ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ 99 การท้าสู้ครั้งใหม่

Now you are reading ตำนานเซียนปีศาจสะท้านภพ Chapter 99 การท้าสู้ครั้งใหม่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.
ตอนที่ 99 การท้าสู้ครั้งใหม่

ไม่คาดคิดว่าเขาจะเป็นอาจารย์จิตวิญญาณที่ดำเนินการประลองใหญ่ในรอบที่สอง!

พอหลิ่วหมิงมองเห็นใบหน้าของผู้อาวุโสร่างท้วมชัดเจนก็รู้สึกตกใจเป็นอย่างมาก แต่หลังจากที่เขาตั้งสติได้แล้วสีหน้าก็กลับมาเป็นปกติ

ผู้อาวุโสร่างท้วมสะบัดแขนเสื้อ ธงเล็กๆ แต่ละเสาก็พุ่งออกมา แล้วขยายขนาดเป็นธงผ้าปักอยู่ที่ขอบของลานประลองทั้งสองด้าน ทั้งหมดมียี่สิบเสา และต่างก็ปักเรียงกันอย่างเป็นระเบียบ

มองจากเครื่องหมายบนธงแล้ว ธงสิบเสาที่อยู่ด้านหนึ่งเป็นเครื่องหมายกำกับของอันดับที่หนึ่งร้อยถึงเก้าสิบเอ็ด ส่วนธงสิบเสาที่อยู่อีกด้านหนึ่งเป็นเครื่องหมายของอันดับที่เก้าสิบถึงแปดสิบเอ็ด

ขณะนี้ ผู้อาวุโสร่างท้วมได้กล่าวออกมาอย่างราบเรียบ

“ศิษย์แกนนำทุกคนที่อยู่อันดับตามเครื่องหมายบนธง ตอนนี้ขึ้นมาบนลานประลองได้แล้ว”

เขาเพิ่งจะพูดจบก็มีเสียง “ฟู่!” “ฟู่!” ดังมาจากด้านล่าง ศิษย์ยี่สิบคนที่เตรียมตัวไว้แต่แรกแล้ว ต่างก็ทยอยเหาะขึ้นมาอยู่ตรงใต้ธงที่มีเครื่องหมายบอกตำแหน่งของตนเองทันที โดยไม่ที่ขาดแม้แต่คนเดียว

ภายใต้ดวงตาที่เปล่งประกาย หลิ่วหมิงก็มองเห็นคนที่คุ้นหน้าอย่างเซียวเฟิง และตู้ไห่ ทั้งสองคนนั้น คนหนึ่งอยู่อันดับที่เก้าสิบสาม อีกคนหนึ่งอยู่อันดับที่แปดสิบเก้า

“ดีมาก! ตามตำแหน่งการจัดอันดับ ศิษย์แกนนำสิบอันดับสุดท้ายสามารถเลือกท้าสู้ศิษย์สิบอันดับก่อนหน้าได้ตามที่ต้องการหนึ่งครั้ง ผู้ชนะไปแทนที่อันดับที่สูงกว่า ผู้แพ้ก็แทนที่อันดับที่ต่ำกว่า ข้าจะถามติดกันสามครั้งแล้วถ้าไม่มีผู้ท้าสู้ก็จะสิ้นสุดการประลองระหว่างศิษย์ในกลุ่มนี้ และการท้าสู้ในแต่ละกลุ่มทุกคนมีสิทธิ์ท้าสู้ได้คนละหนึ่งครั้งเท่านั้น ตอนนี้เริ่มท้าสู้ได้” ผู้อาวุโสร่างท้วมพยักหน้า และกล่าวออกมาในทันที

ศิษย์ที่อยู่ใต้ธงทั้งสองฝั่งต่างก็จ้องมองกันครู่หนึ่ง แล้วก็มีชายรูปร่างกำยำล่ำสันเดินมาจากใต้ธงทันที และท้าสู้ศิษย์ที่อยู่ฝั่งตรงข้ามคนหนึ่ง

ผู้อาวุโสร่างท้วมทำท่ามือด้วยมือเดียว ค่ายกลอักขระบนลานประลองก็เปล่งประกายออกมา จากนั้นม่านแสงก็ปกคลุมลานประลองทั้งหมดไว้

เพราะว่าศิษย์ทั้งสองที่อยู่บนลานประลองได้ลงนามความเป็นความตายตั้งแต่เมื่อวานแล้ว ด้วยเหตุนี้วันนี้จึงไม่ต้องทำซ้ำอีกรอบ ทั้งสองจึงเริ่มการประลองทันที คนหนึ่งดึงดาบยาวออกมา อีกคนสวมถุงมือสีดำ ทั้งสองต่างก็รีบร่ายคาถาออกมาจากระยะไกลๆ

การต่อสู้ของทั้งสองไม่ได้โดดเด่นแต่อย่างใด ดูเหมือนว่าทั้งฝ่ายต่างก็กระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์ในมือโจมตีฝ่ายตรงข้ามอยู่ไม่หยุด และก็พยายามปล่อยวิชาง่ายๆ หลายรูปแบบเพื่อช่วยในการโจมตี

ดูเหมือนว่าทั้งสองต่างก็ระวังตัวเป็นพิเศษ โดยไม่คิดที่เข้าใกล้กันเลย

แต่ถึงแม้จะเป็นเช่นนี้ก็ตาม การประลองนี้ก็กลายเป็นการประลองพลังเวทย์ไปชั่วเวลาหนึ่ง

สำหรับพวกเขาแล้ว ถึงแม้การโจมตีโดยใช้อาวุธอาญาสิทธิ์จะปล่อยพลังได้ง่าย แต่เห็นได้ชัดว่าอานุภาพของมันไม่เพียงพอที่จะทำลายการป้องกันของฝ่ายตรงข้ามได้ อานุภาพการโจมตีของวิชาที่ใช้ก็เพียงพอแล้วแต่เห็นชัดว่าความเร็วในการปล่อยวิชาช้าเป็นอย่างมาก ซึ่งทำให้โดนฝ่ายตรงข้ามขัดจังหวะหรือหลบหนีได้ง่าย

ด้วยเหตุนี้ ในระหว่างการประลอง ทั้งสองก็แค่กระตุ้นอาวุธอาญาสิทธิ์แสดงวิชาง่ายๆ และหลบหลีกอยู่ไม่หยุด จนทำให้ผู้ชมด้านล่างลานประลองเกิดง่วงขึ้นมา

แต่เมื่อชั่วเวลาหนึ่งมื้อข้าวผ่านไป ในที่สุดผู้ท้าสู้ก็โจมตีฝ่ายตรงข้ามจนหลบหลีกไม่ทัน ลูกเปลวไฟลูกหนึ่งโจมตีจนฝ่ายตรงข้ามสลบไป หลังจากผู้อาวุโสร่างท้วมประกาศชื่อผู้ชนะ ชายผู้นั้นก็เดินไปยังใต้ธงของฝ่ายตรงข้ามด้วยความดีใจ

ผู้อาวุโสร่างท้วมลงมาจากบนอากาศ ตรวจสอบผู้ได้รับบาดเจ็บเล็กน้อยแล้วให้การรักษา จากนั้นก็สั่งคนหามผู้แพ้ลงไปจากประลองก่อนแล้วประกาศดำเนินการท้าสู้ต่อไป

อาจเป็นเพราะถูกแรงกระตุ้นจากผู้ท้าสู้คนแรก ทำให้มีผู้ท้าสู้สองคนแย่งกันออกมา หนึ่งในนั้นมีเซียวเฟิงอยู่ด้วย

ทั้งสองต่างก็สบตากันครู่หนึ่ง เซียวเฟิงที่ออกมาช้ากว่าครึ่งก้าวก็ถอยกลับไปอย่างไม่เต็มใจ

ดังนั้นพอผู้ท้าสู้คนใหม่เลือกคู่ต่อสู้ได้แล้ว การต่อสู้ครั้งใหม่ก็เริ่มขึ้น

แต่หลิ่วหมิงดูอยู่ครู่เดียวก็แอบถอนใจออกมา

การต่อสู้ของทั้งสองก็เหมือนกับคู่แรก เพียงแค่ใช้อาวุธอาญาสิทธิ์กับวิชาง่ายๆ ต่อสู้กันเท่านั้น ทำไม่ให้เขาไม่คิดจะอยากดูการประลองนี้

เขาไม่ยอมเสียเวลาทนดูอีกต่อไป แต่กลับเดินออกมาจากกลุ่มคนไปหาที่สงบๆ ในมุมหนึ่งของเขาหินที่ไม่มีคน แล้วนั่งลงไปพร้อมกับหลับตากำหนดลมหายขึ้นมา

ถึงแม้เขาจะมองไม่เห็นสถานการณ์บนลานประลอง แต่หูของเขาก็ยังคงได้เสียงกู่ร้องที่ดังมาจากทางนั้น ถึงกระนั้นเขาก็ไม่แสดงอาการใดๆ ออกมา

ทางฝั่งลานประลอง เมื่อเวลาค่อยๆ ผ่านไป การประลองแต่ละคู่ก็สิ้นสุดลง สุดท้ายเซียวเฟิงก็เป็นผู้ที่ลงมือท้ายสุด และเอาชนะคู่ต่อสู้จนได้อันดับที่แปดสิบห้ามาครอง

ตู้ไห่ก็ชนะผู้ท้าชิงคนหนึ่งมาได้อย่างราบรื่น และรักษาอันดับของตนเองไว้ได้

หลังจากการประลองอีกสองครั้งได้สิ้นสุดลง ในที่สุดก็ไม่มีผู้ท้าสู้อีก ศิษย์อันดับที่หนึ่งร้อยถึงเก้าสิบเอ็ดก็ลงจากลานประลองไป เปลี่ยนเป็นศิษย์อันดับที่แปดสิบถึงเจ็ดสิบเอ็ดแทน จากนั้นการประลองรอบใหม่ก็ได้เริ่มต้นขึ้น

แต่ครั้งนี้ตู้ไห่และคนอีกเก้าคนกลายเป็นผู้ท้าสู้แทน

การประลองดำเนินไปตามนี้ โดยศิษย์สิบคนที่อันดับต่ำกว่าท้าสู้ศิษย์สิบคนที่อันดับสูงกว่า แต่หลังจากผ่านการประลองอันดุเดือดเมื่อสองวันที่ผ่านมา ศิษย์ส่วนมากต่างก็รู้ขีดความสามารถของตนเอง และไม่ใช้สิทธิ์ในการท้าสู้ เพียงแค่โผล่หน้ามาให้เห็นแล้วก็เดินลงไปจากลานประลองด้วยความพอใจ

เช่นนี้แล้ว นอกจากศิษย์บางรอบที่ประลองกันค่อนข้างดุเดือดเล็กน้อยแล้ว การประลองในแต่ละรอบก็ผ่านไปอย่างรวดเร็ว ผ่านไปครึ่งวันก็มาถึงรอบยี่สิบอันดับแรกของสือชวน ซือหม่าเทียน และคนอื่นๆ ซึ่งพวกเขาต่างก็ขึ้นไปบนลานประลองแล้ว

ขณะนี้หลิ่วหมิงที่นั่งสงบจิตอยู่ได้ลืมตาขึ้นมา และลุกขึ้นเดินมายังลานประลองอีกครั้ง

เป็นอย่างที่เขาคาดไว้จริงๆ การต่อสู้ระหว่างศิษย์สามสิบอันดับแรกกับศิษย์ยี่สิบอันดับแรกนั้นดุเดือดเป็นอย่างมาก ดูเหมือนกับว่าศิษย์ทุกคนที่อยู่สามสิบอันดับแรกต่างก็ออกมาท้าสู้กันทั้งหมด รวมถึงศิษย์ยี่สิบอันดับแรกที่มีสือชวนอยู่ในนั้นด้วย และต่างก็แสดงพลังอันน่าตกใจที่ศิษย์ก่อนหน้าเหล่านั้นไม่สามารถเทียบได้

ในขณะที่ศิษย์เหล่านี้ทำการต่อสู้ มีทั้งคนที่ใช้วิชาศิลาร่วงที่ฝึกจนเกือบจะถึงขั้นสมบูรณ์แบบ ซึ่งหินขนาดเท่าหัวคนแต่ละก้อนร่วงตกลงมาราวกับเม็ดฝน และยังมีคนเรียกปีศาจระดับพลทหารออกมาสองตน ประสานกันโจมตีจนคู่ต่อสู้ถดถอยไป ยิ่งไปกว่านั้นยังมีคนใช้ร่างฝึกแสดงพลังอันแข็งแกร่งออกมา ซึ่งปล่อยออกไปแค่หมัดเดียวก็โจมตีอาวุธอาญาสิทธิ์ที่ใช้ป้องกันตัวของคู่ต่อสู้จนพังทลาย

เมื่อสือชวนถูกท้าสู้จากศิษย์ผู้แข็งแกร่งคนหนึ่ง เขาจำเป็นต้องตวัดโซ่เงินออกมาเป็นครั้งแรก และเปลี่ยนมันเป็นบ่วงไปรัดพันฝ่ายตรงข้ามไว้หลายรอบ และตรึงจนแน่น ถึงจะเอาชนะฝ่ายตรงข้ามได้

ซือหม่าเทียนเองก็เพิ่งหยิบดาบสั้นสีดำราวกับหมึกเล่มหนึ่งที่มีไอเย็นแปลกประหลาดออกมา ภายใต้การกวัดแกว่งของเขาไอสีดำแผ่ความเย็นแปลกประหลาดม้วนตัวออกมา ครู่เดียวก็ทำให้คู่ต่อสู้กลายเป็นน้ำแข็งสลักสีดำ จนคนจำนวนมากต่างก็ร้องอุทานออกมาด้วยความตกใจ

แต่นอกจากทั้งสองคนแล้ว ชายฉกรรจ์หัวล้านอันดับที่สิบเก้าที่ชื่อ ‘กู่เจวี๋ย’ ผู้นั้น ก็ทำให้หลิ่วหมิงรู้สึกสนใจขึ้นมา

คนผู้นี้นอกจากจะมีโซ่ตรวนวิญญาณที่มีขนาดใหญ่กว่าปกติแล้ว บนตัวเขายังมีกลิ่นไอแปลกๆ บางอย่างที่เขาค่อนข้างคุ้นเคย

และชายฉกรรจ์หัวล้านผู้นั้นอาศัยแค่โซ่ตรวนวิญญาณในมือก็สามารถเอาชนะผู้ท้าชิงได้อย่างง่ายดาย เห็นได้ชัดว่าพลังของเขาแข็งแกร่งจนยากที่คาดเดาได้

แต่ที่ทำให้เขาสนใจมากกว่าเดิมก็คือ พออาจารย์อาหร่วนผู้นั้นเห็นชายฉกรรจ์หัวล้านขึ้นมาบนเวที เขาก็ดูเหมือนจะสนใจเป็นพิเศษ และระหว่างที่ชายฉกรรจ์หัวล้านทำการต่อสู้ เขาก็ไม่ยอมละสายตาไปไหนเลย ราวกับว่าสนใจในทุกการเคลื่อนไหวของชายฉกรรจ์หัวล้าน

ภายใต้ความฉงนสนเท่ห์ หลิ่วหมิงก็เกิดข้อกังขาขึ้นมาในใจ

ถึงแม้การต่อสู้เหล่านี้จะดุเดือดสักแค่ไหน และก็มีคนส่วนหนึ่งถูกชิงตำแหน่งไปได้ แต่ตำแหน่งของสือชวนกับชายฉกรรจ์หัวล้านกลับรักษาไว้ได้

หลังจากที่การท้าสู้ครั้งสุดท้ายของศิษย์สองกลุ่มนี้สิ้นสุดลง ผู้อาวุโสร่างท้วมก็ยังไม่ได้เรียกกลุ่มของหลิ่วหมิงขึ้นไปบนลานประลอง แต่กลับประกาศให้หยุดพักหนึ่งชั่วยาม แล้วค่อยมาเริ่มการท้าสู้กับศิษย์สิบอันดับแรก

สือชวน ซือหม่าเทียน และคนอื่นๆ ต่างก็อาศัยจังหวะนี้ทานโอสถแล้วนั่งลงพร้อมกับกำหนดลมหายใจขึ้นมา

และศิษย์นิกายปีศาจคนอื่นๆ ก็เริ่มพูดคุยเกี่ยวกับการประลองในรอบต่อไปด้วยความตื่นเต้น และยังคาดเดาเกี่ยวกับคนที่ไม่ถูกท้าสู้ และคนที่อาจถูกแย่งชิงตำแหน่งไปได้

หลิ่วหมิงได้ยินคนพูดถึงเขาไม่มากนัก แต่ดูเหมือนส่วนมากจะคิดว่าเขาทำออกมาได้ไม่ดี เขาจึงหัวเราะขมขื่นอยู่ในใจอย่างอดไม่ได้

เมื่อเวลาหนึ่งชั่วยามผ่านไป พลังเวทย์ของสือชวน และคนอื่นที่เสียไปก็ฟื้นฟูมาพอประมาณแล้ว

ผู้อาวุโสร่างท้วมปักธงของศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกไว้ข้างลานประลองแล้วก็ประกาศให้เหลยเจิ้น และคนอื่นๆ ขึ้นลานประลองได้

หลิ่วหมิง และคนอื่นๆ เห็นเช่นนี้ก็ขึ้นลานประลองไปอย่างไม่ลังเล

สายตาของผู้อาวุโสร่างท้วมที่เดิมยิ้มกริ่มอยู่ พอเห็นหลิ่วหมิงที่เดินมายังธงเสาที่เก้าก็พลันอึ้งไปเล็กน้อย แต่หลังจากนั้นก็กลับคืนมาเป็นปกติอย่างรวดเร็ว

เกาชงเหาะขึ้นมาจากอีกด้านหนึ่งของลานประลอง และประจวบเหมาะเจอกับหลิ่วหมิงพอดี เขาจ้องมองหลิ่วหมิงอย่างเยือกเย็น แล้วก็เดินไปยืนใต้ธงของตัวเองโดยไม่กล่าวอะไรออกมา

เหลยเจิ้นที่เหาะมาจากอีกด้าน เมื่อมองเห็นหลิ่วหมิงก็หัวเราะแล้วแสดงสีหน้าฮึกเหิมออกมา

“การท้าชิงศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกเริ่มต้น ณ บัดนี้ ผู้ชนะทั้งสิบคนจะกลายเป็นศิษย์แกนนำสิบอันดับแรกที่แท้จริง และจะได้เข้าร่วมท้าสู้เพื่อจัดอันดับศิษย์แกนนำในภายหลัง ตอนนี้ข้าขอประกาศให้ทุกคนเลือกท้าสู้ได้อย่างอิสระ” ผู้อาวุโสร่างท้วมกล่าวอย่างรวดเร็ว แล้วก็ค่อยๆ เหาะออกไปจากลานประลอง

ถึงแม้ผู้คนที่อยู่บนลานประลองต่างก็สบตากันอยู่ตลอด แต่สือชวน และคนอื่นๆ ที่อยู่ด้านหน้าของหลิ่วหมิงต่างก็ไม่มีใครกล้าก้าวออกมา แต่ในนั้นก็มีสายตาของคนห้าหกคนต่างก็มองมาที่หลิ่วหมิงติดๆ กันไม่หยุด

สีหน้าของหลิ่วหมิงไม่ได้เปลี่ยนไปแม้แต่น้อย แต่กลับแอบถอนหายใจอยู่ในใจ

ประจักษ์ชัดว่าคนกว่าครึ่งหนึ่งเลือกเขาเป็นเป้าหมายในการท้าสู้

นี่ก็เป็นเรื่องธรรมดา เพราะดูจากภายนอกของเขาเมื่อเทียบกับคนอื่นๆ แล้ว เขาเป็นที่ผู้ที่ดูเปราะบางที่สุด ที่พวกเขายังไม่ได้เลือกท้าสู้ทันที เป็นเพราะว่ายังกังวลว่าเขาจะมีท่าไม้ตายอื่นๆ ซ่อนอยู่หรือไม่

และในขณะที่หลิ่วหมิงกำลังคิดเช่นนี้อยู่นั้น ในที่สุดศิษย์ที่ยืนอยู่ติดกับสือชวนก็ลังเลอยู่ชั่วครู่ แล้วพลันก้าวมาข้างหน้าพร้อมกับกล่าวด้วยเสียงอันดัง

“ศิษย์หูเฟยขอท้าสู้กับศิษย์น้องไป๋ที่อยู่อับดับที่เก้า ขออาจารย์อาหร่วนได้โปรดอนุญาต!”

คนผู้นี้ผอมสูงราวกับต้นไม้ไผ่ ชุดคลุมผ้าดิ้นที่สวมอยู่บนตัวมีแสงสีเขียวจางๆ เปล่งประกายอยู่ไม่หยุด ขณะเดียวกันด้านหลังก็สะพายดาบประหลาดที่มีรูปร่างแคบยาว และเป็นรูปพระจันทร์เสี้ยว พอเขาเดินออกมาก็ทำให้คนรู้สึกมืดมนราวกับเผชิญหน้ากับอสรพิษ

หลิ่วหมิงได้ยินก็รีบหรี่ตาสังเกตดูฝ่ายตรงข้ามอยู่ครู่หนึ่ง

ผู้อาวุโสร่างท้วมได้ยินเช่นนี้ ก็เหลือบมองไปที่หลิ่วหมิงแล้วพยักหน้าอนุญาต

หลิ่วหมิงเห็นเช่นนี้ก็เดินออกมาด้วยใบหน้าที่ไม่แสดงความรู้สึกใดๆ

ขณะนี้ชายร่างท้วมทำท่ามือด้วยมือเดียว กระตุ้นม่านแสงออกมาปกคลุมลานประลองไว้ และประกาศให้เริ่มการต่อสู้ได้

……………………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด