่ไม่ได้สร้างม่านแสงขัดขวางอยู่

“ดูท่าที่นี่ถึงจะเป็นซากโบราณสถานที่แท้จริง ซ่อนอยู่ลึกเช่นนี้ หากเป็นคนทั่วไปคงสัมผัสไม่ได้แน่ คงจะหยุดอยู่ที่บึงน้ำแห่งนั้น เซียเอ๋อร์ ต้องขอบคุณเจ้าที่หาที่แห่งนี้พบ” หลังจากหลิ่วหมิงมองเสร็จก็แย้มรอยยิ้มเอ่ยขึ้น

“นายท่านชมเกินไปแล้ว! เซียเอ๋อร์เพียงมีสัมผัสที่ไวต่อลมปราณธาตุดินอยู่บ้างเท่านั้น” เซียเอ๋อร์ได้ฟัง ดวงหน้างามก็ปรากฏสีหน้าดีใจเช่นเดียวกัน

หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นพลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งก็ทะลักออกมาดันประตูใหญ่ที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งนั่นให้เปิดออก

สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาก็คือห้องโถงมหึมาแห่งหนึ่ง พื้นปูศิลายักษ์ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน ด้านบนวางโต๊ะเก้าอี้ศิลาสีน้ำเงินหน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายไว้หลายตัว แต่ไม่มีของตกแต่งพิเศษอย่างอื่น

สุดปลายห้องโถงมีทางเดินด้านซ้ายกับด้านขวาไม่ทราบมุ่งหน้าไปที่ใด

“นายท่าน ดูเหมือนนี่จะเป็นสถานที่อาศัยของใครสักคน” เซียเอ๋อร์มองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเช่นนี้

“อืม แต่คงถูกทิ้งร้างมานานแล้ว” หลิ่วหมิงหยุดสายตาตรงฝุ่นหนาบนโต๊ะศิลาตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ที่นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใด ไปดูทางเดินสองเส้นนั้นกันเถิด” เซียเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เสนอเช่นนี้

หลิ่วหมิงพยักหน้า มือตั้งท่าเคล็ดวิชา ทันใดนั้นปราณดำรอบร่างก็ขยายออกหุ้มรอบตัวทั้งสองไว้เป็นก้อนกลม จากนั้นมุ่งหน้าไปยังทางเดินฝั่งซ้ายสุดปลายห้องโถง

สุดปลายทางเดินคือห้องลับแห่งหนึ่ง เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วจึงเปิดประตูห้อง พบว่าด้านในคือห้องนอนที่มีเพียงเตียงนอนแท่นศิลาว่างเปล่าหลังหนึ่ง บนผนังแขวนเสื้อผ้าไว้หลายชุด ดูแล้วไม่มีจุดพิเศษ

“ที่นี่เหมือนจะมีมีสิ่งใด” เซียเอ๋อร์เห็นสภาพ ในดวงตาก็ฉายแววผิดหวังเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสเล็กน้อยก็ยิ้มเจื่อนเดินออกมา จากนั้นพาเซียเอ๋อร์มุ่งหน้าไปทางเดินฝั่งขวา

ผลปรากฏว่าสุดปลายทางเดินก็เป็นห้องลับห้องหนึ่งเช่นกัน

หลังจากผลักประตูเปิด ทันใดนั้นกลิ่นอายดินท่วมท้นก็โถมเข้าใส่จมูกจนทำให้ร่างกายของเขาชะงัก

ด้านในคือห้องศิลามหึมาห้องหนึ่ง มองจากด้านนอกคล้ายกับห้องนอนเมื่อครู่ แต่เมื่อเดินเข้ามาจึงเห็นว่าพื้นที่ด้านในมโหฬารจนน่าตะลึง ไม่เล็กไปกว่าพื้นที่บึงน้ำด้านนอกสักเท่าไร

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือบนพื้นห้องศิลามหึมาแห่งนี้มีภูเขาลูกน้อยสีทองอร่ามขนาดร้อยกว่าจั้งลูกแล้วลูกเล่าเรียงรายอยู่มากถึงสิบสองลูกเต็ม!

ภูเขาน้อยเหล่านี้ประกอบขึ้นมาจากดินเหนียวที่ทอแสงสีทองวิบวับชนิดหนึ่ง ดินเหนียวเหล่านี้หลิ่วหมิงรู้จักดี มันก็คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่เขาเคยพบบนแผ่นดินอวิ๋นชวนนั่นเอง

“นี่…พวกนี้…เป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด…” แม้เขาจะเคยพบสมบัติมาอย่างที่เรียกได้ว่านับไม่ถ้วน แต่ก็ยังถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง

ใบหน้าของเซียเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็เต็มไปด้วยความตะลึงเช่นกัน นางเดินไปข้างภูเขาน้อยลูกหนึ่งแล้วเขย่งปลายเท้าเอนร่างไปด้านหน้า จมูกน้อยอันงดงามสูดหายใจแรงๆ สองสามครั้ง ดูท่าทางเหมือนอยากกินสักคำ

หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาวกดความตกตะลึงในหัวใจลงไป เขายกแขนลูบภูเขาน้อยสีทองตรงหน้าเล็กน้อยก็พบว่ามันให้สัมผัสนุ่มลื่นและยืดหยุ่นเล็กน้อย

“ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่ผิดแน่” เขาพยักหน้า สีหน้าฟื้นกลับมานิ่งสงบ

ร่างกายขยับวูบเดียวเขาก็เหาะมายังบนยอดภูเขาดินปราณลูกหนึ่ง ด้านในมีกองวัตถุดิบอื่นอีกไม่น้อย

“หินผลึกดวงจิตพสุธา ดินทองคำม่วง ผลึกสมุทร…” หลิ่วหมิงแยกแยะอย่างละเอียด สีหน้าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ วัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ายิ่งกว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์ แน่นอนปริมาณเทียบกับดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่ได้

เขาค้นบนภูเขาดินปราณลูกอื่นอีกเล็กน้อยก็พบว่าบนภูเขาแต่ละลูกล้วนมีวัตถุดิบล้ำค่านานาชนิดวางอยู่เหมือนๆ กัน กระทั่งปริมาณก็เท่ากันทุกอย่าง

“พวกนี้น่าจะเป็นวัตถุดิบที่เตรียมไว้หลอมอาวุธ เมื่อรวมกับดินปราณทองคำบริสุทธิ์…ดูเช่นนี้เหมือนมีใครบางคนกองไว้ที่นี่เพื่อหลอมอาวุธเวทบางอย่าง” หลิ่วหมิงร่อนกลับลงมาบนพื้นช้าๆ แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“นายท่าน รีบเก็บของเหล่านี้เถิด ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ยากจะหาพบในโลกภายนอกทั้งสิ้นเชียวนะ!” เซียเอ๋อร์เดินวนรอบภูเขาน้อยสีทองลูกหนึ่งอยู่หลายรอบ แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

หลิ่วหมิงมองเซียเอ๋อร์หนหนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

แม้เซียเอ๋อร์จะเป็นภูตผี แต่เมื่อวิวัตฒนาการมาจนถึงตอนนี้ พลังเวทในร่างก็ค่อนไปทางธาตุดินเล็กน้อย นางย่อมชมชอบวัตถุดิบระดับสุดยอดของธาตุดินเช่นดินปราณทองคำบริสุทธิ์อย่างยิ่งตามสัญชาตญาณ

“เซียเอ๋อร์อย่าเพิ่งรีบร้อน ที่นี่ลึกลับเช่นนี้ น่าจะไม่มีผู้ใดหาเจอ อีกทั้งดินปราณมากเช่นนี้แหวนย่อส่วนก็เก็บไม่หมด” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น

แม้มิติด้านในแหวนย่อส่วนจะใหญ่โต แต่อย่างมากที่สุดก็ใส่ภูเขาดินปราณได้เพียงลูกเดียว ที่นี่มีมากตั้งสิบสองลูก

“นี่ก็ใช่!”

เซียเอ๋อร์ฟังแล้วก็นิ่งไป

“เอ๊ะ!”

ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างกายขยับก้าวเดินมายังมุมหนึ่งของห้องศิลา

โครงกระดูกของผู้ฝึกฝนที่สวมชุดยาวสีเหลืองร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งสงบอยู่ตรงนี้

รูปแบบของชุดยาวตัวนี้เรียบง่ายแต่ก็ดูโบราณแปลกตา ดูไม่เหมือนของที่ผู้ฝึกฝนจากแผ่นดินจงเทียนสวมใส่ สิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือผ่านมานานปีเช่นนี้ เสื้อผ้าชุดนี้ก็คงยังใหม่เอี่ยมเหมือนยามแรก มันเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนออกมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาเด็ดขาด

โครงกระดูกที่ถูกเสื้อผ้าตัวยาวหุ้มอยู่นับว่ารักษาไว้ได้สมบูรณ์เป็นส่วนใหญ่ โครงกระดูกแต่ละชิ้นเป็นสีขาวโพลนแวววาวเหมือนแก้วผลึกหรือหยกขาว

“ดูท่าคนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่” หลิ่วหมิงหยุดยืนอยู่ข้างโครงกระดูก แล้วยกมือขึ้นกวัก ป้ายคำสั่งสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งลอยจากข้างเอวโครงกระดูกมาตกบนมือเขาในทันใด

ด้านหนึ่งของป้ายคำสั่งสลักลวดลายประหลาดไว้จำนวนหนึ่งคล้ายกับลวดลายยันต์บนเสาศิลาสีน้ำเงินนอกพระราชวังอย่างยิ่ง

อีกด้านหนึ่งสลักอักษรประหลาดตัวใหญ่ไม่ซับซ้อนสองสามตัว ตัวอักษรเช่นนี้ หลิ่วหมิงคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนอักขระเผ่าปีศาจของแผ่นดินหมานฮวงซึ่งเขาเคยเห็นบนคัมภีร์เจินหลิงมาก่อน

“หรือคนผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจากแผ่นดินหมานฮวง?” หลิ่วหมิงคาดเดาในใจ นี่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้

สาเหตุที่เผ่าอินทรีทะลวง เผ่าหมีเถื่อน เผ่าหมาป่าเงา เผ่าพยัคฆ์เงิน เผ่าปีศาจทั้งสี่ล้วนหมายมาดอยากได้ซากโบราณสถานแห่งนี้ แปดเก้าในสิบส่วนคงจะเกี่ยวพันอันใดกับคนผู้นี้

“นายท่าน นี่เป็นป้ายคำสั่งที่ใช้ควบคุมชั้นจำกัดและค่ายกลรอบพระราชวังใช่หรือไม่?” เซียเอ๋อร์อึ้งไปชั่วครู่ก็ถามขึ้นมา

“น่าจะใช่…” หลิ่วหมิงลองแทรกจิตสัมผัสเข้าไปในป้ายหยก ทว่าด้านในป้ายหยกพลันมีแสงเจิดจ้าจุดหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วดีดจิตสัมผัสของเขาออกมาทันที

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลองอีกหลายวิธีแต่ไม่ได้ผลทั้งสิ้น ป้ายหยกสีน้ำเงินเหมือนจะต้องใช้วิธีพิเศษจึงจะควบคุมได้

เขาส่ายศีรษะแล้วเลิกคิดเกี่ยวกับป้ายคำสั่งแผ่นนี้ หลังจากนั้นจึงสะบัดมืออีกหน เสื้อผ้าสีเหลืองบนโครงกระดูกสะบัดครั้งหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งร่วงลงในมือของเขา

ชุดยาวนี้เหมือนจะเป็นสมบัติพิสดารชุดหนึ่ง ใช้นิ้วมือลูบคลำด้านบนรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนโลหะ

เมื่อไม่มีชุดปิดบังแล้ว โครงกระดูกทั้งร่างจึงเผยออกมาจนหมด บนกระดูกข้อนิ้วมือขวาสวมแหวนสีดำโบราณวงหนึ่งอยู่

“แหวนเก็บของ!”

หลิ่วหมิงเผยสีหน้ายินดี เขาโยนชุดสีเหลืองไปให้เซียเอ๋อร์แล้วก้มเก็บแหวนขึ้นมาใช้จิตสัมผัสสำรวจด้านใน ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปมา

“นายท่าน ด้านในมีสิ่งใด?” เซียเอ๋อร์กอดชุดยาวสีเหลืองในมือ เมื่อเห็นภาพนี้ก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

หลิ่วหมิงได้ฟังพลันสะบัดมือ ของกองหนึ่งลอยออกมาร่วงลงบนพื้น

ของเหล่านี้คือหินแร่วัตถุดิบหลากหลายสีแล้วก็ดินปราณทองคำบริสุทธิ์อีกจำนวนหนึ่ง ปริมาณไม่นับว่ามาก นอกจากสิ่งเหล่านี้ก็มีกล่องหยกสีขาวกล่องหนึ่งที่สะดุดตาอยู่เล็กน้อย

ในหมู่วัตถุดิบเหล่านี้มีหินผลึกดวงจิตพสุธาอยู่หลายก้อน แล้วยังมีดินทองคำม่วงด้วย น่าจะเป็นวัตถุดิบที่เหลือจากภูเขาน้อยสิบสองลูกด้านข้าง

ในใจหลิ่วหมิงคาดเดาเช่นนี้ ขณะที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก เรียกกล่องหยกสีขาวมาไว้ในมือ จิตสัมผัสแทรกเข้าไปสำรวจด้านในอย่างไม่ทันคิด คิดไม่ถึงว่าจะถูกดีดออกมา

เขาลอบพึมพำกับตนเองว่าแปลก จากนั้นมือก็ออกแรงหมายจะเปิดฝากล่องออก แต่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็หยุดการกระทำไป จากนั้นทั่วร่างจึงผุดปราณสีดำสายแล้วสายเล่าออกมาหุ้มรอบตัวไว้

เซียเอ๋อร์เห็นภาพนี้ ดวงหน้างามก็เปลี่ยนไปในทันที นางถอยหลังก้าวหนึ่ง บนร่างปรากฏแสงสีเหลืองออกมาปกป้องร่างกายเช่นกัน

หลิ่วหมิงหรี่ตาลงแล้วออกแรงที่มือ “ปั้บ” ฝาเปิดออกเองพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นเบาๆ แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใด

“ดูท่าข้าจะคิดมากเกินไป”

เขาถอนหายใจแล้วมองของในกล่อง มันคือคัมภีร์หยกโบราณที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองเล่มหนึ่ง

หลิ่วหมิงสลายปราณดำบนร่างไปทันทีแล้วยื่นสองนิ้วคีบคัมภีร์หยกขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นแนบลงบนหน้าผาก ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละนิด แรกสุดบนหน้าหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้ายินดีเล็กน้อย เมื่อเวลาผันผ่านรอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้นทุกที

เวลาผ่านไปชั่วจิบชาเขาจึงเลื่อนคัมภีร์หยกออกจากหน้าผาก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีที่ปิดไม่มิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 977 พบดินปราณอีกครั้ง

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 977 พบดินปราณอีกครั้ง at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ครู่หนึ่งหลังจากนั้นในที่สุดทั้งสองคนก็มาถึงใต้ดินลึกหนึ่งพันห้าร้อยจั้ง

“ถึงแล้ว นายท่าน!”

สิ้นเสียงของเซียเอ๋อร์ หลิ่วหมิงก็รู้สึกว่าเบื้องหน้าสว่างฉับพลัน ศิลารอบด้านหายไป สิ่งที่เข้ามาในสายตาคือพื้นที่ทรงกลมขนาดยักษ์ใต้ดินแห่งหนึ่ง

สิ่งที่อยู่ตรงหน้าคือพื้นที่ทรงกลมที่เต็มไปด้วยแสงสีเหลืองจางๆ และถูกเขตแดนสีเหลืองชั้นหนึ่งล้อมไว้

พื้นที่แห่งนี้ใหญ่กว่าถ้ำบึงน้ำเมื่อครู่กว่าหนึ่งเท่า และตรงหน้าก็คือพระราชวังสีน้ำเงินขนาดหนึ่งหมู่กว่าหลังหนึ่งที่ลอยอยู่กลางอากาศ

“ดูจากสภาพตรงหน้าคล้ายกับแดนอบอ้าวเมื่อตอนนั้นอยู่บ้าง” หลิ่วหมิงมองอยู่หลายที ทันใดนั้นในใจก็นึกถึงเรื่องราวเนิ่นนานก่อนหน้านี้ขึ้นมาจนเหม่อไปพักหนึ่ง

“นายท่าน ข้าสัมผัสได้ว่าในพระราชวังเต็มไปด้วยลมปราณธาตุดินเข้มข้นอย่างยิ่ง” เซียเอ๋อร์ชี้พระราชวังแล้วเอ่ยเช่นนี้

“ในเมื่อเป็นเช่นนี้ พวกเราก็ไปดูกันเถิด” หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสไปรอบด้าน หลังจากพบว่าไม่มีสิ่งใดผิดปกติ บนร่างก็มีปราณสีดำพวยพุ่งออกมาหุ้มอยู่รอบตัวทั้งสองคนแล้วเหาะไปหยุดหน้าพระราชวัง

พระราชวังหลังนี้สร้างได้งดงามประณีตเหนือใดเปรียบ ทั้งพระราชวังก่อขึ้นมาจากหินแร่สีน้ำเงิน ซึ่งจากความรู้ของหลิ่วหมิงไม่อาจระบุได้ว่านี่คือวัสดุชนิดใด

ประตูพระราชวังที่สูงสองถึงสามจั้งปิดอยู่ครึ่งหนึ่ง ผลึกสีเหลืองใหญ่หลายจั้งลูกหนึ่งที่ฝังอยู่บนคานเหนือประตูใหญ่กำลังทอแสงสีเหลืองเรืองๆ

สี่มุมรอบตำหนักใหญ่มีเสาศิลาสีน้ำเงินสลักลวดลายยันต์มากมายตั้งตระหง่านอยู่มุมละต้น ค่อนข้างคล้ายกับเสาศิลาตรงทางเข้าซากโบราณสถาน แต่ไม่ได้สร้างม่านแสงขัดขวางอยู่

“ดูท่าที่นี่ถึงจะเป็นซากโบราณสถานที่แท้จริง ซ่อนอยู่ลึกเช่นนี้ หากเป็นคนทั่วไปคงสัมผัสไม่ได้แน่ คงจะหยุดอยู่ที่บึงน้ำแห่งนั้น เซียเอ๋อร์ ต้องขอบคุณเจ้าที่หาที่แห่งนี้พบ” หลังจากหลิ่วหมิงมองเสร็จก็แย้มรอยยิ้มเอ่ยขึ้น

“นายท่านชมเกินไปแล้ว! เซียเอ๋อร์เพียงมีสัมผัสที่ไวต่อลมปราณธาตุดินอยู่บ้างเท่านั้น” เซียเอ๋อร์ได้ฟัง ดวงหน้างามก็ปรากฏสีหน้าดีใจเช่นเดียวกัน

หลิ่วหมิงพยักหน้าพลางก้าวไปข้างหน้าหลายก้าวแล้วสะบัดแขนเสื้อ ทันใดนั้นพลังมหาศาลล่องหนสายหนึ่งก็ทะลักออกมาดันประตูใหญ่ที่ปิดอยู่ครึ่งหนึ่งนั่นให้เปิดออก

สิ่งที่สะท้อนเข้าสู่สายตาก็คือห้องโถงมหึมาแห่งหนึ่ง พื้นปูศิลายักษ์ทรงสี่เหลี่ยมสีน้ำเงิน ด้านบนวางโต๊ะเก้าอี้ศิลาสีน้ำเงินหน้าตาเก่าแก่เรียบง่ายไว้หลายตัว แต่ไม่มีของตกแต่งพิเศษอย่างอื่น

สุดปลายห้องโถงมีทางเดินด้านซ้ายกับด้านขวาไม่ทราบมุ่งหน้าไปที่ใด

“นายท่าน ดูเหมือนนี่จะเป็นสถานที่อาศัยของใครสักคน” เซียเอ๋อร์มองไปรอบด้านแล้วเอ่ยเช่นนี้

“อืม แต่คงถูกทิ้งร้างมานานแล้ว” หลิ่วหมิงหยุดสายตาตรงฝุ่นหนาบนโต๊ะศิลาตรงหน้าแล้วเอ่ยขึ้นช้าๆ

“ที่นี่เหมือนจะไม่มีสิ่งใด ไปดูทางเดินสองเส้นนั้นกันเถิด” เซียเอ๋อร์คิดอยู่ครู่หนึ่งก็เสนอเช่นนี้

หลิ่วหมิงพยักหน้า มือตั้งท่าเคล็ดวิชา ทันใดนั้นปราณดำรอบร่างก็ขยายออกหุ้มรอบตัวทั้งสองไว้เป็นก้อนกลม จากนั้นมุ่งหน้าไปยังทางเดินฝั่งซ้ายสุดปลายห้องโถง

สุดปลายทางเดินคือห้องลับแห่งหนึ่ง เขาใคร่ครวญเล็กน้อยแล้วจึงเปิดประตูห้อง พบว่าด้านในคือห้องนอนที่มีเพียงเตียงนอนแท่นศิลาว่างเปล่าหลังหนึ่ง บนผนังแขวนเสื้อผ้าไว้หลายชุด ดูแล้วไม่มีจุดพิเศษ

“ที่นี่เหมือนจะมีมีสิ่งใด” เซียเอ๋อร์เห็นสภาพ ในดวงตาก็ฉายแววผิดหวังเล็กน้อยแล้วเอ่ยขึ้น

หลิ่วหมิงกวาดจิตสัมผัสเล็กน้อยก็ยิ้มเจื่อนเดินออกมา จากนั้นพาเซียเอ๋อร์มุ่งหน้าไปทางเดินฝั่งขวา

ผลปรากฏว่าสุดปลายทางเดินก็เป็นห้องลับห้องหนึ่งเช่นกัน

หลังจากผลักประตูเปิด ทันใดนั้นกลิ่นอายดินท่วมท้นก็โถมเข้าใส่จมูกจนทำให้ร่างกายของเขาชะงัก

ด้านในคือห้องศิลามหึมาห้องหนึ่ง มองจากด้านนอกคล้ายกับห้องนอนเมื่อครู่ แต่เมื่อเดินเข้ามาจึงเห็นว่าพื้นที่ด้านในมโหฬารจนน่าตะลึง ไม่เล็กไปกว่าพื้นที่บึงน้ำด้านนอกสักเท่าไร

สิ่งที่ทำให้หลิ่วหมิงตกตะลึงยิ่งกว่าก็คือบนพื้นห้องศิลามหึมาแห่งนี้มีภูเขาลูกน้อยสีทองอร่ามขนาดร้อยกว่าจั้งลูกแล้วลูกเล่าเรียงรายอยู่มากถึงสิบสองลูกเต็ม!

ภูเขาน้อยเหล่านี้ประกอบขึ้นมาจากดินเหนียวที่ทอแสงสีทองวิบวับชนิดหนึ่ง ดินเหนียวเหล่านี้หลิ่วหมิงรู้จักดี มันก็คือดินปราณทองคำบริสุทธิ์ที่เขาเคยพบบนแผ่นดินอวิ๋นชวนนั่นเอง

“นี่…พวกนี้…เป็นดินปราณทองคำบริสุทธิ์ทั้งหมด…” แม้เขาจะเคยพบสมบัติมาอย่างที่เรียกได้ว่านับไม่ถ้วน แต่ก็ยังถูกภาพตรงหน้าทำให้ตกตะลึงอย่างยิ่ง

ใบหน้าของเซียเอ๋อร์ที่ยืนอยู่ข้างกายเขาก็เต็มไปด้วยความตะลึงเช่นกัน นางเดินไปข้างภูเขาน้อยลูกหนึ่งแล้วเขย่งปลายเท้าเอนร่างไปด้านหน้า จมูกน้อยอันงดงามสูดหายใจแรงๆ สองสามครั้ง ดูท่าทางเหมือนอยากกินสักคำ

หลิ่วหมิงพรูลมหายใจยาวกดความตกตะลึงในหัวใจลงไป เขายกแขนลูบภูเขาน้อยสีทองตรงหน้าเล็กน้อยก็พบว่ามันให้สัมผัสนุ่มลื่นและยืดหยุ่นเล็กน้อย

“ดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่ผิดแน่” เขาพยักหน้า สีหน้าฟื้นกลับมานิ่งสงบ

ร่างกายขยับวูบเดียวเขาก็เหาะมายังบนยอดภูเขาดินปราณลูกหนึ่ง ด้านในมีกองวัตถุดิบอื่นอีกไม่น้อย

“หินผลึกดวงจิตพสุธา ดินทองคำม่วง ผลึกสมุทร…” หลิ่วหมิงแยกแยะอย่างละเอียด สีหน้าประหลาดใจมากขึ้นเรื่อยๆ วัตถุดิบเหล่านี้ล้วนเป็นวัตถุดิบที่ล้ำค่ายิ่งกว่าดินปราณทองคำบริสุทธิ์ แน่นอนปริมาณเทียบกับดินปราณทองคำบริสุทธิ์ไม่ได้

เขาค้นบนภูเขาดินปราณลูกอื่นอีกเล็กน้อยก็พบว่าบนภูเขาแต่ละลูกล้วนมีวัตถุดิบล้ำค่านานาชนิดวางอยู่เหมือนๆ กัน กระทั่งปริมาณก็เท่ากันทุกอย่าง

“พวกนี้น่าจะเป็นวัตถุดิบที่เตรียมไว้หลอมอาวุธ เมื่อรวมกับดินปราณทองคำบริสุทธิ์…ดูเช่นนี้เหมือนมีใครบางคนกองไว้ที่นี่เพื่อหลอมอาวุธเวทบางอย่าง” หลิ่วหมิงร่อนกลับลงมาบนพื้นช้าๆ แล้วเอ่ยพึมพำกับตัวเอง

“นายท่าน รีบเก็บของเหล่านี้เถิด ของเหล่านี้ล้วนเป็นสมบัติล้ำค่าที่ยากจะหาพบในโลกภายนอกทั้งสิ้นเชียวนะ!” เซียเอ๋อร์เดินวนรอบภูเขาน้อยสีทองลูกหนึ่งอยู่หลายรอบ แล้วเอ่ยออกมาด้วยสีหน้าที่เต็มไปด้วยความตื่นเต้นยินดี

หลิ่วหมิงมองเซียเอ๋อร์หนหนึ่งแล้วยกมุมปากขึ้นเล็กน้อย

แม้เซียเอ๋อร์จะเป็นภูตผี แต่เมื่อวิวัตฒนาการมาจนถึงตอนนี้ พลังเวทในร่างก็ค่อนไปทางธาตุดินเล็กน้อย นางย่อมชมชอบวัตถุดิบระดับสุดยอดของธาตุดินเช่นดินปราณทองคำบริสุทธิ์อย่างยิ่งตามสัญชาตญาณ

“เซียเอ๋อร์อย่าเพิ่งรีบร้อน ที่นี่ลึกลับเช่นนี้ น่าจะไม่มีผู้ใดหาเจอ อีกทั้งดินปราณมากเช่นนี้แหวนย่อส่วนก็เก็บไม่หมด” หลิ่วหมิงหัวเราะฮ่าๆ เอ่ยขึ้น

แม้มิติด้านในแหวนย่อส่วนจะใหญ่โต แต่อย่างมากที่สุดก็ใส่ภูเขาดินปราณได้เพียงลูกเดียว ที่นี่มีมากตั้งสิบสองลูก

“นี่ก็ใช่!”

เซียเอ๋อร์ฟังแล้วก็นิ่งไป

“เอ๊ะ!”

ทันใดนั้นหลิ่วหมิงก็สีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย ร่างกายขยับก้าวเดินมายังมุมหนึ่งของห้องศิลา

โครงกระดูกของผู้ฝึกฝนที่สวมชุดยาวสีเหลืองร่างหนึ่งนั่งขัดสมาธินิ่งสงบอยู่ตรงนี้

รูปแบบของชุดยาวตัวนี้เรียบง่ายแต่ก็ดูโบราณแปลกตา ดูไม่เหมือนของที่ผู้ฝึกฝนจากแผ่นดินจงเทียนสวมใส่ สิ่งที่ประหลาดยิ่งกว่าก็คือผ่านมานานปีเช่นนี้ เสื้อผ้าชุดนี้ก็คงยังใหม่เอี่ยมเหมือนยามแรก มันเปล่งแสงสีเหลืองอ่อนออกมา มองปราดเดียวก็รู้ว่าไม่ใช่ของธรรมดาเด็ดขาด

โครงกระดูกที่ถูกเสื้อผ้าตัวยาวหุ้มอยู่นับว่ารักษาไว้ได้สมบูรณ์เป็นส่วนใหญ่ โครงกระดูกแต่ละชิ้นเป็นสีขาวโพลนแวววาวเหมือนแก้วผลึกหรือหยกขาว

“ดูท่าคนผู้นี้น่าจะเป็นคนที่อาศัยอยู่ที่นี่” หลิ่วหมิงหยุดยืนอยู่ข้างโครงกระดูก แล้วยกมือขึ้นกวัก ป้ายคำสั่งสีน้ำเงินเข้มขนาดเท่าฝ่ามือแผ่นหนึ่งลอยจากข้างเอวโครงกระดูกมาตกบนมือเขาในทันใด

ด้านหนึ่งของป้ายคำสั่งสลักลวดลายประหลาดไว้จำนวนหนึ่งคล้ายกับลวดลายยันต์บนเสาศิลาสีน้ำเงินนอกพระราชวังอย่างยิ่ง

อีกด้านหนึ่งสลักอักษรประหลาดตัวใหญ่ไม่ซับซ้อนสองสามตัว ตัวอักษรเช่นนี้ หลิ่วหมิงคลับคล้ายคลับคลาว่าเหมือนอักขระเผ่าปีศาจของแผ่นดินหมานฮวงซึ่งเขาเคยเห็นบนคัมภีร์เจินหลิงมาก่อน

“หรือคนผู้นี้จะเป็นผู้ฝึกฝนเผ่าปีศาจจากแผ่นดินหมานฮวง?” หลิ่วหมิงคาดเดาในใจ นี่ก็ไม่ใช่จะเป็นไปไม่ได้

สาเหตุที่เผ่าอินทรีทะลวง เผ่าหมีเถื่อน เผ่าหมาป่าเงา เผ่าพยัคฆ์เงิน เผ่าปีศาจทั้งสี่ล้วนหมายมาดอยากได้ซากโบราณสถานแห่งนี้ แปดเก้าในสิบส่วนคงจะเกี่ยวพันอันใดกับคนผู้นี้

“นายท่าน นี่เป็นป้ายคำสั่งที่ใช้ควบคุมชั้นจำกัดและค่ายกลรอบพระราชวังใช่หรือไม่?” เซียเอ๋อร์อึ้งไปชั่วครู่ก็ถามขึ้นมา

“น่าจะใช่…” หลิ่วหมิงลองแทรกจิตสัมผัสเข้าไปในป้ายหยก ทว่าด้านในป้ายหยกพลันมีแสงเจิดจ้าจุดหนึ่งปรากฏขึ้นแล้วดีดจิตสัมผัสของเขาออกมาทันที

หลิ่วหมิงสีหน้าเปลี่ยนไปเล็กน้อย เขาลองอีกหลายวิธีแต่ไม่ได้ผลทั้งสิ้น ป้ายหยกสีน้ำเงินเหมือนจะต้องใช้วิธีพิเศษจึงจะควบคุมได้

เขาส่ายศีรษะแล้วเลิกคิดเกี่ยวกับป้ายคำสั่งแผ่นนี้ หลังจากนั้นจึงสะบัดมืออีกหน เสื้อผ้าสีเหลืองบนโครงกระดูกสะบัดครั้งหนึ่งก็กลายเป็นแสงสีเหลืองสายหนึ่งร่วงลงในมือของเขา

ชุดยาวนี้เหมือนจะเป็นสมบัติพิสดารชุดหนึ่ง ใช้นิ้วมือลูบคลำด้านบนรู้สึกเย็นเฉียบเหมือนโลหะ

เมื่อไม่มีชุดปิดบังแล้ว โครงกระดูกทั้งร่างจึงเผยออกมาจนหมด บนกระดูกข้อนิ้วมือขวาสวมแหวนสีดำโบราณวงหนึ่งอยู่

“แหวนเก็บของ!”

หลิ่วหมิงเผยสีหน้ายินดี เขาโยนชุดสีเหลืองไปให้เซียเอ๋อร์แล้วก้มเก็บแหวนขึ้นมาใช้จิตสัมผัสสำรวจด้านใน ทันใดนั้นสีหน้าก็เปลี่ยนไปมา

“นายท่าน ด้านในมีสิ่งใด?” เซียเอ๋อร์กอดชุดยาวสีเหลืองในมือ เมื่อเห็นภาพนี้ก็อดเอ่ยถามขึ้นมาไม่ได้

หลิ่วหมิงได้ฟังพลันสะบัดมือ ของกองหนึ่งลอยออกมาร่วงลงบนพื้น

ของเหล่านี้คือหินแร่วัตถุดิบหลากหลายสีแล้วก็ดินปราณทองคำบริสุทธิ์อีกจำนวนหนึ่ง ปริมาณไม่นับว่ามาก นอกจากสิ่งเหล่านี้ก็มีกล่องหยกสีขาวกล่องหนึ่งที่สะดุดตาอยู่เล็กน้อย

ในหมู่วัตถุดิบเหล่านี้มีหินผลึกดวงจิตพสุธาอยู่หลายก้อน แล้วยังมีดินทองคำม่วงด้วย น่าจะเป็นวัตถุดิบที่เหลือจากภูเขาน้อยสิบสองลูกด้านข้าง

ในใจหลิ่วหมิงคาดเดาเช่นนี้ ขณะที่มือข้างหนึ่งยกขึ้นกวัก เรียกกล่องหยกสีขาวมาไว้ในมือ จิตสัมผัสแทรกเข้าไปสำรวจด้านในอย่างไม่ทันคิด คิดไม่ถึงว่าจะถูกดีดออกมา

เขาลอบพึมพำกับตนเองว่าแปลก จากนั้นมือก็ออกแรงหมายจะเปิดฝากล่องออก แต่ครุ่นคิดเล็กน้อยก็หยุดการกระทำไป จากนั้นทั่วร่างจึงผุดปราณสีดำสายแล้วสายเล่าออกมาหุ้มรอบตัวไว้

เซียเอ๋อร์เห็นภาพนี้ ดวงหน้างามก็เปลี่ยนไปในทันที นางถอยหลังก้าวหนึ่ง บนร่างปรากฏแสงสีเหลืองออกมาปกป้องร่างกายเช่นกัน

หลิ่วหมิงหรี่ตาลงแล้วออกแรงที่มือ “ปั้บ” ฝาเปิดออกเองพร้อมกับเสียงที่ดังขึ้นเบาๆ แต่นอกเหนือจากนี้ก็ไม่มีสิ่งผิดปกติอื่นใด

“ดูท่าข้าจะคิดมากเกินไป”

เขาถอนหายใจแล้วมองของในกล่อง มันคือคัมภีร์หยกโบราณที่เริ่มกลายเป็นสีเหลืองเล่มหนึ่ง

หลิ่วหมิงสลายปราณดำบนร่างไปทันทีแล้วยื่นสองนิ้วคีบคัมภีร์หยกขึ้นมาอย่างแผ่วเบา จากนั้นแนบลงบนหน้าผาก ยืนนิ่งอยู่ที่เดิมไม่ขยับ

เวลาเคลื่อนผ่านไปทีละนิด แรกสุดบนหน้าหลิ่วหมิงปรากฏสีหน้ายินดีเล็กน้อย เมื่อเวลาผันผ่านรอยยิ้มบนหน้าก็ยิ่งกว้างขึ้นทุกที

เวลาผ่านไปชั่วจิบชาเขาจึงเลื่อนคัมภีร์หยกออกจากหน้าผาก ใบหน้าเต็มไปด้วยสีหน้ายินดีที่ปิดไม่มิด

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+