ตำนานเทพกู้จักรวาล 508 บุตรแห่งแดนใต้พิภพ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 508 บุตรแห่งแดนใต้พิภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้าหรือ เจ้าไปทำอะไรมา” ในโถงเหวินเหยียน อดีตเจ้าลัทธิทั้งหลายขมวดคิ้วอย่างหนัก และจ้าวลัทธิจู่หยางก็ถาม “สิ่งที่เจ้าทำ มันเรื่องใหญ่หรือเล็ก? หากว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมพวกเราไม่ก่อกบฏกันเสียเลยล่ะ”

จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที และเริ่มวางแผนว่าจะปฏิวัติและปลุกระดมคนตายคนอื่นๆ ในยมโลกกันอย่างไร พวกเขาถึงกับช่วยกันคิดหาคำขวัญในการปฏิวัติจำนวนหนึ่ง

ฉินมู่รีบกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องก่อกบฏ ในการต่อสู้ที่พวกเราสกัดขัดขวางเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าบนเทือกเขาเทพทำลาย ข้าได้แย่งชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้คนจำนวนหนึ่งอันตกตายในการต่อสู้ออกจากเงื้อมมือของยมโลก และฟื้นคืนชีพพวกเขา”

อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายเงียบไป สักพักหนึ่ง จ้าวลัทธิหูจุ่นก็ตบเข่าฉาดแล้วกล่าว “พวกเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ ใช่ๆ ธงที่จะใช้สำหรับการปฏิวัติ! ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะใช้ธงเทพสงคราม…”

ฉินมู่ยิ้มและกล่าว “เพียงแค่เรื่องเล็กๆ…”

“เรื่องเล็ก? แย่งชิงผู้คนไปจากยมโลกเป็นเรื่องเล็ก?” จ้าวลัทธิมากมายหันมามองที่เขาด้วยโทสะในดวงตาและยิ้มหยัน “แย่งชิงผู้คนที่สะพานแห่งความจนปัญญานั่น แม้แต่พวกข้าก็ยังต้องตกใจจนขวัญบิน พวกเราคิดว่าแดนใต้พิภพมาโจมตีเสียอีก! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน และท้าวยมราชจะต้องตัดหัวเจ้า!”

“หากว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ พวกเราก็คงปล่อยให้ท้าวยมราชเอาตัวเจ้าไป ให้เขาฟาดก้นเจ้าสักสองทีก่อนจะปล่อยตัว แต่นี่คือเรื่องใหญ่ที่เป็นภัยคุกคามทั้งแดนยมโลก ดังนั้นการก่อกบฏจึงเป็นหนทางเดียว!” ซีเหยียนเว่ยกล่าว

ข้างนอกโถง เสียงของเทพฉือซิ่วดังมาอีกครั้งและดูอดรนทนไม่ไหวมากกว่าเดิม “จ้าวลัทธิฉิน หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปล่ะ!”

ปรมาจารย์เยาว์โพล่งขึ้นมา “จ้าวลัทธิฉิน ทำไมท้าวยมราชถึงไม่ลงโทษเจ้าโดยทันที และปล่อยให้เจ้าเดินเที่ยวไปทั่วเมืองอย่างอิสระ หากว่าอาชญากรรมของเจ้าหนักหนาสาหัสจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะถูกคุมตัวเอาไว้ในคุกอย่างแน่นหนาหรอกหรือ”

เมื่อเขาถามเช่นนี้ ทุกคนก็พลันสำเหนียกขึ้นมาทันที–ฉินมู่ดูไม่เหมือนนักโทษต้องขังเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรในยมโลกได้อย่างอิสระ ทั้งยังมาต่อยตีพวกเขาจนน่วมอีกต่างหาก

“ก่อนที่ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้า เขาเรียกใครเข้าพบก่อนหรือไม่”

ฉินมู่ผงกหัว “เขาจัดการกับซิงอ้านและเทพหมอผีขุย ซิงอ้านได้รับการปล่อยตัว และเทพหมอผีขุยถูกเทพภูตผีจำนวนมากชำแหละศึกษาเวทมนตร์แดนใต้พิภพของเขา ท้าวยมราชเองก็หมายที่จะศึกษาเวทมนตร์แดนใต้พิภพ เขาจึงปล่อยข้าออกมาก่อน”

“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าทำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าอาชญากรรมของซิงอ้านนั้นใหญ่หลวงแค่ไหน แต่ท้าวยมราชก็ยังปล่อยตัวเขาไป เทพหมอผีขุยเป็นเทพเจ้าแห่งแดนใต้พิภพ ดังนั้นสิ่งที่เขากระทำนั้นยิ่งร้ายแรงกว่า ในเมื่อพวกเขาถูกลงโทษก่อน นี่แปลว่าบาปผิดของพวกเขานั้นเหนือกว่าเจ้า บาปผิดของเจ้านั้นเล็กน้อยกว่าพวกเขามากนัก จงตามเทพฉือซิ่วไปเถอะ ท้าวยมราชจะไม่หาเรื่องเจ้าหรอก”

จ้าวลัทธิทั้งหลายพยักหน้าแล้วกล่าว “ไปเถอะ หากว่าท้าวยมราชจะสังหารเจ้า พวกเราก็จะบุกชิงลานประหารและเส้นทางเกิดใหม่!”

ฉินมู่คลายใจและเดินออกไปจากโถงเหวินเหยียน เทพฉือซิ่วยืนอยู่บนหัวสิงโตหินพลางไซ้แต่งขนของตนเอง เมื่อเขาเห็นฉินมู่เดินออกมา เขาก็ดึงจะงอยปากออกมาจากขนของตนและกล่าว “ตามข้ามา”

ฉินมู่เดินเข้าไปพลางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสฉือซิ่ว ท้าวยมราชเรียกตัวข้า–”

“ไม่ต้องพูด เจ้ามีกลิ่นของคนเป็น” ฉือซิ่วกล่าว “ข้าเกลียดคนที่ยังมีลมหายใจ หากว่าเจ้าหมดลมหายใจไปแล้ว คำพูดของเจ้าถึงจะน่าฟังมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท้าวยมราชไม่ได้เรียกตัวเจ้าไปเข้าพบ เขาจะไต่สวนเจ้า”

พวกเขามายังท้องพระโรงราชาฉิน และฉินมู่มองไปยังหน้าโถง มันมีกองก้อนเนื้อที่กำลังต่อสู้และดิ้นรนไปมา ก็ในเมื่อซิงอ้านยังคงไม่อาจยอมละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายของคนอื่นๆ ไปเห็นได้ชัดว่าเขายังคงอิดออดที่จะยอมล้มเลิกมรรคาเต๋าของตน

แม้แต่ผู้ทรงปัญญาอย่างซิงอ้านก็ยังยากที่จะยอมละทิ้งผลประโยชน์อันกำไว้ในมือ ทำให้ในที่สุดแล้ว เขาก็ต้องตาบอดด้วยความละโมบ

เขาส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เมื่อลังเลใจอยู่เช่นนี้ ซิงอ้านก็ได้แต่ถ่วงเวลาชีวิตของตน แต่นั่นไม่น่าแปลกใจ เขาได้สะสมชิ้นส่วนร่างกายผู้อื่นอย่างขยันขันแข็งมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อยึดครองพวกมันเป็นของตน การที่จะให้เขาละทิ้งพวกมันในตอนนี้ก็เท่ากับทำให้เขาละทิ้งมรรคาเต๋าและปฏิเสธชีวิตทั้งชีวิตของเขา นี่ย่อมยากที่จะยอมรับได้

ยิ่งมีความสำเร็จและจิตมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งยากที่คนผู้นั้นจะเปลี่ยนตัวตนและความเข้าใจของเขา ยิ่งยากที่เขาจะยอมรับความผิดพลาดของตน

“ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง!”

ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากเมืองยมโลก และฉินมู่รีบหันไปมองดู เขาเห็นสัตว์ยักษ์ที่กำลังเกาะอยู่บนหลังคาโถงวังและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกู่ตะโกน “ทุกเมืองและทุกบ้านจงระวัง! ท้องฟ้ากำลังสว่าง!”

ในเมืองยมโลก ดวงวิญญาณว่อนไปทั่วฟ้าเมื่อพวกมันกระเจิดกระเจิงไปทุกทิศทาง บนพื้นดิน เทพและมารอันน่าเกรงขามทั้งหลายก็วิ่งหัวซุกหัวซุนไปทั้งซ้ายและขวา พยายามหาที่หลบซ่อน

ฉินมู่ตกตะลึงไปและถาม “เทพฉือซิ่ว เมื่อท้องฟ้าสว่างจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

เทพฉือซิ่วไม่ใส่ใจมากมาย “ดวงอาทิตย์กำลังจะออกมา พวกเขาต้องหาที่ซ่อน มิเช่นนั้นไฟหยางพิสุทธิ์จากท้องฟ้าจะแผดเผาพวกเขา ดวงอาทิตย์นี้แตกต่างจากที่เจ้าเห็นข้างนอก”

ฉินมู่ฉงนฉงาย ทันใดนั้นความมืดก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว และเมืองยมโลกอันขมุกขมัวก็กลายเป็นเจิดจ้าแสบตา!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมืองนี้ในยามกลางวัน และเขาพบว่าถนนหนทางอันเคยคับคั่งไปด้วยเทพและมาร กลับกายเป็นเย็นเยียบไร้ผู้คน ประชากรในเมืองทั้งหลายได้ปิดประตู และดวงวิญญาณอันเร่ร่อนไปทั่วก็มุดลงไปในเหวลึก สัตว์ยักษ์บนหลังคาวังทั้งหมดก็เข้าไปซ่อนอยู่ข้างใน และทั้งแดนยมโลกก็กลายเป็นเงียบกริบโดยฉับพลัน

ถัดไป แสงสีขาวก็กลายเป็นแดงฉานเมื่อดวงอาทิตย์อันใหญ่มหึมาไร้ใดเปรียบอันลุกโหมด้วยเพลิงไฟลอยขึ้นมาจากขอบฟ้า ในพริบตานั้น เพลิงไฟโหมพุ่งมาจากทิศตะวันตก อาบท่วมเข้ามาราวกับทะเลถล่มที่โถมซัดท่วมฟ้าและกลบกลืนผืนแผ่นดิน ทุกถนนท่วมท้นไปหมด และทุกโถงวังและบ้านเรือนก็ถูกกลบกลืน

ไฟร้อนแรงแห่งหยางพิสุทธิ์กลืนกินเมืองทั้งหลายแห่งยมโลก ความร้อนอันแผดเผาแทบจะทำให้ห้วงมิติบิดเบี้ยว!

ฉินมู่อาบอยู่ในไฟหยางพิสุทธิ์ และพบว่าเนื้อ เลือด และเส้นชีพจรของเขาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนร่างโครงกระดูกของตน เมื่อมองลงไปเขาถึงกับมองเห็นอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกอยู่ในช่องใจกลางกระดูกซี่โครง!

ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อเขามองเข้าไปในหน้าต่างของโถงวังอันเทพและมารหลบซ่อนอยู่ เลือดและเนื้อของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน!

ไฟหยางพิสุทธิ์ไม่มีอันตรายกับเขา แต่ร่างเนื้อของเทพและมารแห่งแดนยมโลกอาจจะถูกเผา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็จะมอดไหม้เป็นขี้เถ้า!

ในทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์มหึมาร้อนขึ้นและร้อนขึ้นจนกระทั่งมันกลายเป็นสีแดงจัดจ้า โถงวังใหญ่อลังการปรากฏอยู่รางๆ ในดวงตะวัน และตรงหน้าโถงวังนั้นคือกลองใหญ่มหึมา เทพและมารห้าวหาญกำลังฟาดตีกลองนั้นอยู่อย่างบ้าคลั่ง ส่งไฟแท้หยางพิสุทธิ์จากดวงอาทิตย์ลงมายังยมโลก

บนดวงตะวัน มันมีโถงศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นโถง กลองหนึ่งหมื่นใบ และยักษ์หนึ่งหมื่นตนที่กำลังรัวกลองอย่างเกรี้ยวกราด ไฟแท้ถูกพ่นออกมาและท่วมถมแดนยมโลก!

“นี่คือ…”

ฉินมู่จิตใจไหวสะท้าน เขาพลันได้ยินเสียงหวีดร้องและหันกลับไปดู เขาเห็นลูกกลมก้อนเนื้อที่คือซิงอ้านถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์แผดเผา ใบหน้ากว่าสิบนั้นบิดเบี้ยวทุรนทุรายและร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

ร่างกายมากมายเหือดหายไปหลังจากถูกไฟแท้แผดเผา เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของซิงอ้าน

ซิงอ้านเองก็กำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ในตอนนั้น เขาพลันกระโดดขึ้นมา และกระโจนลงไปในแม่น้ำแห่งความจนปัญญา หมอกหนาในแม่น้ำใต้สะพานกระเพื่อมขึ้นเมื่อสัตว์ประหลาดเคลื่อนเข้ามาฮุบเขากลืนหายไป

“ซิงอ้าน?”

ฉินมู่รีบมายังริมแม่น้ำ หมอกเริ่มหนาขึ้นๆ เพื่อป้องกันเพลิงไฟสุริยัน ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นร่องรอยใดๆ ของซิงอ้าน

“เขาร่วงลงไปในแดนใต้พิภพ” เทพฉือซิ่วกระพือปีก ไฟแท้หยางพิสุทธิ์ไม่มีผลใดต่อเขา แต่เขาก็ยังคงเร่งเร้าฉินมู่ “เร็วหน่อย ท้าวยมราชยังรอเจ้าอยู่นะ!”

ฉินมู่ตั้งหลักและติดตามเขาเข้าไปในท้องพระโรงราชาฉิน

ข้างในนั้น ท้าวยมราชยังคงอยู่ในผ้าคลุมสีดำ ใบหน้าและร่างกายของเขาปิดซ่อนอยู่ในความมืด ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเทพภูตผีตนอื่นใด

“ฉือซิ่ว เจ้าออกไปได้แล้ว” ท้าวยมราชนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรงราชาฉิน ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังมาจากที่สูง

“รับบัญชา” เทพฉือซิ่วออกไปจากท้องพระโรงราชาฉิน

บนบัลลังก์ ท้าวยมราชพลิกเปิดหนังสือจนมีเสียงกระดาษ มีก็แต่เขาและฉินมู่ที่ยังอยู่ และเขาดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านจากดวงอาทิตย์ที่ขึ้นมา

ฉินมู่กระสับกระส่าย แต่ทำอะไรไม่ได้ สักพักหนึ่ง ท้าวยมราชก็ลุกขึ้นยืน และแสงสว่างในท้องพระโรงราชาฉินก็มืดมัวลง ฉินมู่พลันรู้สึกราวกับว่าถูกความมืดเข้าคลี่คลุม

“เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวลงั้นหรือ ใครคือบิดาของเจ้า”

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายจึงถามเช่นนั้น “บิดาของข้าคือฉินหานเจิน บ้านเกิดบรรพชนของข้าน่าจะเป็นหมู่บ้านไร้กังวล แต่ข้าไม่ได้เกิด–”

“ฉินหานเจิน?” ท้าวยมราชจ้องไปที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “นี่มาถึงรุ่นหานแล้วหรือ อวี้ เต๋อ ชาง หมิง หาน เฟิง ฮวน เจิน ตระกูลฉินในรุ่นของเจ้าน่าจะมากกว่ารุ่นที่ร้อยแล้ว”

เขาหยิบสมุดที่เขากำลังอ่านขึ้นมาและไล่มองหาคำว่าหาน “หานคือรุ่นที่หนึ่งร้อยหก เฟิงคือรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ด นามเดิมของเจ้าไม่ใช่ฉินมู่ ในเมื่อมันควรจะต้องมีคำว่าเฟิงในชื่อของเจ้า”

ฉินมู่ผงกหัว แต่เขาไม่กล่าวชื่อดั้งเดิมของตน

หลังจากได้พบกับผู้สูงศักดิ์ เขาก็ตระหนักว่าการบอกนามที่แท้จริงของตนออกไปนั้นอันตรายมากแค่ไหน ยิ่งกับบุคคลเช่นท้าวยมราชที่ควบคุมแดนยมโลก ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่

“ถูกต้องแล้วที่เจ้าไม่บอกนามแก่ข้า โลกนี้นับว่าอันตรายอย่างผิดธรรมดาจริงๆ” ท้าวยมราชกล่าว “ข้าก็มีแซ่ฉินเช่นกัน แต่เป็นแซ่ที่ได้รับมอบมา ข้าเข้าตระกูลแบบบุญธรรม แต่เดิมนั้นข้าไม่นับว่าเป็นตัวอะไรเลยสักนิด เป็นเพียงเด็กกำพร้าอันปราศจากที่พึ่งพิง ฝ่าบาทอนุญาตให้ข้าเข้าไปในปูมบันทึกวงศาคณาญาติของตระกูลฉิน ดังนั้นนามของข้าจึงอยู่ในนั้น”

ฉินมู่เข้าใจ เขากล่าวว่าเดิมทีแล้วเขามิได้มาจากตระกูลฉิน แต่เขาได้รับมอบแซ่ฉินมา และถือเป็นบุตรบุญธรรม

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบเห็นอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล” ท้าวยมราชเดินลงมายังเขาที่หน้าโถงวัง มองไปยังยมโลกอันอาบท่วมไปด้วยเพลิงไฟ เขากล่าว “เดิมทีข้าคิดว่าฝ่าบาทจะออกมาจากหมู่บ้านไร้กังวลมายังสถานที่นี้ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่า แม้จะรอจนถึงสองหมื่นปี แต่ก็ยังมิอาจพบเห็นเขา มีก็เพียงแต่ทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดมา เมื่อเจ้าใช้เวทมนตร์แดนใต้พิภพเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณจำนวนหนึ่งไปจากข้า ข้าสังเกตพบว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าคล้ายคลึงกับฝ่าบาท อันเป็นสาเหตุว่าทำไมข้าจึงไม่ยับยั้งเจ้า”

ฉินมู่ยังคงมีความกังขาและถามหยั่ง “ท่านหมายความว่าจักรพรรดิก่อตั้งยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ”

ใบหน้าของท้าวยมราชถูกผ้าคลุมแห่งความมืดปกคลุม และแม้แต่เพลิงไฟอันร้อนแรงที่สุดก็ไม่อาจสาดส่องเข้าไปในนั้นได้ “ฝ่าบาทยังคงมีชีวิตอยู่ หลังจากบุกเบิกเปิดหมู่บ้านไร้กังวล เขาก็นำทวยเทพกลุ่มสุดท้ายออกไปจากโลกนี้ รักษาพละกำลังของเขาไว้เพื่อโต้กลับ ฝ่าบาทนั้นทรงพลังและเปี่ยมปัญญา ดังนั้นเขารู้ว่าอันตรายได้คืบคลานเข้ามาตั้งแต่ก่อนที่มันจะมาถึง ดังนั้นเขาจึงบัญชาให้ข้าบุกเบิกสร้างแดนยมโลก สร้างสถานที่ให้สำหรับเทพเจ้าที่ไม่อาจออกไปจากโลกนี้ได้ทันเวลาจนกว่าจะถึงวันที่พวกเราจะลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง การรอคอยนี้ยาวนานถึงสองหมื่นปี…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวลใช่ไหม แล้วเจ้าเกิดที่ใด”

ฉินมู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงขื่น “แดนใต้พิภพ”

………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

ตำนานเทพกู้จักรวาล 508 บุตรแห่งแดนใต้พิภพ

Now you are reading ตำนานเทพกู้จักรวาล Chapter 508 บุตรแห่งแดนใต้พิภพ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

“ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้าหรือ เจ้าไปทำอะไรมา” ในโถงเหวินเหยียน อดีตเจ้าลัทธิทั้งหลายขมวดคิ้วอย่างหนัก และจ้าวลัทธิจู่หยางก็ถาม “สิ่งที่เจ้าทำ มันเรื่องใหญ่หรือเล็ก? หากว่าเป็นเรื่องใหญ่ ทำไมพวกเราไม่ก่อกบฏกันเสียเลยล่ะ”

จ้าวลัทธิคนอื่นๆ ตื่นเต้นขึ้นมาทันที และเริ่มวางแผนว่าจะปฏิวัติและปลุกระดมคนตายคนอื่นๆ ในยมโลกกันอย่างไร พวกเขาถึงกับช่วยกันคิดหาคำขวัญในการปฏิวัติจำนวนหนึ่ง

ฉินมู่รีบกล่าว “นี่ไม่ใช่เรื่องใหญ่ เป็นเพียงเรื่องเล็กๆ ดังนั้นไม่มีความจำเป็นต้องก่อกบฏ ในการต่อสู้ที่พวกเราสกัดขัดขวางเทพเจ้าแห่งเหนือฟ้าบนเทือกเขาเทพทำลาย ข้าได้แย่งชิงจิตวิญญาณดั้งเดิมของผู้คนจำนวนหนึ่งอันตกตายในการต่อสู้ออกจากเงื้อมมือของยมโลก และฟื้นคืนชีพพวกเขา”

อดีตจ้าวลัทธิทั้งหลายเงียบไป สักพักหนึ่ง จ้าวลัทธิหูจุ่นก็ตบเข่าฉาดแล้วกล่าว “พวกเราคุยกันถึงไหนแล้วนะ ใช่ๆ ธงที่จะใช้สำหรับการปฏิวัติ! ข้าคิดว่าพวกเราน่าจะใช้ธงเทพสงคราม…”

ฉินมู่ยิ้มและกล่าว “เพียงแค่เรื่องเล็กๆ…”

“เรื่องเล็ก? แย่งชิงผู้คนไปจากยมโลกเป็นเรื่องเล็ก?” จ้าวลัทธิมากมายหันมามองที่เขาด้วยโทสะในดวงตาและยิ้มหยัน “แย่งชิงผู้คนที่สะพานแห่งความจนปัญญานั่น แม้แต่พวกข้าก็ยังต้องตกใจจนขวัญบิน พวกเราคิดว่าแดนใต้พิภพมาโจมตีเสียอีก! นี่ไม่ใช่เรื่องเล็กๆ อย่างแน่นอน และท้าวยมราชจะต้องตัดหัวเจ้า!”

“หากว่ามันเป็นแค่เรื่องเล็กๆ พวกเราก็คงปล่อยให้ท้าวยมราชเอาตัวเจ้าไป ให้เขาฟาดก้นเจ้าสักสองทีก่อนจะปล่อยตัว แต่นี่คือเรื่องใหญ่ที่เป็นภัยคุกคามทั้งแดนยมโลก ดังนั้นการก่อกบฏจึงเป็นหนทางเดียว!” ซีเหยียนเว่ยกล่าว

ข้างนอกโถง เสียงของเทพฉือซิ่วดังมาอีกครั้งและดูอดรนทนไม่ไหวมากกว่าเดิม “จ้าวลัทธิฉิน หากเจ้าไม่ออกมา ข้าจะเข้าไปล่ะ!”

ปรมาจารย์เยาว์โพล่งขึ้นมา “จ้าวลัทธิฉิน ทำไมท้าวยมราชถึงไม่ลงโทษเจ้าโดยทันที และปล่อยให้เจ้าเดินเที่ยวไปทั่วเมืองอย่างอิสระ หากว่าอาชญากรรมของเจ้าหนักหนาสาหัสจริง ไม่ใช่ว่าเจ้าควรจะถูกคุมตัวเอาไว้ในคุกอย่างแน่นหนาหรอกหรือ”

เมื่อเขาถามเช่นนี้ ทุกคนก็พลันสำเหนียกขึ้นมาทันที–ฉินมู่ดูไม่เหมือนนักโทษต้องขังเลยแม้แต่น้อย ในทางกลับกัน เขากลับไปเยี่ยมเยียนญาติมิตรในยมโลกได้อย่างอิสระ ทั้งยังมาต่อยตีพวกเขาจนน่วมอีกต่างหาก

“ก่อนที่ท้าวยมราชจะลงโทษเจ้า เขาเรียกใครเข้าพบก่อนหรือไม่”

ฉินมู่ผงกหัว “เขาจัดการกับซิงอ้านและเทพหมอผีขุย ซิงอ้านได้รับการปล่อยตัว และเทพหมอผีขุยถูกเทพภูตผีจำนวนมากชำแหละศึกษาเวทมนตร์แดนใต้พิภพของเขา ท้าวยมราชเองก็หมายที่จะศึกษาเวทมนตร์แดนใต้พิภพ เขาจึงปล่อยข้าออกมาก่อน”

“ถ้าเช่นนั้น สิ่งที่เจ้าทำก็ไม่ใช่เรื่องใหญ่” ปรมาจารย์เยาว์แย้มยิ้ม “ข้ารู้ว่าอาชญากรรมของซิงอ้านนั้นใหญ่หลวงแค่ไหน แต่ท้าวยมราชก็ยังปล่อยตัวเขาไป เทพหมอผีขุยเป็นเทพเจ้าแห่งแดนใต้พิภพ ดังนั้นสิ่งที่เขากระทำนั้นยิ่งร้ายแรงกว่า ในเมื่อพวกเขาถูกลงโทษก่อน นี่แปลว่าบาปผิดของพวกเขานั้นเหนือกว่าเจ้า บาปผิดของเจ้านั้นเล็กน้อยกว่าพวกเขามากนัก จงตามเทพฉือซิ่วไปเถอะ ท้าวยมราชจะไม่หาเรื่องเจ้าหรอก”

จ้าวลัทธิทั้งหลายพยักหน้าแล้วกล่าว “ไปเถอะ หากว่าท้าวยมราชจะสังหารเจ้า พวกเราก็จะบุกชิงลานประหารและเส้นทางเกิดใหม่!”

ฉินมู่คลายใจและเดินออกไปจากโถงเหวินเหยียน เทพฉือซิ่วยืนอยู่บนหัวสิงโตหินพลางไซ้แต่งขนของตนเอง เมื่อเขาเห็นฉินมู่เดินออกมา เขาก็ดึงจะงอยปากออกมาจากขนของตนและกล่าว “ตามข้ามา”

ฉินมู่เดินเข้าไปพลางเอ่ยถาม “ผู้อาวุโสฉือซิ่ว ท้าวยมราชเรียกตัวข้า–”

“ไม่ต้องพูด เจ้ามีกลิ่นของคนเป็น” ฉือซิ่วกล่าว “ข้าเกลียดคนที่ยังมีลมหายใจ หากว่าเจ้าหมดลมหายใจไปแล้ว คำพูดของเจ้าถึงจะน่าฟังมากกว่านี้ ยิ่งไปกว่านั้น ท้าวยมราชไม่ได้เรียกตัวเจ้าไปเข้าพบ เขาจะไต่สวนเจ้า”

พวกเขามายังท้องพระโรงราชาฉิน และฉินมู่มองไปยังหน้าโถง มันมีกองก้อนเนื้อที่กำลังต่อสู้และดิ้นรนไปมา ก็ในเมื่อซิงอ้านยังคงไม่อาจยอมละทิ้งชิ้นส่วนร่างกายของคนอื่นๆ ไปเห็นได้ชัดว่าเขายังคงอิดออดที่จะยอมล้มเลิกมรรคาเต๋าของตน

แม้แต่ผู้ทรงปัญญาอย่างซิงอ้านก็ยังยากที่จะยอมละทิ้งผลประโยชน์อันกำไว้ในมือ ทำให้ในที่สุดแล้ว เขาก็ต้องตาบอดด้วยความละโมบ

เขาส่ายหัวอย่างอดไม่ได้ เมื่อลังเลใจอยู่เช่นนี้ ซิงอ้านก็ได้แต่ถ่วงเวลาชีวิตของตน แต่นั่นไม่น่าแปลกใจ เขาได้สะสมชิ้นส่วนร่างกายผู้อื่นอย่างขยันขันแข็งมาตลอดทั้งชีวิตเพื่อยึดครองพวกมันเป็นของตน การที่จะให้เขาละทิ้งพวกมันในตอนนี้ก็เท่ากับทำให้เขาละทิ้งมรรคาเต๋าและปฏิเสธชีวิตทั้งชีวิตของเขา นี่ย่อมยากที่จะยอมรับได้

ยิ่งมีความสำเร็จและจิตมุ่งมั่นอันยิ่งใหญ่มากเท่าใด ก็ยิ่งยากที่คนผู้นั้นจะเปลี่ยนตัวตนและความเข้าใจของเขา ยิ่งยากที่เขาจะยอมรับความผิดพลาดของตน

“ท้องฟ้ากำลังจะสว่าง!”

ทันใดนั้นเสียงร้องโหยหวนก็ดังมาจากเมืองยมโลก และฉินมู่รีบหันไปมองดู เขาเห็นสัตว์ยักษ์ที่กำลังเกาะอยู่บนหลังคาโถงวังและมองขึ้นไปบนท้องฟ้าพลางกู่ตะโกน “ทุกเมืองและทุกบ้านจงระวัง! ท้องฟ้ากำลังสว่าง!”

ในเมืองยมโลก ดวงวิญญาณว่อนไปทั่วฟ้าเมื่อพวกมันกระเจิดกระเจิงไปทุกทิศทาง บนพื้นดิน เทพและมารอันน่าเกรงขามทั้งหลายก็วิ่งหัวซุกหัวซุนไปทั้งซ้ายและขวา พยายามหาที่หลบซ่อน

ฉินมู่ตกตะลึงไปและถาม “เทพฉือซิ่ว เมื่อท้องฟ้าสว่างจะเกิดอะไรขึ้นงั้นหรือ”

เทพฉือซิ่วไม่ใส่ใจมากมาย “ดวงอาทิตย์กำลังจะออกมา พวกเขาต้องหาที่ซ่อน มิเช่นนั้นไฟหยางพิสุทธิ์จากท้องฟ้าจะแผดเผาพวกเขา ดวงอาทิตย์นี้แตกต่างจากที่เจ้าเห็นข้างนอก”

ฉินมู่ฉงนฉงาย ทันใดนั้นความมืดก็ล่าถอยไปอย่างรวดเร็ว และเมืองยมโลกอันขมุกขมัวก็กลายเป็นเจิดจ้าแสบตา!

นี่เป็นครั้งแรกที่เขาได้เห็นเมืองนี้ในยามกลางวัน และเขาพบว่าถนนหนทางอันเคยคับคั่งไปด้วยเทพและมาร กลับกายเป็นเย็นเยียบไร้ผู้คน ประชากรในเมืองทั้งหลายได้ปิดประตู และดวงวิญญาณอันเร่ร่อนไปทั่วก็มุดลงไปในเหวลึก สัตว์ยักษ์บนหลังคาวังทั้งหมดก็เข้าไปซ่อนอยู่ข้างใน และทั้งแดนยมโลกก็กลายเป็นเงียบกริบโดยฉับพลัน

ถัดไป แสงสีขาวก็กลายเป็นแดงฉานเมื่อดวงอาทิตย์อันใหญ่มหึมาไร้ใดเปรียบอันลุกโหมด้วยเพลิงไฟลอยขึ้นมาจากขอบฟ้า ในพริบตานั้น เพลิงไฟโหมพุ่งมาจากทิศตะวันตก อาบท่วมเข้ามาราวกับทะเลถล่มที่โถมซัดท่วมฟ้าและกลบกลืนผืนแผ่นดิน ทุกถนนท่วมท้นไปหมด และทุกโถงวังและบ้านเรือนก็ถูกกลบกลืน

ไฟร้อนแรงแห่งหยางพิสุทธิ์กลืนกินเมืองทั้งหลายแห่งยมโลก ความร้อนอันแผดเผาแทบจะทำให้ห้วงมิติบิดเบี้ยว!

ฉินมู่อาบอยู่ในไฟหยางพิสุทธิ์ และพบว่าเนื้อ เลือด และเส้นชีพจรของเขาค่อยๆ ปรากฏขึ้นมาบนร่างโครงกระดูกของตน เมื่อมองลงไปเขาถึงกับมองเห็นอวัยวะทั้งห้าและโพรงทั้งหกอยู่ในช่องใจกลางกระดูกซี่โครง!

ในขณะเดียวกันนั้น เมื่อเขามองเข้าไปในหน้าต่างของโถงวังอันเทพและมารหลบซ่อนอยู่ เลือดและเนื้อของพวกเขาก็ค่อยๆ จางหายไป เผยให้เห็นกระดูกขาวโพลน!

ไฟหยางพิสุทธิ์ไม่มีอันตรายกับเขา แต่ร่างเนื้อของเทพและมารแห่งแดนยมโลกอาจจะถูกเผา และจิตวิญญาณดั้งเดิมของพวกเขาก็จะมอดไหม้เป็นขี้เถ้า!

ในทิศตะวันออก ดวงอาทิตย์มหึมาร้อนขึ้นและร้อนขึ้นจนกระทั่งมันกลายเป็นสีแดงจัดจ้า โถงวังใหญ่อลังการปรากฏอยู่รางๆ ในดวงตะวัน และตรงหน้าโถงวังนั้นคือกลองใหญ่มหึมา เทพและมารห้าวหาญกำลังฟาดตีกลองนั้นอยู่อย่างบ้าคลั่ง ส่งไฟแท้หยางพิสุทธิ์จากดวงอาทิตย์ลงมายังยมโลก

บนดวงตะวัน มันมีโถงศักดิ์สิทธิ์หนึ่งหมื่นโถง กลองหนึ่งหมื่นใบ และยักษ์หนึ่งหมื่นตนที่กำลังรัวกลองอย่างเกรี้ยวกราด ไฟแท้ถูกพ่นออกมาและท่วมถมแดนยมโลก!

“นี่คือ…”

ฉินมู่จิตใจไหวสะท้าน เขาพลันได้ยินเสียงหวีดร้องและหันกลับไปดู เขาเห็นลูกกลมก้อนเนื้อที่คือซิงอ้านถูกไฟแท้หยางพิสุทธิ์แผดเผา ใบหน้ากว่าสิบนั้นบิดเบี้ยวทุรนทุรายและร้องโหยหวนด้วยความเจ็บปวด

ร่างกายมากมายเหือดหายไปหลังจากถูกไฟแท้แผดเผา เผยให้เห็นร่างที่แท้จริงของซิงอ้าน

ซิงอ้านเองก็กำลังเจ็บปวดอย่างแสนสาหัส ในตอนนั้น เขาพลันกระโดดขึ้นมา และกระโจนลงไปในแม่น้ำแห่งความจนปัญญา หมอกหนาในแม่น้ำใต้สะพานกระเพื่อมขึ้นเมื่อสัตว์ประหลาดเคลื่อนเข้ามาฮุบเขากลืนหายไป

“ซิงอ้าน?”

ฉินมู่รีบมายังริมแม่น้ำ หมอกเริ่มหนาขึ้นๆ เพื่อป้องกันเพลิงไฟสุริยัน ดังนั้นเขาจึงมองไม่เห็นร่องรอยใดๆ ของซิงอ้าน

“เขาร่วงลงไปในแดนใต้พิภพ” เทพฉือซิ่วกระพือปีก ไฟแท้หยางพิสุทธิ์ไม่มีผลใดต่อเขา แต่เขาก็ยังคงเร่งเร้าฉินมู่ “เร็วหน่อย ท้าวยมราชยังรอเจ้าอยู่นะ!”

ฉินมู่ตั้งหลักและติดตามเขาเข้าไปในท้องพระโรงราชาฉิน

ข้างในนั้น ท้าวยมราชยังคงอยู่ในผ้าคลุมสีดำ ใบหน้าและร่างกายของเขาปิดซ่อนอยู่ในความมืด ฉินมู่มองไปรอบๆ แต่ไม่เห็นเทพภูตผีตนอื่นใด

“ฉือซิ่ว เจ้าออกไปได้แล้ว” ท้าวยมราชนั่งอยู่บนบัลลังก์ในท้องพระโรงราชาฉิน ดังนั้นเสียงของเขาจึงดังมาจากที่สูง

“รับบัญชา” เทพฉือซิ่วออกไปจากท้องพระโรงราชาฉิน

บนบัลลังก์ ท้าวยมราชพลิกเปิดหนังสือจนมีเสียงกระดาษ มีก็แต่เขาและฉินมู่ที่ยังอยู่ และเขาดูเหมือนว่าจะไม่สะทกสะท้านจากดวงอาทิตย์ที่ขึ้นมา

ฉินมู่กระสับกระส่าย แต่ทำอะไรไม่ได้ สักพักหนึ่ง ท้าวยมราชก็ลุกขึ้นยืน และแสงสว่างในท้องพระโรงราชาฉินก็มืดมัวลง ฉินมู่พลันรู้สึกราวกับว่าถูกความมืดเข้าคลี่คลุม

“เจ้ามาจากหมู่บ้านไร้กังวลงั้นหรือ ใครคือบิดาของเจ้า”

ฉินมู่อึ้งไปเล็กน้อย ไม่เข้าใจว่าทำไมจู่ๆ อีกฝ่ายจึงถามเช่นนั้น “บิดาของข้าคือฉินหานเจิน บ้านเกิดบรรพชนของข้าน่าจะเป็นหมู่บ้านไร้กังวล แต่ข้าไม่ได้เกิด–”

“ฉินหานเจิน?” ท้าวยมราชจ้องไปที่เขาด้วยสายตาว่างเปล่า เมื่อเขากล่าวด้วยเสียงต่ำ “นี่มาถึงรุ่นหานแล้วหรือ อวี้ เต๋อ ชาง หมิง หาน เฟิง ฮวน เจิน ตระกูลฉินในรุ่นของเจ้าน่าจะมากกว่ารุ่นที่ร้อยแล้ว”

เขาหยิบสมุดที่เขากำลังอ่านขึ้นมาและไล่มองหาคำว่าหาน “หานคือรุ่นที่หนึ่งร้อยหก เฟิงคือรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ด นามเดิมของเจ้าไม่ใช่ฉินมู่ ในเมื่อมันควรจะต้องมีคำว่าเฟิงในชื่อของเจ้า”

ฉินมู่ผงกหัว แต่เขาไม่กล่าวชื่อดั้งเดิมของตน

หลังจากได้พบกับผู้สูงศักดิ์ เขาก็ตระหนักว่าการบอกนามที่แท้จริงของตนออกไปนั้นอันตรายมากแค่ไหน ยิ่งกับบุคคลเช่นท้าวยมราชที่ควบคุมแดนยมโลก ยิ่งอันตรายเข้าไปใหญ่

“ถูกต้องแล้วที่เจ้าไม่บอกนามแก่ข้า โลกนี้นับว่าอันตรายอย่างผิดธรรมดาจริงๆ” ท้าวยมราชกล่าว “ข้าก็มีแซ่ฉินเช่นกัน แต่เป็นแซ่ที่ได้รับมอบมา ข้าเข้าตระกูลแบบบุญธรรม แต่เดิมนั้นข้าไม่นับว่าเป็นตัวอะไรเลยสักนิด เป็นเพียงเด็กกำพร้าอันปราศจากที่พึ่งพิง ฝ่าบาทอนุญาตให้ข้าเข้าไปในปูมบันทึกวงศาคณาญาติของตระกูลฉิน ดังนั้นนามของข้าจึงอยู่ในนั้น”

ฉินมู่เข้าใจ เขากล่าวว่าเดิมทีแล้วเขามิได้มาจากตระกูลฉิน แต่เขาได้รับมอบแซ่ฉินมา และถือเป็นบุตรบุญธรรม

“นานมากแล้วที่ข้าไม่ได้พบเห็นอาคันตุกะจากหมู่บ้านไร้กังวล” ท้าวยมราชเดินลงมายังเขาที่หน้าโถงวัง มองไปยังยมโลกอันอาบท่วมไปด้วยเพลิงไฟ เขากล่าว “เดิมทีข้าคิดว่าฝ่าบาทจะออกมาจากหมู่บ้านไร้กังวลมายังสถานที่นี้ แต่ข้าไม่คาดคิดเลยว่า แม้จะรอจนถึงสองหมื่นปี แต่ก็ยังมิอาจพบเห็นเขา มีก็เพียงแต่ทายาทรุ่นที่หนึ่งร้อยเจ็ดมา เมื่อเจ้าใช้เวทมนตร์แดนใต้พิภพเพื่อแย่งชิงดวงวิญญาณจำนวนหนึ่งไปจากข้า ข้าสังเกตพบว่ารูปร่างหน้าตาของเจ้าคล้ายคลึงกับฝ่าบาท อันเป็นสาเหตุว่าทำไมข้าจึงไม่ยับยั้งเจ้า”

ฉินมู่ยังคงมีความกังขาและถามหยั่ง “ท่านหมายความว่าจักรพรรดิก่อตั้งยังมีชีวิตอยู่งั้นหรือ”

ใบหน้าของท้าวยมราชถูกผ้าคลุมแห่งความมืดปกคลุม และแม้แต่เพลิงไฟอันร้อนแรงที่สุดก็ไม่อาจสาดส่องเข้าไปในนั้นได้ “ฝ่าบาทยังคงมีชีวิตอยู่ หลังจากบุกเบิกเปิดหมู่บ้านไร้กังวล เขาก็นำทวยเทพกลุ่มสุดท้ายออกไปจากโลกนี้ รักษาพละกำลังของเขาไว้เพื่อโต้กลับ ฝ่าบาทนั้นทรงพลังและเปี่ยมปัญญา ดังนั้นเขารู้ว่าอันตรายได้คืบคลานเข้ามาตั้งแต่ก่อนที่มันจะมาถึง ดังนั้นเขาจึงบัญชาให้ข้าบุกเบิกสร้างแดนยมโลก สร้างสถานที่ให้สำหรับเทพเจ้าที่ไม่อาจออกไปจากโลกนี้ได้ทันเวลาจนกว่าจะถึงวันที่พวกเราจะลุกฮือขึ้นมาอีกครั้ง การรอคอยนี้ยาวนานถึงสองหมื่นปี…เมื่อครู่เจ้าบอกว่าเจ้าไม่ได้ถือกำเนิดในหมู่บ้านไร้กังวลใช่ไหม แล้วเจ้าเกิดที่ใด”

ฉินมู่เงียบไปครู่หนึ่ง ก่อนจะกล่าวด้วยเสียงขื่น “แดนใต้พิภพ”

………………………

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+