[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ 192 ไม่พอใจ / 193 คัน

Now you are reading [นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ Chapter 192 ไม่พอใจ / 193 คัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 192 ไม่พอใจ  

 

 

‘คลื่นริมฝั่ง’ สู้กับหลายห้องพักจนฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ  

 

 

อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้จำนวนการเข้าร่วมไม่สูงมาก คนในหอพักคนอื่นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  

 

 

ทุกครั้งที่ชุยหังพูดว่าต้องเตรียมซ้อมการแสดง พวกเขาต่างก็บอกแต่ว่าตัวเองมีเรื่องนั้น เรื่องนี้  

 

 

วังเฉียงและถังเฉิงยังดีหน่อย หลังจากที่วังเฉียงรู้ว่าทุกคนให้เขาเป็นหัวหน้าห้องพัก เพราะต้องการเพิ่มคะแนนเพื่อเขา จึงหลีกเลี่ยงที่จะถูกมองไม่ดี  

 

 

เดิมทีถังเฉิงก็เป็นคนร่าเริงด้วย  

 

 

แต่คนอื่นอีกสามคน ทุกวันกลับยุ่งแต่เรื่องของตัว แม้แต่จ้าวหลินก็เริ่มตามพี่สาม (เหล่าซาน) จังเผิงไปห้องสมุดเรียนด้วยตัวเองทุกวัน  

 

 

ต่อมาวังเฉียงเสนอความคิดว่า ต้องการแสดง ‘การแสดงคู่’  

 

 

อย่างไรก็ตามในห้องพักนี้มีเพียงชุยหังเท่านั้นที่ภาษาจีนกลางดีที่สุด อีกทั้งยังพูดจาคมคาย  

 

 

ถ้าหากให้เขาพูดอยู่ข้างหลัง คนด้านหน้าอาจจะรู้สึกประหม่าได้ แต่ถ้าหากให้เขาแสดงอยู่ด้านหน้า มีคนพูดภาษาจีนกลางอยู่ด้านหลัง ถือเป็นเรื่องท้าทายเรื่องหนึ่ง  

 

 

โดยรวมแล้วไม่มีทางที่จะตกลงกันได้เลย  

 

 

วันรอบชิงชนะเลิศใกล้เข้ามาแล้ว สไลด์ของพวกเขายังไม่ได้ทำเลย  

 

 

ชุยหังไปหาซย่าอวี้ชิว เพื่อยืมกล้องมาถ่ายรูปในห้องพัก จากนั้นก็ไปร้านอินเทอร์เน็ตทำสไลด์พร้อมใส่เนื้อเพลง ‘ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว’ ลงไปด้วย  

 

 

ถึงเวลากล่าวสุนทรพจน์ วังเฉียงในฐานะที่เป็นหัวหน้าห้องพักต้องขึ้นไปอธิบายที่มาห้อง แต่สำหรับการแสดงนั้นสรุปกันไม่ได้  

 

 

ชุยหังก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับพวกเขาอย่างไร ท่าทีของพวกเขานั้นเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร เพราะเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ถึงอย่างไรก็ได้คะแนนแล้ว ได้ลำดับที่เท่าไหร่ก็ไม่สำคัญแล้ว  

 

 

ท่าทีแบบนี้ทำให้ชุยหังรู้สึกผิดหวัง และพูดอะไรไม่ออก  

 

 

‘ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาไม่สามารถเอาความคิดของตัวเองไปเรียกร้องกับคนอื่น’  

 

 

เขาไม่ได้บ่น อะไรกับหลูจื้อ แต่ชุยหังก็รอให้หลูจื้อติดต่อเขามาทุกวัน จากนั้นทั้งสองก็เบื่อหน่ายกันไปสักพัก  

 

 

จากนั้นชุยหังก็เลือกเพลงที่ง่ายที่สุดให้พวกเขาร้องเพลงคู่กัน ฝึกซ้อม ‘ขับร้องหมู่บทเพลงแห่งแม่น้ำเหลืองหรือหวงเหอ’  [1]  ได้สองสามวัน เพียงแค่ได้ยินชื่อเพลงก็ไม่เหมาะกับการแข่งขันครั้งนี้แล้ว  

 

 

แต่เพื่อความง่าย ทุกคนต่างเห็นด้วยและเจียดเวลาเล็กน้อยเพื่อมาซ้อมกัน  

 

 

วันแข่งรอบชิงชนะเลิศอย่างเป็นทางการ วังเฉียงในชุดเครื่องแบบของเขายืนอยู่ด้านหน้าภาพสไลด์ด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองจอที่ปรากฏภาพในห้องพักที่ทุกคนถ่ายรูปหน้าต้นไผ่ ผู้ตัดสินด้านล่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก  

 

 

“ฉันชอบห้องนี้ เพราะมีแสงไปอบอุ่นกำลังรอ…”  

 

 

เสียงเพลงทำให้ภาพถ่ายดูอบอุ่นมาก จนทำให้ชุยหังน้ำตาไหล  

 

 

อย่างไรก็ตาม การแสดงของพวกเขานั้นช่างห่างไกลความน่าพึงพอใจเหลือเกิน  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องพักก่อนหน้าของพวกเขา แสดงเรื่อง ‘นางพญางูขาว’  [2]  ผู้ชายแต่งชุดผู้หญิงเป็นงูขาว อีกทั้งยังแต่งล้อเลียนพระเถระฝาไห่  [3]  อีกด้วย ทำให้คนดูหัวเราะจนท้องแข็ง  

 

 

แต่การแสดงร้องเพลงคู่ของพวกเขาไม่มีอะไรพิเศษมาก ดูขาดความจริงใจ  

 

 

สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับรางวัลชมเชย ผลการตัดสินนี้ทุกคนต่างพึงพอใจ แต่ชุยหังกลับไม่พอใจ  

 

 

ระหว่างทางกลับหอพัก ชุยหังไม่พอใจเล็กน้อย ในฐานะที่พวกเขาเป็นห้องเดียวที่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่พวกเขาได้รางวัลนี้ ชุยหังรู้สึกขายหน้าเหลือเกิน  

 

 

ครั้งแรกที่ชุยหังรู้สึกผิดหวังกับความเฉื่อยชาของรูมเมทตัวเอง  

 

 

ในตอนนั้นซ่งไข่โทรมาหาชุยหัง  

 

 

“สวัสดีครับ ครูฝึกซ่ง” เห็นได้ชัดว่าความสนใจของชุยหังมีไม่มากนัก  

 

 

“มีอะไรเหรอ นายรู้แล้วเหรอ” ครูฝึกซ่งได้ยินเสียงไม่ค่อยร่าเริงของชุยหัง  

 

 

“รู้อะไรเหรอครับ” ชุยหังเอ่ยถาม  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยตอบ “พ่อแม่ของหลูจื้อพาผู้หญิงคนหนึ่งมาแนะนำให้หลูจื้อรู้จัก”  

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 193 คัน  

 

 

หลังจากที่ชุยหังได้ยิน ก็รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน  

 

 

ที่จริงเขาไม่ได้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้เลย แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้  

 

 

เขาตักตวงความสุขอยู่ในโลกกันสองคนกับหลูจื้อนานแค่ไหน ทำไม่พ่อแม่ของเขาถึงกังวลขนาดนี้  

 

 

เขาบังคับตัวเองให้สงบลง แล้วเอ่ยถาม “หลูจื้อว่ายังไงบ้างครับ”  

 

 

“เขาก็น่าจะไม่ยอม แต่พาพวกเขาออกไปกินข้าว หลังจากนั้นเหมือนหาข้ออ้างให้พวกเขากลับไป” ซ่งไข่เอ่ยตอบ  

 

 

“ถ้างั้นก็ไม่สำเร็จ ใช่ไหมครับ” ชุยหังเอ่ยถาม  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยตอบ “เรื่องนี้ฉันไม่กล้ายืนยัน แต่สีหน้าของหลูจื้อดูไม่ค่อยดีนัก”  

 

 

ในใจของชุยหังรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขามักรู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเก็บสะสมความโชคดีไว้ แต่สุดท้ายเหมือนจะถูกล้างไปด้วยข่าวนี้  

 

 

“อืม ผมรู้แล้ว” เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี  

 

 

“ที่จริงแล้วมาบอกนาย ไม่ได้อยากให้นายไม่สบายใจ แต่อยากให้นายเผื่อใจไว้บ้าง ฉันเคยคุยกับนายแล้วก่อนหน้านี้ว่าครอบครัวของหลูจื้อค่อนข้างพิเศษ” ซ่งไข่เอ่ยบอก  

 

 

ชุยหังเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เพราะครอบครัวของเขาพิเศษหรอก แต่ความจริงแล้วครอบครัวของเขาหาได้ง่ายทั่วไปมากที่สุดต่างหาก แบบผมถึงจะเรียกว่าพิเศษ”  

 

 

“อย่าพูดอย่างนั้น แล้วถ้าหลูจื้อยืนยันจะคบนายต่อไปล่ะ” ซ่งไข่เอ่ยถาม  

 

 

“เรื่องนี้ผมไม่กล้าพูดหรอก ถึงยังไงตอนนี้หลูจื้อก็ไม่พูดว่าจะคบหากับฝ่ายนั้นไม่ใช่เหรอ” ชุยหังเอ่ยบอก  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยตอบ “อือ เขาไม่เคยพูด ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขามีนายอยู่แล้วเหรอ”  

 

 

“ผมก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องนี้คิดไปก็กลุ้มใจ” ชุยหังเอ่ยบอก  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยบอก “กลุ้มใจก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นายเลือกเป็นคนนี้ ก็ต้องยอมรับความกดดันเหล่านี้”  

 

 

“อือ ผมเข้าใจแล้ว” ชุยหังเอ่ยตอบ  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยบอก “เรื่องของอนาคต ไม่มีใครรู้แน่ชัด”  

 

 

“ขอบคุณครับครูฝึกซ่ง” ชุยหังเอ่ยตอบ  

 

 

นอกจากเอ่ยขอบคุณแล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว  

 

 

เขาพูดเสมอว่า แม้ว่าข่าวคราวบางอย่างทำให้ตัวเองอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสำหรับตัวเอง  

 

 

ถ้าถึงเวลาหลูจื้อตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายแท้ๆ เขายังไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด  

 

 

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงตกจากที่สูงล้มลงมาอย่างน่าเวทนา  

 

 

ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าคำพูดของตัวเองขัดแย้งกัน โดยเฉพาะเวลาที่คบกับผู้ชายแท้ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย อีกทั้งยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันอีกมากมาย  

 

 

หลังจากคุยกับซ่งไข่ ชุยหังอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไปหาหลูจื้อก่อน  

 

 

ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนั้นก่อน ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว  

 

 

ถ้าหากถามแล้ว จะทำให้หลูจื้อโกรธ  

 

 

เหมือนกับว่าตัวเองไม่มีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงจะไม่ชินที่คนรักของตัวเองให้ผู้ชายใกล้ตัวของตัวเองมาคอยติดตาม  

 

 

รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรกัดข้างในใจจนรู้สึกคันมาๆ แต่กลับไม่มีวิธีทำให้สงบลง  

 

 

หายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าลึกๆ ชุยหังให้ตัวเองหายใจเข้าลึกๆ จะได้ไม่ต้องคิดมากเกินไป  

 

 

บางทีเดี๋ยวสักพักหลูจื้ออาจจะติดต่อตัวเองกลับมา แล้วอธิบายเรื่องนี้กับตัวเอง  

 

 

เมื่อกลับถึงห้องพักจึงส่งข้อความไปหาหลูจื้อ [กำลังทำอะไรอยู่ กินข้าวแล้วหรือยัง]  

 

 

ผ่านไปสักพัก หลูจื้อก็ตอบกลับมา [ไม่เป็นไร กินแล้วล่ะ พ่อแม่มาหา เลยออกไปกินข้างนอกกับพวกเขา]  

 

 

[โอ้ ดีจัง] คำตอบของชุยหังเรียบง่ายมาก เพราะทำอะไรไม่ถูก  

 

 

[พวกเขาพาผู้หญิงมาด้วย แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว]  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  ขับร้องหมู่บทเพลงแห่งแม่น้ำเหลืองหรือหวงเหอ  ความเด่นของเพลงนี้อยู่ที่ทำนองและจังหวะเพลง กล่าวคือ เป็นการขับร้องประสานเสียงและการร้องโต้ตอบสลับกัน จึงทำให้เพลงนี้มีลักษณะของการมีส่วนร่วมของการร้องบนเวทีและการร่วมร้องของ ผู้ชม เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างมากอีกเพลงหนึ่ง ในยุคสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น จังหวะเพลงเป็นแบบเพลงมาร์ชสวนสนาม มีจังหวะหนักแน่น ทรงพลัง เพื่อการก้าวย่างที่สั้นและกระชับ ปลุกเร้าจิตใจให้เต้นเป็นจังหวะที่มั่นคง เพื่อบอกสัญญาณการรุกไปข้างหน้าพร้อมรุกรบประจัญบาน  

 

 

[2]  นางพญางูขาว  เดิมทีเป็นนิทานพื้นบ้านของเมืองหังโจว ซึ่งนิยมนำมาแสดงผ่านอุปรากรจีน และได้นิยมดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ทางโทรทัศน์นับครั้งไม่ถ้วน แม้เมืองไทยก็เคยนำมาดัดแปลงเป็นละครเวที รายละเอียดของเรื่องราวก็ดัดแปลงตามความเหมาะสม โดยเนื้อเรื่อง กล่าวถึง นางงูขาวอายุพันปี บำเพ็ญตบะจนแปลงเป็นสาวงามชื่อ “ไป๋ซูเจิน” และได้รักกับหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “สี่เซียน” (บางแห่งว่า เป็นบัณฑิต, บางแห่งว่าเป็นแพทย์) เมื่อคราวที่เดินทางมาเที่ยวยังเมืองมนุษย์ ต่อมาความรักของคนทั้งคู่เป็นเรื่องต้องห้าม ด้วยอมนุษย์ เรื่อง “จองจำงูขาวชั่วนิรันดร์ในเจดีย์เหลยเฟิง” ซึ่งตำนานนี้ แต่งโดย “เฝิงเมิ่ง หลง” ยุคราชวงศ์หมิง  

 

 

[3]  พระเถระฝาไห่  เป็นพระเถระผู้มีอาคมสูง เถรตรง ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ มีความต้องการจะแยกสี่เซียนและไป๋ซู่เจินออกจากกัน เพราะคนกับปิศาจมีความแตกต่างกันเกินไป มิอาจเดินร่วมทาง เพราะผิดกฎสวรรค์  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ 192 ไม่พอใจ / 193 คัน

Now you are reading [นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ Chapter 192 ไม่พอใจ / 193 คัน at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 192 ไม่พอใจ  

 

 

‘คลื่นริมฝั่ง’ สู้กับหลายห้องพักจนฝ่าฟันเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศ  

 

 

อาจเป็นเพราะก่อนหน้านี้จำนวนการเข้าร่วมไม่สูงมาก คนในหอพักคนอื่นก็ไม่ได้ให้ความสำคัญกับเรื่องนี้  

 

 

ทุกครั้งที่ชุยหังพูดว่าต้องเตรียมซ้อมการแสดง พวกเขาต่างก็บอกแต่ว่าตัวเองมีเรื่องนั้น เรื่องนี้  

 

 

วังเฉียงและถังเฉิงยังดีหน่อย หลังจากที่วังเฉียงรู้ว่าทุกคนให้เขาเป็นหัวหน้าห้องพัก เพราะต้องการเพิ่มคะแนนเพื่อเขา จึงหลีกเลี่ยงที่จะถูกมองไม่ดี  

 

 

เดิมทีถังเฉิงก็เป็นคนร่าเริงด้วย  

 

 

แต่คนอื่นอีกสามคน ทุกวันกลับยุ่งแต่เรื่องของตัว แม้แต่จ้าวหลินก็เริ่มตามพี่สาม (เหล่าซาน) จังเผิงไปห้องสมุดเรียนด้วยตัวเองทุกวัน  

 

 

ต่อมาวังเฉียงเสนอความคิดว่า ต้องการแสดง ‘การแสดงคู่’  

 

 

อย่างไรก็ตามในห้องพักนี้มีเพียงชุยหังเท่านั้นที่ภาษาจีนกลางดีที่สุด อีกทั้งยังพูดจาคมคาย  

 

 

ถ้าหากให้เขาพูดอยู่ข้างหลัง คนด้านหน้าอาจจะรู้สึกประหม่าได้ แต่ถ้าหากให้เขาแสดงอยู่ด้านหน้า มีคนพูดภาษาจีนกลางอยู่ด้านหลัง ถือเป็นเรื่องท้าทายเรื่องหนึ่ง  

 

 

โดยรวมแล้วไม่มีทางที่จะตกลงกันได้เลย  

 

 

วันรอบชิงชนะเลิศใกล้เข้ามาแล้ว สไลด์ของพวกเขายังไม่ได้ทำเลย  

 

 

ชุยหังไปหาซย่าอวี้ชิว เพื่อยืมกล้องมาถ่ายรูปในห้องพัก จากนั้นก็ไปร้านอินเทอร์เน็ตทำสไลด์พร้อมใส่เนื้อเพลง ‘ครอบครัวรักใคร่กลมเกลียว’ ลงไปด้วย  

 

 

ถึงเวลากล่าวสุนทรพจน์ วังเฉียงในฐานะที่เป็นหัวหน้าห้องพักต้องขึ้นไปอธิบายที่มาห้อง แต่สำหรับการแสดงนั้นสรุปกันไม่ได้  

 

 

ชุยหังก็ไม่รู้ว่าจะคุยกับพวกเขาอย่างไร ท่าทีของพวกเขานั้นเหมือนจะไม่ได้สนใจอะไร เพราะเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศแล้ว ถึงอย่างไรก็ได้คะแนนแล้ว ได้ลำดับที่เท่าไหร่ก็ไม่สำคัญแล้ว  

 

 

ท่าทีแบบนี้ทำให้ชุยหังรู้สึกผิดหวัง และพูดอะไรไม่ออก  

 

 

‘ทุกคนมีความคิดเป็นของตัวเอง เขาไม่สามารถเอาความคิดของตัวเองไปเรียกร้องกับคนอื่น’  

 

 

เขาไม่ได้บ่น อะไรกับหลูจื้อ แต่ชุยหังก็รอให้หลูจื้อติดต่อเขามาทุกวัน จากนั้นทั้งสองก็เบื่อหน่ายกันไปสักพัก  

 

 

จากนั้นชุยหังก็เลือกเพลงที่ง่ายที่สุดให้พวกเขาร้องเพลงคู่กัน ฝึกซ้อม ‘ขับร้องหมู่บทเพลงแห่งแม่น้ำเหลืองหรือหวงเหอ’  [1]  ได้สองสามวัน เพียงแค่ได้ยินชื่อเพลงก็ไม่เหมาะกับการแข่งขันครั้งนี้แล้ว  

 

 

แต่เพื่อความง่าย ทุกคนต่างเห็นด้วยและเจียดเวลาเล็กน้อยเพื่อมาซ้อมกัน  

 

 

วันแข่งรอบชิงชนะเลิศอย่างเป็นทางการ วังเฉียงในชุดเครื่องแบบของเขายืนอยู่ด้านหน้าภาพสไลด์ด้วยความตื่นเต้น เมื่อมองจอที่ปรากฏภาพในห้องพักที่ทุกคนถ่ายรูปหน้าต้นไผ่ ผู้ตัดสินด้านล่างก็ประหลาดใจเป็นอย่างมาก  

 

 

“ฉันชอบห้องนี้ เพราะมีแสงไปอบอุ่นกำลังรอ…”  

 

 

เสียงเพลงทำให้ภาพถ่ายดูอบอุ่นมาก จนทำให้ชุยหังน้ำตาไหล  

 

 

อย่างไรก็ตาม การแสดงของพวกเขานั้นช่างห่างไกลความน่าพึงพอใจเหลือเกิน  

 

 

โดยเฉพาะอย่างยิ่งห้องพักก่อนหน้าของพวกเขา แสดงเรื่อง ‘นางพญางูขาว’  [2]  ผู้ชายแต่งชุดผู้หญิงเป็นงูขาว อีกทั้งยังแต่งล้อเลียนพระเถระฝาไห่  [3]  อีกด้วย ทำให้คนดูหัวเราะจนท้องแข็ง  

 

 

แต่การแสดงร้องเพลงคู่ของพวกเขาไม่มีอะไรพิเศษมาก ดูขาดความจริงใจ  

 

 

สุดท้ายพวกเขาก็ได้รับรางวัลชมเชย ผลการตัดสินนี้ทุกคนต่างพึงพอใจ แต่ชุยหังกลับไม่พอใจ  

 

 

ระหว่างทางกลับหอพัก ชุยหังไม่พอใจเล็กน้อย ในฐานะที่พวกเขาเป็นห้องเดียวที่ได้เข้ารอบชิงชนะเลิศ แต่พวกเขาได้รางวัลนี้ ชุยหังรู้สึกขายหน้าเหลือเกิน  

 

 

ครั้งแรกที่ชุยหังรู้สึกผิดหวังกับความเฉื่อยชาของรูมเมทตัวเอง  

 

 

ในตอนนั้นซ่งไข่โทรมาหาชุยหัง  

 

 

“สวัสดีครับ ครูฝึกซ่ง” เห็นได้ชัดว่าความสนใจของชุยหังมีไม่มากนัก  

 

 

“มีอะไรเหรอ นายรู้แล้วเหรอ” ครูฝึกซ่งได้ยินเสียงไม่ค่อยร่าเริงของชุยหัง  

 

 

“รู้อะไรเหรอครับ” ชุยหังเอ่ยถาม  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยตอบ “พ่อแม่ของหลูจื้อพาผู้หญิงคนหนึ่งมาแนะนำให้หลูจื้อรู้จัก”  

 

 

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 193 คัน  

 

 

หลังจากที่ชุยหังได้ยิน ก็รู้สึกว่าโลกกำลังหมุน  

 

 

ที่จริงเขาไม่ได้เตรียมใจสำหรับเรื่องนี้เลย แต่ไม่คิดว่าจะเร็วขนาดนี้  

 

 

เขาตักตวงความสุขอยู่ในโลกกันสองคนกับหลูจื้อนานแค่ไหน ทำไม่พ่อแม่ของเขาถึงกังวลขนาดนี้  

 

 

เขาบังคับตัวเองให้สงบลง แล้วเอ่ยถาม “หลูจื้อว่ายังไงบ้างครับ”  

 

 

“เขาก็น่าจะไม่ยอม แต่พาพวกเขาออกไปกินข้าว หลังจากนั้นเหมือนหาข้ออ้างให้พวกเขากลับไป” ซ่งไข่เอ่ยตอบ  

 

 

“ถ้างั้นก็ไม่สำเร็จ ใช่ไหมครับ” ชุยหังเอ่ยถาม  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยตอบ “เรื่องนี้ฉันไม่กล้ายืนยัน แต่สีหน้าของหลูจื้อดูไม่ค่อยดีนัก”  

 

 

ในใจของชุยหังรู้สึกสับสนเล็กน้อย เขามักรู้สึกว่าช่วงนี้ไม่ง่ายเลยที่จะเก็บสะสมความโชคดีไว้ แต่สุดท้ายเหมือนจะถูกล้างไปด้วยข่าวนี้  

 

 

“อืม ผมรู้แล้ว” เขาไม่รู้ว่าควรจะตอบอย่างไรดี  

 

 

“ที่จริงแล้วมาบอกนาย ไม่ได้อยากให้นายไม่สบายใจ แต่อยากให้นายเผื่อใจไว้บ้าง ฉันเคยคุยกับนายแล้วก่อนหน้านี้ว่าครอบครัวของหลูจื้อค่อนข้างพิเศษ” ซ่งไข่เอ่ยบอก  

 

 

ชุยหังเอ่ยตอบ “ไม่ใช่เพราะครอบครัวของเขาพิเศษหรอก แต่ความจริงแล้วครอบครัวของเขาหาได้ง่ายทั่วไปมากที่สุดต่างหาก แบบผมถึงจะเรียกว่าพิเศษ”  

 

 

“อย่าพูดอย่างนั้น แล้วถ้าหลูจื้อยืนยันจะคบนายต่อไปล่ะ” ซ่งไข่เอ่ยถาม  

 

 

“เรื่องนี้ผมไม่กล้าพูดหรอก ถึงยังไงตอนนี้หลูจื้อก็ไม่พูดว่าจะคบหากับฝ่ายนั้นไม่ใช่เหรอ” ชุยหังเอ่ยบอก  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยตอบ “อือ เขาไม่เคยพูด ตอนนี้ไม่ใช่ว่าเขามีนายอยู่แล้วเหรอ”  

 

 

“ผมก็ไม่รู้ว่าต่อไปจะเกิดอะไรขึ้น แต่เรื่องนี้คิดไปก็กลุ้มใจ” ชุยหังเอ่ยบอก  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยบอก “กลุ้มใจก็ทำอะไรไม่ได้ เพราะคนที่นายเลือกเป็นคนนี้ ก็ต้องยอมรับความกดดันเหล่านี้”  

 

 

“อือ ผมเข้าใจแล้ว” ชุยหังเอ่ยตอบ  

 

 

ซ่งไข่เอ่ยบอก “เรื่องของอนาคต ไม่มีใครรู้แน่ชัด”  

 

 

“ขอบคุณครับครูฝึกซ่ง” ชุยหังเอ่ยตอบ  

 

 

นอกจากเอ่ยขอบคุณแล้ว เขาก็ไม่รู้จะพูดอะไรแล้ว  

 

 

เขาพูดเสมอว่า แม้ว่าข่าวคราวบางอย่างทำให้ตัวเองอารมณ์ไม่ค่อยดี แต่ก็ถือว่าเป็นการเปลี่ยนแปลงสำหรับตัวเอง  

 

 

ถ้าถึงเวลาหลูจื้อตัดสินใจกลับไปใช้ชีวิตแบบผู้ชายแท้ๆ เขายังไม่ได้เตรียมใจเลยสักนิด  

 

 

ถ้าเป็นแบบนั้น เขาคงตกจากที่สูงล้มลงมาอย่างน่าเวทนา  

 

 

ความจริงแล้วเขารู้สึกว่าคำพูดของตัวเองขัดแย้งกัน โดยเฉพาะเวลาที่คบกับผู้ชายแท้ๆ ต้องเผชิญกับความท้าทายมากมาย อีกทั้งยังมีเรื่องที่ไม่เข้าใจกันอีกมากมาย  

 

 

หลังจากคุยกับซ่งไข่ ชุยหังอดไม่ได้ที่จะส่งข้อความไปหาหลูจื้อก่อน  

 

 

ถ้าหากเขาไม่ได้เป็นฝ่ายพูดถึงเรื่องนั้นก่อน ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องถามแล้ว  

 

 

ถ้าหากถามแล้ว จะทำให้หลูจื้อโกรธ  

 

 

เหมือนกับว่าตัวเองไม่มีคนคอยเป็นหูเป็นตาให้ ไม่ว่าผู้ชายคนไหนก็คงจะไม่ชินที่คนรักของตัวเองให้ผู้ชายใกล้ตัวของตัวเองมาคอยติดตาม  

 

 

รู้สึกเหมือนกับว่ามีอะไรกัดข้างในใจจนรู้สึกคันมาๆ แต่กลับไม่มีวิธีทำให้สงบลง  

 

 

หายใจเข้าลึกๆ หายใจเข้าลึกๆ ชุยหังให้ตัวเองหายใจเข้าลึกๆ จะได้ไม่ต้องคิดมากเกินไป  

 

 

บางทีเดี๋ยวสักพักหลูจื้ออาจจะติดต่อตัวเองกลับมา แล้วอธิบายเรื่องนี้กับตัวเอง  

 

 

เมื่อกลับถึงห้องพักจึงส่งข้อความไปหาหลูจื้อ [กำลังทำอะไรอยู่ กินข้าวแล้วหรือยัง]  

 

 

ผ่านไปสักพัก หลูจื้อก็ตอบกลับมา [ไม่เป็นไร กินแล้วล่ะ พ่อแม่มาหา เลยออกไปกินข้างนอกกับพวกเขา]  

 

 

[โอ้ ดีจัง] คำตอบของชุยหังเรียบง่ายมาก เพราะทำอะไรไม่ถูก  

 

 

[พวกเขาพาผู้หญิงมาด้วย แต่ฉันปฏิเสธไปแล้ว]  

 

 

 

 

 

——  

 

 

[1]  ขับร้องหมู่บทเพลงแห่งแม่น้ำเหลืองหรือหวงเหอ  ความเด่นของเพลงนี้อยู่ที่ทำนองและจังหวะเพลง กล่าวคือ เป็นการขับร้องประสานเสียงและการร้องโต้ตอบสลับกัน จึงทำให้เพลงนี้มีลักษณะของการมีส่วนร่วมของการร้องบนเวทีและการร่วมร้องของ ผู้ชม เป็นเพลงที่ได้รับความนิยมแพร่หลายอย่างมากอีกเพลงหนึ่ง ในยุคสงครามต่อต้านการรุกรานของญี่ปุ่น จังหวะเพลงเป็นแบบเพลงมาร์ชสวนสนาม มีจังหวะหนักแน่น ทรงพลัง เพื่อการก้าวย่างที่สั้นและกระชับ ปลุกเร้าจิตใจให้เต้นเป็นจังหวะที่มั่นคง เพื่อบอกสัญญาณการรุกไปข้างหน้าพร้อมรุกรบประจัญบาน  

 

 

[2]  นางพญางูขาว  เดิมทีเป็นนิทานพื้นบ้านของเมืองหังโจว ซึ่งนิยมนำมาแสดงผ่านอุปรากรจีน และได้นิยมดัดแปลงเป็นภาพยนตร์และซีรีส์ทางโทรทัศน์นับครั้งไม่ถ้วน แม้เมืองไทยก็เคยนำมาดัดแปลงเป็นละครเวที รายละเอียดของเรื่องราวก็ดัดแปลงตามความเหมาะสม โดยเนื้อเรื่อง กล่าวถึง นางงูขาวอายุพันปี บำเพ็ญตบะจนแปลงเป็นสาวงามชื่อ “ไป๋ซูเจิน” และได้รักกับหนุ่มคนหนึ่งชื่อ “สี่เซียน” (บางแห่งว่า เป็นบัณฑิต, บางแห่งว่าเป็นแพทย์) เมื่อคราวที่เดินทางมาเที่ยวยังเมืองมนุษย์ ต่อมาความรักของคนทั้งคู่เป็นเรื่องต้องห้าม ด้วยอมนุษย์ เรื่อง “จองจำงูขาวชั่วนิรันดร์ในเจดีย์เหลยเฟิง” ซึ่งตำนานนี้ แต่งโดย “เฝิงเมิ่ง หลง” ยุคราชวงศ์หมิง  

 

 

[3]  พระเถระฝาไห่  เป็นพระเถระผู้มีอาคมสูง เถรตรง ทุกอย่างต้องเป็นไปตามกฎ มีความต้องการจะแยกสี่เซียนและไป๋ซู่เจินออกจากกัน เพราะคนกับปิศาจมีความแตกต่างกันเกินไป มิอาจเดินร่วมทาง เพราะผิดกฎสวรรค์  

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+