ตำนานเทพกู้จักรวาล 473 ชีวิตในกระจก

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 473 ชีวิตในกระจก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทันใดนั้น ก้อนหินก็ปลิวไปทั่วทิศทาง ผานกงสั่วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งโกรธทั้งอาย และโยนกระถางยักษ์ขึ้นไปเหนือหัว

มันลอยอยู่กลางอากาศด้วยปากที่คว่ำครอบลงมา และในพริบตานั้น ทราย หิน เสาหัก กำแพงพัง และผนังปริแตก ก็ล้วนแต่ถูกดูดเข้าไปในนั้น

กระถางใหญ่ราวกับถูกอันแน่นด้วยไฟแท้สมาธิจนเดือดพล่าน มันอาจจะมีไม่มาก แต่ไฟแท้เหล่านี้ก็ราวกับทะเลเดือดอันน่าสะท้านขวัญ สิ่งใดที่เข้าไปในกระถางก็จะถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน

นี่แปลว่ามันมิใช่อาวุธที่ผานกงสั่วเพิ่งสร้างขึ้นมา!

กระถางใหญ่นี้จะต้องถูกหลอมสร้างขึ้นมาในชีวิตชาติก่อนหน้าของเขา มันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ก็ในเมื่อมันเป็นสมบัติสืบทอดสำนักที่หลอมสร้างขึ้นโดยตัวตันอันบรรลุเข้าใกล้เขตขั้นเทวะ แต่ทว่า เนื่องจากวรยุทธที่ยังต่ำชั้นอยู่ของเขา ผานกงสั่วจึงมิอาจปลดปล่อยพลานุภาพทั้งหมดของมันได้

อาวุธวิญญาณมีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง และพวกมันถูกจำแนกตามขั้นวรยุทธ หากว่าใครก็ตามได้ครอบครองกระบี่วิเศษที่คุณภาพล้ำเลิศ ก็ไม่ได้หมายความว่ากำลังฝีมือของคนผู้นั้นจะคูณเข้าไปหลายเท่าโดยทันที มันยังคงขึ้นอยู่กับว่าเขาจะรีดเร้นพลังออกมาจากอาวุธได้มากแค่ไหน

ยกตัวอย่างเช่น กระบี่ไร้กังวลของฉินมู่เป็นกระบี่เทพยดาที่มีพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว แต่ในขณะนี้ ฉินมู่มิอาจปลดปล่อยพลานุภาพของกระบี่เทพเล่มนี้ได้ เขาได้แต่อาศัยความคมกล้าของมันเป็นหลัก

ผานกงสั่วก็เช่นเดียวกัน ด้วยวรยุทธของเขาในปัจจุบัน เขามิอาจปลดปล่อยพลานุภาพของอาวุธวิญญาณที่เขาได้หลอมสร้างขึ้นมาในชาติก่อน แต่กระนั้น ด้วยว่ากำลังฝีมือของเขาไปถึงระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดดาว เขาก็สามารถปลดปล่อยพลังของกระถางยักษ์นี้ออกมาได้หนึ่งในสิบส่วน

ทรายปลิ่วว่อนในซากโบราณ ขณะที่กำแพง เสา และชิ้นส่วนแตกหักของโถงวังก็ถูกฉีกทำลายจากแรงดูด และลอยเข้าไปใส่ปากกระถาง

ทั้งซากโบราณนี้กำลังแหลกสลายอย่างรวดเร็ว และลอยลิ่วขึ้นไปกลางอากาศ

“ไอ้เด็กแซ่ฉิน ทีนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วสินะว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน กำลังฝีมือมันไม่ได้อยู่ที่วรยุทธอย่างเดียว!” ผานกงสั่วตีลังกาและเหยียบอยู่บนกระถางใหญ่ด้วยรอยยิ้มหยัน “ต่อให้พลังวัตรของเจ้าเข้มข้นกว่าข้า แล้วอย่างไร สมบัติของข้าดีกว่าเจ้า ดังนั้นข้าใช้มันทุบเจ้าทีเดียว เจ้าก็จะตายเหมือนแมลงวัน!”

แต่เมื่อเขาก้มมองลงไป เขาก็ตกตะลึง เขาเห็นฉินมู่ยืนอยู่ใต้กระถางนี้อย่างไม่ไหวติง ไม่ว่าแรงดูดจะร้ายกาจแค่ไหน พยายามดึงเขาขึ้นไปมากแค่ไหน ร่างกายเขาก็ไม่กระดิกเลยสักนิ้วสักหุน

“มันเป็นไปได้อย่างไร”

ผานกงสั่วเบิกตากว้างจ้องดูจนกระทั่งเขาตระหนักว่าฉินมู่กำลังถือลูกกลมเหล็กอันขนาดใหญ่เท่าผลส้ม ลูกกลมนั้นพลันเคลื่อนที่และไหลไปราวกับน้ำหรือไม่ก็เม็ดทราย

“ไจกระบี่!”

ผานกงสั่วเข้าใจทันทีว่าทำไมกระถางใหญ่นี้จึงไม่สามารถดูดฉินมู่เข้าไปได้ น้ำหนักไจกระบี่ของเขานั้นหนักหน่วงอย่างมหัศจรรย์ ถ่วงน้ำหนักเขาเอาไว้จนกระทั่งแม้แต่กระถางยักษ์ที่เขาหลอมสร้างในชาติก่อนก็ยังไม่สามารถยกขึ้นมาได้!

“ไจกระบี่เขาไม่ใช่ลูกใหญ่สองคืบหรอกหรือ หากว่าข้าจับเจ้าเข้าไปไม่ได้ ข้าก็แค่ต้องฆ่าเจ้าเท่านั้น!”

ผานกงสั่วพลันพุ่งตัวดิ่งลงมา เมื่อเขาฟาดฝ่ามือเข้ากับกระถางยักษ์ เสียงเคร้งก็ดังอึงคะนึงและทะเลเพลิงก็พวยพุ่ง ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ทุกอย่างก็หลอมละลาย หินและทรายกลายเป็นลาวาอันเดือดปุดๆ ตลอดทั่วทั้งซากโบราณ

ฉินมู่จับไจกระบี่ กระบี่บินละเอียดยิบจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินออกไป และด้วยกระบี่ไร้กังวลเป็นมารดา พวกมันก็หลอมเข้าด้วยกัน

มือทั้งสองของเขาจับกระบี่ ฉินมู่ผ่าฟันแยกทะเลเพลิงอันโจนทะยานเข้ามาหาเขา!

ไม่ว่ากระบี่เขาจะผ่านไปที่ใด เพลิงไฟก็จะมอดดับโดยพลัน ทั้งสองฟากทะเลทรายหลอมละลายจากความร้อน แต่สถานที่อันพลังกระบี่พุ่งผ่าน ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดทรายสีแดง

หางตาของฉินมู่กระตุก เพลิงแท้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และพลานุภาพของมันก็ร้ายกาจอย่างสุดๆ เขาไม่รู้ว่านี่มันคือไฟผีสางอะไร

ผานกงสั่วตะโกนกึกก้อง และการเปลี่ยนแปลงอันผิดธรรมดาก็ปรากฏแก่ร่างเนื้อของเขา ปีกงอกเงยออกมาจากสะบักหลัง และขาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บนก เพลิงไฟไหลบ่าออกมาปกป้องเขาจากกระถางใหญ่ข้างบนหัว

ปีกของเขาเป็นสีทอง และขนนกก็ส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อพวกมันเสียดสีกันตอนที่เขาสยายปีก ขนนกทองคำยิงไปยังฉินมู่ด้วยการสั่นสะเทือนปีก ขนนกคมกล้าราวกระบี่เหล่านั้นโหมพายุและสายฟ้าไปเมื่อมันแหวกเฉือนตัดอากาศ

สองมือของฉินมู่ไขว้ขวางกัน และกระบี่ไร้กังวลก็พลันแยกตัวเป็นชิ้นๆ แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินแปดพันเล่ม ที่เริงระบำราวกับแม่น้ำสายยาว และเสียงสดใสกังวานของโลหะก็ดังมาอย่างไร้สิ้นสุด หลังจากการปะทะกัน ผานกงสั่วร้องออกมาอย่างแตกตื่นเมื่อเขายืนเปลือยเปล่าและมีขนนกกระบี่ที่ร่วงกราวอยู่เต็มพื้น

ขนนกของเขาถูกสะบั้นไปทั้งหมดโดยฉินมู่ และมีก็แต่ปีกเปลือยไร้ขนที่กระพือไปมาข้างหลังเขา

เพลิงไฟอันร่วงลงมาปกป้องเขาจากกระถางยักษ์นั่นค่อนข้างเลื่องชื่อ มันเรียกว่าอัคคีเทวะโหมคลุม พลังป้องกันของมันน่าตื่นตระหนกและสามารถย้ายพลังโจมตีของศัตรูไปยังกระถางยักษ์ได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น พลังโจมตีของอัคคีเทวะโหมคลุมก็ยิ่งร้ายกาจ อาวุธวิญญาณขั้นต่ำใดๆ ที่เข้าใกล้ก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน

กระนั้นฉินมู่ก็สามารถทำลายอัคคีเทวะโหมคลุม ทั้งยังสะบั้นขนนกทั้งหมดของเขาได้!

หมอนี่มันสามารถทำลายอัคคีเทวะโหมคลุมของข้า เช่นนั้นเขาก็คงแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่เล็กน้อย ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!

เมื่อผานกงสั่วตระหนักขึ้นมา เขาก็ไม่ลังเลสักนิดและกระโจนทะยานขึ้นไป เขาฉวยหยิบกระถางใหญ่ ผลักมันลงไปในพื้น และดำดินหนีไปทางนั้น

แต่ไม่ทันที่เขาจะมุดหายเข้าไปในทราย ฉินมู่ก็จับขากระถางแล้วยกมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าจะไปไหนหรือ”

ผานกงสั่วแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำเพื่อหนีข้ามผืนทราย

ฉินมู่โยนกระถางใหญ่ทิ้งไป และร่างกายของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเงาอันเคลื่อนไหวเข้าไปในพื้น

สักครู่หนึ่ง ก้อนทรายก็กระจุยขึ้นมาบนอากาศ เมื่อทั้งคู่มุดทลายพื้นขึ้นมาจากจุดที่ห่างไปร้อยห้าสิบวา ผานกงสั่วก้าวอย่างไม่คิดชีวิตไปสองก้าว ปีกงอกออกมาจากหลังของเขาพร้อมกับขนนกที่ฟื้นฟูกลับมา เขาจึงกระพือปีกแล้วเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

“แข่งความเร็วกับข้าหรือ”

ฉินมู่ขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์ และเขาไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรือทักษะเทวะใดก็สามารถก้าวขึ้นไปบนเวหาได้ หนึ่งคนและหนึ่งนกไล่ล่ากันกลางอากาศ ผ่านไปพักหนึ่ง นกยักษ์ก็ถูกต่อยตีทึ้งขนจนกลายเป็นไก่โล้นๆ แล้วร่วงลงมาจากท้องฟ้า

ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะเหยียบลงบนพื้น เสียงช้างก็ดังแปร๋นมาจากปากของเขา กล้ามเนื้อบนศีรษะและใบหน้างอกเงยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่คอของเขาปริออกมาเผยหัวอีกสองหัวที่งอกขึ้น แปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเทวรูปสามเศียรอันเศียรทั้งสามเป็นคชสาร

กายเนื้อของเขาขยายใหญ่ขึ้น จนสูงเป็นสิบวา เขาเหวี่ยงหมัดด้วยพละกำลังอันไร้ประมาณ ซัดไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งไล่ตามเขามา เขาตะโกนออกไปด้วยเศียรทั้งสาม “ไอ้เด็กแซ่ฉิน ตายซะ!”

ตูม!

หมัดของพวกเขาประสานกัน และพลังของทักษะเทวะร่างเนื้อก็ปะทุพวยพุ่ง เปลวลมอันเหมือนมีดดาบซัดพุ่งไปรอบๆ พวกเขา เป่าทรายและหินปลิวกระเด็นขึ้นท้องฟ้า

มนุษย์ช้างสามหัวกระอักเลือด และร่างของเขาก็กระเด็นไปข้างหลัง

ฉินมู่ไล่ตามไป แต่ไม่ทันที่เขาจะเข้าถึงตัวผานกงสั่ว ก็เห็นผานกงสั่วตัวสั่นเทิ้มและกลับคืนสู่ร่างเดิม

ผานกงสั่วกระโดดขึ้นไปบนอากาศในตอนนั้น และดอกบัวดอกหนึ่งก็เบ่งบานข้างใต้เขา ดอกบัวใหญ่เกือบสองวา ผานกงสั่วกระโดดไปบนดอกบัวนั้น และฉินมู่พบว่าดอกบัวหุบกลีบของมันก่อนที่จะหายวับไปพร้อมกับคนข้างใน

ฉินมู่ตกตะลึง “วิชาเคลื่อนย้ายระยะไกล? แต่ดูไม่เหมือนกันเท่าไร…”

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั่นเอง ดอกบัวหนึ่งก็ผุดขึ้นมาบนทะเลทรายห่างจากที่นี่ไปกว่าสิบลี้ และคลี่กลีบออกมาอย่างเงียบเชียบ

ฉินมู่พุ่งไปทันทีด้วยปราณชีวิตของเขาที่แผ่พุ่งออกไป ด้วยการดีดคราเดียว ไจกระบี่ของเขาก็พุ่งหวือไปข้างหน้า

เมื่อนิ้วของเขาแกว่งหมุน ไจกระบี่ตรงหน้าเขาก็แตกกระจายออก แปรเปลี่ยนเป็นกระแสกระบี่อันเชี่ยวกรากที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด เข้าประชิดดอกบัวนั้นก่อนเขาหนึ่งก้าว

ท่วงท่ากระบี่เกลียว!

ความเร็วของแสงกระบี่รวดเร็วอย่างสุดขีด เร็วเสียยิ่งกว่าฉินมู่ซึ่งบึ่งมาอย่างเต็มกำลัง มันไปถึงดอกบัวนั้นในเสี้ยววินาที

ดอกบัวบานออก และผานกงสั่วกระโดดออกมาจากดอกไม้นี้ เขานำเอาผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาอย่างเร่งร้อน หลังจากที่เขาสะบัดผ้า เขาก็กระโดดเข้าไปในผ้านั้น

กระบี่บินมากมายไร้ประมาณฉีกทึ้งดอกบัวออกเป็นเสี่ยงๆ และโถมถล่มผ้าสีดำผืนนั้น แต่แม้ว่ามันก็จะแหลกเป็นชิ้นซากเหมือนกัน ผานกงสั่วก็ได้หายตัวไปอีกครั้ง

ฉินมู่ลงเหยียบกับพื้นและมองไปรอบๆ เหนือศีรษะเขาคือกระบี่บินแปดพันเล่มที่แหวกว่ายไปมาเป็นวงกลมโดยมีปลายคมของพวกมันชี้ออกไปข้างนอก ไม่ว่าผานกงสั่วจะโผล่หัวออกมาทางไหน เขาก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่สุด!

กระนั้นทะเลทรายก็สงบเงียบ หลังจากที่ผานกงสั่วมุดเข้าไปในผ้า เขาก็ดูเหมือนจะสาบสูญไปจากโลก

ในที่ไกลๆ พายุทรายโหมคลั่ง เรือตะวันและมังกรทรายจำนวนนับไม่ถ้วนซุ่มซ่อนอยู่ระหว่างฟ้าแลบและฟ้าร้องข้างในพายุนั้น ดวงอาทิตย์ดำถูกเหวี่ยงไปรอบๆ ด้วยฤทธานุภาพสะท้านพิภพ ฟาดผ่านพายุทรายเป็นระยะ คลื่นพลังงานจากมาถึงฉินมู่เป็นครั้งเป็นคราว และก่อเกลียวลมหมุนที่ซัดดูดทรายขึ้นไปบนนภากาศ ทำให้ทัศนวิสัยยากที่จะมองไปได้ไกล

ตรงหน้าพายุทรายคือร่างอันเล็กจิ๋วของราชครูสันตินิรันดร์

แต่ฉินมู่ไม่ใส่ใจการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนั้น เขาพลันกระทืบเท้าอย่างรุนแรงลงกับพื้น และทะเลทรายก็สะท้านหวั่นไหว ลมหมุนเล็กๆ จำนวนมากกวาดซัดทรายไปเพื่อก่อขึ้นมาเป็น ‘ยักษ์’ ทรายอันสูงราวๆ สี่ห้าคืบ

ฉินมู่ก็ได้เรียนรู้วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมาเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเท่ากับศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้

“ผานกงสั่วอยู่ที่ไหน” เขาถาม

ยักษ์ทรายตัวเล็กจุ๋มจิ๋มนี้ยกมือของมันชี้ไปยังจุดหนึ่ง ฉินมู่มองตามไป แต่เขามองไม่เห็นอะไร

“เนตรสวรรค์ชาด!”

วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของเขา และมองเขามองไปจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาสามารถเห็นเส้นตรงอันลางเลือนในอากาศที่เคลื่อนที่ไปกับสายลมด้วยความเร็วไม่สูงนัก

ลมและทรายรอบๆ นั้นบ้าคลั่งปั่นป่วน แต่เส้นตรงบางๆ นั้นไม่บิดไปเลยแม้แต่น้อย มันค่อนข้างน่าแปลก

ฉินมู่เพิ่มพูนความเร็วและมายังเส้นบางๆ นั้น เขาพบว่ามันไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นกระจกอันบางเฉียบจนแทบจะไม่มีความหนา มันสูงพอๆ กับตัวมนุษย์

ผานกงสั่วได้ใช้วิชาเงามายาแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเพื่อแปลงร่างเป็นเงาดำหายเข้าไปในกระจก!

ฉินมู่อ้าปากค้าง เขาคว้ากระบี่บินมาเล่มหนึ่งเพื่อแทงไปยังกระจก พลางเอ่ยชม “ผู้สูงศักดิ์ มิน่าล่ะเจ้าถึงยังรอดชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้”

ผานกงสั่วเห็นเขา และสีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เขาเหวี่ยงเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากข้างในกระจก และไต่ปีนขึ้นมาด้วยเชือกนั้น

กระบี่ของฉินมู่แทงเข้าไปในกระจก ทำลายมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ทว่าผานกงสั่วได้ปีนออกมาด้วยเชือกอันเพิ่งจะหายวับไป

“นี่มันทักษะเทวะอะไรกัน”

ฉินมู่ตรวจตราดูรอบๆ ด้วยเนตรสวรรค์ชาดของเขา แต่ไม่พบร่องรอยของผานกงสั่ว ทันใดนั้น หัวใจเขาก็ไหววูบ และเขาหยิบเอาเศษกระจกชิ้นหนึ่งมาส่องมองไปรอบๆ เขาจึงเห็นผานกงสั่วอีกครั้ง

เขาเห็นผานกงสั่วได้ปีนขึ้นไปถึงกลางอากาศ ที่ปลายสุดของเชือกเป็นตะขออันใช้เกี่ยวคาไว้บนก้อนเมฆ จากที่ดูๆ แล้ว ผานกงสั่วคงคิดจะไปซ่อนตัวในก้อนเมฆ

กระนั้นที่น่าแปลกก็คือเขาและเชือกดังกล่าวดูจะล่องหนและซ่อนอยู่ในห้วงมิติประหลาดในกระจก อันซ้อนทับกับโลกจริงอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เชือกสามารถแขวนห้อยเชื่อมต่อกับโลกจริงภายนอก แต่ว่าขนาดเนตรสวรรค์ชาดก็ไม่อาจมองเห็นมัน

“ผู้สูงศักดิ์นับว่ากลายเป็นเชี่ยวชาญอย่างที่สุดในเรื่องการหนีเอาชีวิตรอด” ฉินมู่อุทาน เขาถือกระจกในมือข้างหนึ่ง ขณะที่ดีดนิ้วด้วยมืออีกข้าง กระบี่ไร้กังวลโบยบินไปพุ่งสู่ท้องฟ้า เฉือนตัดเชือกล่องหนที่ใต้เมฆขาว

ฉินมู่โยนกระจกอีกอันออกไปรอตรงที่ผานกงสั่วตกลงมา ด้วยเสียงตึง เขาก็ร่วงลงไปในนั้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นฉินมู่ที่อยู่ข้างนอกกระจก

“ผู้สูงศักดิ์ พวกเราจะสนทนากันได้หรือยัง” ฉินมู่หยิบกระจกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

……………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 473 ชีวิตในกระจก

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 473 ชีวิตในกระจก at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ทันใดนั้น ก้อนหินก็ปลิวไปทั่วทิศทาง ผานกงสั่วทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า ทั้งโกรธทั้งอาย และโยนกระถางยักษ์ขึ้นไปเหนือหัว

มันลอยอยู่กลางอากาศด้วยปากที่คว่ำครอบลงมา และในพริบตานั้น ทราย หิน เสาหัก กำแพงพัง และผนังปริแตก ก็ล้วนแต่ถูกดูดเข้าไปในนั้น

กระถางใหญ่ราวกับถูกอันแน่นด้วยไฟแท้สมาธิจนเดือดพล่าน มันอาจจะมีไม่มาก แต่ไฟแท้เหล่านี้ก็ราวกับทะเลเดือดอันน่าสะท้านขวัญ สิ่งใดที่เข้าไปในกระถางก็จะถูกแผดเผาเป็นเถ้าถ่าน

นี่แปลว่ามันมิใช่อาวุธที่ผานกงสั่วเพิ่งสร้างขึ้นมา!

กระถางใหญ่นี้จะต้องถูกหลอมสร้างขึ้นมาในชีวิตชาติก่อนหน้าของเขา มันแข็งแกร่งเป็นอย่างยิ่ง ก็ในเมื่อมันเป็นสมบัติสืบทอดสำนักที่หลอมสร้างขึ้นโดยตัวตันอันบรรลุเข้าใกล้เขตขั้นเทวะ แต่ทว่า เนื่องจากวรยุทธที่ยังต่ำชั้นอยู่ของเขา ผานกงสั่วจึงมิอาจปลดปล่อยพลานุภาพทั้งหมดของมันได้

อาวุธวิญญาณมีทั้งอ่อนแอและแข็งแกร่ง และพวกมันถูกจำแนกตามขั้นวรยุทธ หากว่าใครก็ตามได้ครอบครองกระบี่วิเศษที่คุณภาพล้ำเลิศ ก็ไม่ได้หมายความว่ากำลังฝีมือของคนผู้นั้นจะคูณเข้าไปหลายเท่าโดยทันที มันยังคงขึ้นอยู่กับว่าเขาจะรีดเร้นพลังออกมาจากอาวุธได้มากแค่ไหน

ยกตัวอย่างเช่น กระบี่ไร้กังวลของฉินมู่เป็นกระบี่เทพยดาที่มีพลานุภาพอันน่าสะพรึงกลัว แต่ในขณะนี้ ฉินมู่มิอาจปลดปล่อยพลานุภาพของกระบี่เทพเล่มนี้ได้ เขาได้แต่อาศัยความคมกล้าของมันเป็นหลัก

ผานกงสั่วก็เช่นเดียวกัน ด้วยวรยุทธของเขาในปัจจุบัน เขามิอาจปลดปล่อยพลานุภาพของอาวุธวิญญาณที่เขาได้หลอมสร้างขึ้นมาในชาติก่อน แต่กระนั้น ด้วยว่ากำลังฝีมือของเขาไปถึงระดับสูงสุดของขั้นเจ็ดดาว เขาก็สามารถปลดปล่อยพลังของกระถางยักษ์นี้ออกมาได้หนึ่งในสิบส่วน

ทรายปลิ่วว่อนในซากโบราณ ขณะที่กำแพง เสา และชิ้นส่วนแตกหักของโถงวังก็ถูกฉีกทำลายจากแรงดูด และลอยเข้าไปใส่ปากกระถาง

ทั้งซากโบราณนี้กำลังแหลกสลายอย่างรวดเร็ว และลอยลิ่วขึ้นไปกลางอากาศ

“ไอ้เด็กแซ่ฉิน ทีนี้เจ้าก็คงจะรู้แล้วสินะว่าข้าแข็งแกร่งแค่ไหน กำลังฝีมือมันไม่ได้อยู่ที่วรยุทธอย่างเดียว!” ผานกงสั่วตีลังกาและเหยียบอยู่บนกระถางใหญ่ด้วยรอยยิ้มหยัน “ต่อให้พลังวัตรของเจ้าเข้มข้นกว่าข้า แล้วอย่างไร สมบัติของข้าดีกว่าเจ้า ดังนั้นข้าใช้มันทุบเจ้าทีเดียว เจ้าก็จะตายเหมือนแมลงวัน!”

แต่เมื่อเขาก้มมองลงไป เขาก็ตกตะลึง เขาเห็นฉินมู่ยืนอยู่ใต้กระถางนี้อย่างไม่ไหวติง ไม่ว่าแรงดูดจะร้ายกาจแค่ไหน พยายามดึงเขาขึ้นไปมากแค่ไหน ร่างกายเขาก็ไม่กระดิกเลยสักนิ้วสักหุน

“มันเป็นไปได้อย่างไร”

ผานกงสั่วเบิกตากว้างจ้องดูจนกระทั่งเขาตระหนักว่าฉินมู่กำลังถือลูกกลมเหล็กอันขนาดใหญ่เท่าผลส้ม ลูกกลมนั้นพลันเคลื่อนที่และไหลไปราวกับน้ำหรือไม่ก็เม็ดทราย

“ไจกระบี่!”

ผานกงสั่วเข้าใจทันทีว่าทำไมกระถางใหญ่นี้จึงไม่สามารถดูดฉินมู่เข้าไปได้ น้ำหนักไจกระบี่ของเขานั้นหนักหน่วงอย่างมหัศจรรย์ ถ่วงน้ำหนักเขาเอาไว้จนกระทั่งแม้แต่กระถางยักษ์ที่เขาหลอมสร้างในชาติก่อนก็ยังไม่สามารถยกขึ้นมาได้!

“ไจกระบี่เขาไม่ใช่ลูกใหญ่สองคืบหรอกหรือ หากว่าข้าจับเจ้าเข้าไปไม่ได้ ข้าก็แค่ต้องฆ่าเจ้าเท่านั้น!”

ผานกงสั่วพลันพุ่งตัวดิ่งลงมา เมื่อเขาฟาดฝ่ามือเข้ากับกระถางยักษ์ เสียงเคร้งก็ดังอึงคะนึงและทะเลเพลิงก็พวยพุ่ง ไม่ว่ามันจะผ่านไปที่ใด ทุกอย่างก็หลอมละลาย หินและทรายกลายเป็นลาวาอันเดือดปุดๆ ตลอดทั่วทั้งซากโบราณ

ฉินมู่จับไจกระบี่ กระบี่บินละเอียดยิบจำนวนนับไม่ถ้วนโบยบินออกไป และด้วยกระบี่ไร้กังวลเป็นมารดา พวกมันก็หลอมเข้าด้วยกัน

มือทั้งสองของเขาจับกระบี่ ฉินมู่ผ่าฟันแยกทะเลเพลิงอันโจนทะยานเข้ามาหาเขา!

ไม่ว่ากระบี่เขาจะผ่านไปที่ใด เพลิงไฟก็จะมอดดับโดยพลัน ทั้งสองฟากทะเลทรายหลอมละลายจากความร้อน แต่สถานที่อันพลังกระบี่พุ่งผ่าน ถูกปกคลุมไปด้วยเม็ดทรายสีแดง

หางตาของฉินมู่กระตุก เพลิงแท้น่าสะพรึงกลัวเป็นอย่างยิ่ง และพลานุภาพของมันก็ร้ายกาจอย่างสุดๆ เขาไม่รู้ว่านี่มันคือไฟผีสางอะไร

ผานกงสั่วตะโกนกึกก้อง และการเปลี่ยนแปลงอันผิดธรรมดาก็ปรากฏแก่ร่างเนื้อของเขา ปีกงอกเงยออกมาจากสะบักหลัง และขาของเขาก็แปรเปลี่ยนเป็นกรงเล็บนก เพลิงไฟไหลบ่าออกมาปกป้องเขาจากกระถางใหญ่ข้างบนหัว

ปีกของเขาเป็นสีทอง และขนนกก็ส่งเสียงเคร้งคร้างเมื่อพวกมันเสียดสีกันตอนที่เขาสยายปีก ขนนกทองคำยิงไปยังฉินมู่ด้วยการสั่นสะเทือนปีก ขนนกคมกล้าราวกระบี่เหล่านั้นโหมพายุและสายฟ้าไปเมื่อมันแหวกเฉือนตัดอากาศ

สองมือของฉินมู่ไขว้ขวางกัน และกระบี่ไร้กังวลก็พลันแยกตัวเป็นชิ้นๆ แปรเปลี่ยนเป็นกระบี่บินแปดพันเล่ม ที่เริงระบำราวกับแม่น้ำสายยาว และเสียงสดใสกังวานของโลหะก็ดังมาอย่างไร้สิ้นสุด หลังจากการปะทะกัน ผานกงสั่วร้องออกมาอย่างแตกตื่นเมื่อเขายืนเปลือยเปล่าและมีขนนกกระบี่ที่ร่วงกราวอยู่เต็มพื้น

ขนนกของเขาถูกสะบั้นไปทั้งหมดโดยฉินมู่ และมีก็แต่ปีกเปลือยไร้ขนที่กระพือไปมาข้างหลังเขา

เพลิงไฟอันร่วงลงมาปกป้องเขาจากกระถางยักษ์นั่นค่อนข้างเลื่องชื่อ มันเรียกว่าอัคคีเทวะโหมคลุม พลังป้องกันของมันน่าตื่นตระหนกและสามารถย้ายพลังโจมตีของศัตรูไปยังกระถางยักษ์ได้อย่างต่อเนื่อง ยิ่งไปกว่านั้น พลังโจมตีของอัคคีเทวะโหมคลุมก็ยิ่งร้ายกาจ อาวุธวิญญาณขั้นต่ำใดๆ ที่เข้าใกล้ก็จะกลายเป็นเถ้าถ่าน

กระนั้นฉินมู่ก็สามารถทำลายอัคคีเทวะโหมคลุม ทั้งยังสะบั้นขนนกทั้งหมดของเขาได้!

หมอนี่มันสามารถทำลายอัคคีเทวะโหมคลุมของข้า เช่นนั้นเขาก็คงแข็งแกร่งกว่าข้าอยู่เล็กน้อย ข้าไม่ใช่คู่ต่อสู้ของเขา!

เมื่อผานกงสั่วตระหนักขึ้นมา เขาก็ไม่ลังเลสักนิดและกระโจนทะยานขึ้นไป เขาฉวยหยิบกระถางใหญ่ ผลักมันลงไปในพื้น และดำดินหนีไปทางนั้น

แต่ไม่ทันที่เขาจะมุดหายเข้าไปในทราย ฉินมู่ก็จับขากระถางแล้วยกมันขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม “ผู้สูงศักดิ์ เจ้าจะไปไหนหรือ”

ผานกงสั่วแปรเปลี่ยนเป็นแสงสีดำเพื่อหนีข้ามผืนทราย

ฉินมู่โยนกระถางใหญ่ทิ้งไป และร่างกายของเขาก็พลันแปรเปลี่ยนเป็นเงาอันเคลื่อนไหวเข้าไปในพื้น

สักครู่หนึ่ง ก้อนทรายก็กระจุยขึ้นมาบนอากาศ เมื่อทั้งคู่มุดทลายพื้นขึ้นมาจากจุดที่ห่างไปร้อยห้าสิบวา ผานกงสั่วก้าวอย่างไม่คิดชีวิตไปสองก้าว ปีกงอกออกมาจากหลังของเขาพร้อมกับขนนกที่ฟื้นฟูกลับมา เขาจึงกระพือปีกแล้วเหินทะยานขึ้นไปบนท้องฟ้า

“แข่งความเร็วกับข้าหรือ”

ฉินมู่ขับเคลื่อนขาเทวะขโมยสวรรค์ และเขาไม่จำเป็นต้องใช้เวทมนตร์หรือทักษะเทวะใดก็สามารถก้าวขึ้นไปบนเวหาได้ หนึ่งคนและหนึ่งนกไล่ล่ากันกลางอากาศ ผ่านไปพักหนึ่ง นกยักษ์ก็ถูกต่อยตีทึ้งขนจนกลายเป็นไก่โล้นๆ แล้วร่วงลงมาจากท้องฟ้า

ไม่ทันที่ผานกงสั่วจะเหยียบลงบนพื้น เสียงช้างก็ดังแปร๋นมาจากปากของเขา กล้ามเนื้อบนศีรษะและใบหน้างอกเงยออกมาอย่างบ้าคลั่ง ขณะที่คอของเขาปริออกมาเผยหัวอีกสองหัวที่งอกขึ้น แปรเปลี่ยนเขาให้กลายเป็นเทวรูปสามเศียรอันเศียรทั้งสามเป็นคชสาร

กายเนื้อของเขาขยายใหญ่ขึ้น จนสูงเป็นสิบวา เขาเหวี่ยงหมัดด้วยพละกำลังอันไร้ประมาณ ซัดไปยังฉินมู่ผู้ซึ่งไล่ตามเขามา เขาตะโกนออกไปด้วยเศียรทั้งสาม “ไอ้เด็กแซ่ฉิน ตายซะ!”

ตูม!

หมัดของพวกเขาประสานกัน และพลังของทักษะเทวะร่างเนื้อก็ปะทุพวยพุ่ง เปลวลมอันเหมือนมีดดาบซัดพุ่งไปรอบๆ พวกเขา เป่าทรายและหินปลิวกระเด็นขึ้นท้องฟ้า

มนุษย์ช้างสามหัวกระอักเลือด และร่างของเขาก็กระเด็นไปข้างหลัง

ฉินมู่ไล่ตามไป แต่ไม่ทันที่เขาจะเข้าถึงตัวผานกงสั่ว ก็เห็นผานกงสั่วตัวสั่นเทิ้มและกลับคืนสู่ร่างเดิม

ผานกงสั่วกระโดดขึ้นไปบนอากาศในตอนนั้น และดอกบัวดอกหนึ่งก็เบ่งบานข้างใต้เขา ดอกบัวใหญ่เกือบสองวา ผานกงสั่วกระโดดไปบนดอกบัวนั้น และฉินมู่พบว่าดอกบัวหุบกลีบของมันก่อนที่จะหายวับไปพร้อมกับคนข้างใน

ฉินมู่ตกตะลึง “วิชาเคลื่อนย้ายระยะไกล? แต่ดูไม่เหมือนกันเท่าไร…”

ขณะที่เขากำลังคิดอยู่นั่นเอง ดอกบัวหนึ่งก็ผุดขึ้นมาบนทะเลทรายห่างจากที่นี่ไปกว่าสิบลี้ และคลี่กลีบออกมาอย่างเงียบเชียบ

ฉินมู่พุ่งไปทันทีด้วยปราณชีวิตของเขาที่แผ่พุ่งออกไป ด้วยการดีดคราเดียว ไจกระบี่ของเขาก็พุ่งหวือไปข้างหน้า

เมื่อนิ้วของเขาแกว่งหมุน ไจกระบี่ตรงหน้าเขาก็แตกกระจายออก แปรเปลี่ยนเป็นกระแสกระบี่อันเชี่ยวกรากที่พุ่งไปข้างหน้าอย่างดุเดือด เข้าประชิดดอกบัวนั้นก่อนเขาหนึ่งก้าว

ท่วงท่ากระบี่เกลียว!

ความเร็วของแสงกระบี่รวดเร็วอย่างสุดขีด เร็วเสียยิ่งกว่าฉินมู่ซึ่งบึ่งมาอย่างเต็มกำลัง มันไปถึงดอกบัวนั้นในเสี้ยววินาที

ดอกบัวบานออก และผานกงสั่วกระโดดออกมาจากดอกไม้นี้ เขานำเอาผ้าสีดำผืนหนึ่งออกมาอย่างเร่งร้อน หลังจากที่เขาสะบัดผ้า เขาก็กระโดดเข้าไปในผ้านั้น

กระบี่บินมากมายไร้ประมาณฉีกทึ้งดอกบัวออกเป็นเสี่ยงๆ และโถมถล่มผ้าสีดำผืนนั้น แต่แม้ว่ามันก็จะแหลกเป็นชิ้นซากเหมือนกัน ผานกงสั่วก็ได้หายตัวไปอีกครั้ง

ฉินมู่ลงเหยียบกับพื้นและมองไปรอบๆ เหนือศีรษะเขาคือกระบี่บินแปดพันเล่มที่แหวกว่ายไปมาเป็นวงกลมโดยมีปลายคมของพวกมันชี้ออกไปข้างนอก ไม่ว่าผานกงสั่วจะโผล่หัวออกมาทางไหน เขาก็จะต้องเผชิญกับการโจมตีอันเกรี้ยวกราดที่สุด!

กระนั้นทะเลทรายก็สงบเงียบ หลังจากที่ผานกงสั่วมุดเข้าไปในผ้า เขาก็ดูเหมือนจะสาบสูญไปจากโลก

ในที่ไกลๆ พายุทรายโหมคลั่ง เรือตะวันและมังกรทรายจำนวนนับไม่ถ้วนซุ่มซ่อนอยู่ระหว่างฟ้าแลบและฟ้าร้องข้างในพายุนั้น ดวงอาทิตย์ดำถูกเหวี่ยงไปรอบๆ ด้วยฤทธานุภาพสะท้านพิภพ ฟาดผ่านพายุทรายเป็นระยะ คลื่นพลังงานจากมาถึงฉินมู่เป็นครั้งเป็นคราว และก่อเกลียวลมหมุนที่ซัดดูดทรายขึ้นไปบนนภากาศ ทำให้ทัศนวิสัยยากที่จะมองไปได้ไกล

ตรงหน้าพายุทรายคือร่างอันเล็กจิ๋วของราชครูสันตินิรันดร์

แต่ฉินมู่ไม่ใส่ใจการต่อสู้ที่เกิดขึ้นด้านนั้น เขาพลันกระทืบเท้าอย่างรุนแรงลงกับพื้น และทะเลทรายก็สะท้านหวั่นไหว ลมหมุนเล็กๆ จำนวนมากกวาดซัดทรายไปเพื่อก่อขึ้นมาเป็น ‘ยักษ์’ ทรายอันสูงราวๆ สี่ห้าคืบ

ฉินมู่ก็ได้เรียนรู้วิชาหมื่นจิตวิญญาณธรรมชาติมาเช่นกัน แต่เขาไม่ได้เชี่ยวชาญเท่ากับศิษย์ตำหนักสวรรค์แท้

“ผานกงสั่วอยู่ที่ไหน” เขาถาม

ยักษ์ทรายตัวเล็กจุ๋มจิ๋มนี้ยกมือของมันชี้ไปยังจุดหนึ่ง ฉินมู่มองตามไป แต่เขามองไม่เห็นอะไร

“เนตรสวรรค์ชาด!”

วงจรพยุหะหมุนวนในดวงตาของเขา และมองเขามองไปจุดนั้นอีกครั้งหนึ่ง เขาก็อึ้งไปเล็กน้อย เขาสามารถเห็นเส้นตรงอันลางเลือนในอากาศที่เคลื่อนที่ไปกับสายลมด้วยความเร็วไม่สูงนัก

ลมและทรายรอบๆ นั้นบ้าคลั่งปั่นป่วน แต่เส้นตรงบางๆ นั้นไม่บิดไปเลยแม้แต่น้อย มันค่อนข้างน่าแปลก

ฉินมู่เพิ่มพูนความเร็วและมายังเส้นบางๆ นั้น เขาพบว่ามันไม่ใช่เส้นตรง แต่เป็นกระจกอันบางเฉียบจนแทบจะไม่มีความหนา มันสูงพอๆ กับตัวมนุษย์

ผานกงสั่วได้ใช้วิชาเงามายาแห่งคัมภีร์มารฟ้ามหาศึกษิตเพื่อแปลงร่างเป็นเงาดำหายเข้าไปในกระจก!

ฉินมู่อ้าปากค้าง เขาคว้ากระบี่บินมาเล่มหนึ่งเพื่อแทงไปยังกระจก พลางเอ่ยชม “ผู้สูงศักดิ์ มิน่าล่ะเจ้าถึงยังรอดชีวิตอยู่ได้จนถึงทุกวันนี้”

ผานกงสั่วเห็นเขา และสีหน้าแปรเปลี่ยนบิดเบี้ยวอย่างรุนแรง เขาเหวี่ยงเชือกเส้นหนึ่งออกมาจากข้างในกระจก และไต่ปีนขึ้นมาด้วยเชือกนั้น

กระบี่ของฉินมู่แทงเข้าไปในกระจก ทำลายมันเป็นชิ้นเล็กชิ้นน้อย แต่ทว่าผานกงสั่วได้ปีนออกมาด้วยเชือกอันเพิ่งจะหายวับไป

“นี่มันทักษะเทวะอะไรกัน”

ฉินมู่ตรวจตราดูรอบๆ ด้วยเนตรสวรรค์ชาดของเขา แต่ไม่พบร่องรอยของผานกงสั่ว ทันใดนั้น หัวใจเขาก็ไหววูบ และเขาหยิบเอาเศษกระจกชิ้นหนึ่งมาส่องมองไปรอบๆ เขาจึงเห็นผานกงสั่วอีกครั้ง

เขาเห็นผานกงสั่วได้ปีนขึ้นไปถึงกลางอากาศ ที่ปลายสุดของเชือกเป็นตะขออันใช้เกี่ยวคาไว้บนก้อนเมฆ จากที่ดูๆ แล้ว ผานกงสั่วคงคิดจะไปซ่อนตัวในก้อนเมฆ

กระนั้นที่น่าแปลกก็คือเขาและเชือกดังกล่าวดูจะล่องหนและซ่อนอยู่ในห้วงมิติประหลาดในกระจก อันซ้อนทับกับโลกจริงอย่างไรก็ไม่ทราบได้ เชือกสามารถแขวนห้อยเชื่อมต่อกับโลกจริงภายนอก แต่ว่าขนาดเนตรสวรรค์ชาดก็ไม่อาจมองเห็นมัน

“ผู้สูงศักดิ์นับว่ากลายเป็นเชี่ยวชาญอย่างที่สุดในเรื่องการหนีเอาชีวิตรอด” ฉินมู่อุทาน เขาถือกระจกในมือข้างหนึ่ง ขณะที่ดีดนิ้วด้วยมืออีกข้าง กระบี่ไร้กังวลโบยบินไปพุ่งสู่ท้องฟ้า เฉือนตัดเชือกล่องหนที่ใต้เมฆขาว

ฉินมู่โยนกระจกอีกอันออกไปรอตรงที่ผานกงสั่วตกลงมา ด้วยเสียงตึง เขาก็ร่วงลงไปในนั้น และเมื่อเขาเงยหน้าขึ้นมา ก็เห็นฉินมู่ที่อยู่ข้างนอกกระจก

“ผู้สูงศักดิ์ พวกเราจะสนทนากันได้หรือยัง” ฉินมู่หยิบกระจกขึ้นมาด้วยรอยยิ้ม

……………………………….

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+