[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ 208 ปล่อยตามธรรมชาติกะผีสิ / 209 ทักทายถามไถ่

Now you are reading [นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ Chapter 208 ปล่อยตามธรรมชาติกะผีสิ / 209 ทักทายถามไถ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 208 ปล่อยตามธรรมชาติกะผีสิ

 

 

สำหรับคำตอบของหลูจื้อ ชุยหังไม่รู้ว่าควรจะพอใจหรือว่าไม่พอใจ

 

 

ความรักแบบนี้ของพวกเขาพอมาปะทะกับความเป็นจริง ถ้าพวกเขาไม่เลือดออกหัว ความเป็นจริงก็ถูกพวกเขาฉีกออกเป็นช่องทางให้พอเห็นแสงสว่างรำไรได้

 

 

แต่ว่าความเป็นไปได้นั้นช่างเลือนราง อีกอย่างในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องให้ทั้งสองคนทุ่มเทไปด้วย

 

 

ขอเพียงแต่มีคนหนึ่งปล่อยมือไป ถ้าอย่างนั้นปากทางนี้ก็จะต้องฉีกออกจากกันไม่ได้แน่

 

 

คิดดูแล้ว ชุยหังก็พูดขึ้น “ถ้าเธอเห็นดีเห็นงามด้วยล่ะ”

 

 

หลูจื้อชะงักไปทันที ก่อนจะเอ่ย “เป็นไปไม่ได้ ฉันบอกเธอไปตรงๆ ว่าไม่ชอบเธอแล้ว เธอยังจะเห็นดีด้วยอีก เธอเป็นคนโง่เหรอ”

 

 

ชุยหังพูดขึ้น “อาจจะแบบคนเขาชอบนาย รู้สึกว่าเวลาจะเอาชนะทุกอย่างนี้ได้ แล้วนายก็จะค่อยๆ ชอบเธอได้”

 

 

หลูจื้อพูดต่อ “ทั้งใจฉันอยู่กับนายตรงนี้ไง นายคิดอะไรอยู่”

 

 

“ฉันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่คิดถึงปัญหาที่อิงความเป็นจริงเป็นพิเศษ นายเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญปัญหาให้เป็นด้วย” ชุยหังเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

เวลานี้ไม่ใช่เวลามาป้อนคำหวาน หรือมาฟังคำหวานแล้วสูญเสียแรงในการตัดสินชี้ขาดไป

 

 

ท่าทีของหลูจื้อชี้ชัดแล้วถึงเรื่องที่เขายังต้องทำ

 

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ พอหลูจื้อเห็นสีหน้าของชุยหัง เขาก็ไม่มีทางจะผ่อนคลายเหมือนเมื่อครู่นี้ขนาดนั้นได้อีกแล้ว

 

 

แกล้งทำเป็นผ่อนคลายแบบนั้น จำเป็นต้องให้ความร่วมมือกันด้วยถึงจะรักษาให้คงอยู่ไว้ได้

 

 

แต่ว่าก็เห็นได้ชัดว่าชุยหังไม่อยากจะให้ความร่วมมือ

 

 

“ก็ต้องพูดก่อนถึงจะรู้ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีทางจะชอบเธอหรอก นายเชื่อฉันไหม” หลูจื้อเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังครุ่นคิด หลังจากนั้นก็พยักหน้า

 

 

“งั้นก็โอเคแล้ว ขอเพียงแต่นายยินดีที่จะเชื่อฉัน ฉันก็จะสู้พยายามเพื่อนาย” หลูจื้อกล่าว

 

 

ที่จริงชุยหังรู้สึกเศร้าใจไม่เบา แม้กระทั่งได้ยินประโยคนี้ เขาก็มีความรู้สึกละอายใจ

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจอตัวเอง หลูจื้อก็ควรจะยังเป็นชายแท้คนหนึ่งอยู่มั้ง

 

 

ไม่ว่าครอบครัวจะจัดใครมาให้ เขาก็จะไม่ขัด แล้วเข้าสู่ประตูวิวาห์ได้เหมือนกับคนทั่วไป จากนั้นก็เลี้ยงดูลูกชายลูกสาว

 

 

อาจจะใช้ชีวิตแบบไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไร แล้วทุกวันก็เทียวไปเทียวมาระหว่างกองทัพกับที่บ้าน ให้ภรรยาเป็นแม่บ้านทหาร ตัวเองยังรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ ได้หยอกล้อกับเพื่อนร่วมสมรภูมิด้วยกัน แล้วรอสร้างผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการก็พอแล้ว เพิ่มค่าอยู่ตลอด

 

 

แต่ตัวเองจะพบเจอกับคนแบบไหนได้อีกล่ะ เป็นคนของกรมเจ้าท่า หรือว่ากะลาสีเรือ หรือเป็นคนที่ไม่ได้มีสาขาอาชีพเกี่ยวกับสาขาวิชาของตัวเองเลย หรือแม้กระทั่งคนว่างงานในสังคม

 

 

สรุปคือถ้าในตอนนั้นยามที่พวกเขาเดินเฉียดไหล่ผ่านกัน ถ้าไม่ได้หันกลับมามอง แล้วต่างฝ่ายต่างมองกันนานขนาดที่ว่ายืนยันผ่านสายตาได้ว่าคนตรงหน้าคือคนที่ใจต้องการ ก็จะไม่เกิดเรื่องราวทำนองนี้ขึ้น ทั้งยังเป็นเรื่องที่ร้อยเรียงต่อกันมาอีก

 

 

“ดูท่าว่าฉันควรจะกลับไปแล้ว” หลูจื้อพูดขึ้น

 

 

ชุยหังมองดูสีท้องฟ้าข้างนอก เขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้จริงๆ แล้ว

 

 

ไม่ว่ากับผู้หญิงคนนั้นจะทำสำเร็จได้หรือเปล่า อย่างไรก็ต้องพูดกับอีกฝ่าย

 

 

ถึงอย่างไรเป็นคนที่ย่าเขาชอบ

 

 

ที่จริงชุยหังกำลังรู้สึกสงสัย ย่าของหลูจื้ออายุมากเกินไปหรือเปล่า ดังนั้นไม่ว่าหลูจื้อจะพาคนแบบไหนกลับไป ท่านก็จะชอบหมด

 

 

แน่นอนเงื่อนไขแรกจำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่ให้กำเนิดหลานและเลี้ยงลูกให้ท่านได้

 

 

“อืม กลับไปเถอะ เดินทางระวังด้วย ไม่ต้องคิดมากเกินไป ปล่อยไปตามธรรมชาติ” ชุยหังเอ่ยบอก

 

 

หลูจื้อพูดต่อ “ธรรมชาติกะผีนายสิ ปล่อยธรรมชาติอีก เมียฉันก็ไม่มีแล้ว”

 

 

ชุยหังฝืนยิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ย “ไม่ได้หรอก ฉันก็อยู่ตรงนี้ไง จะหนียังไงก็หนีไม่พ้นวันยังค่ำ”

 

 

“จำคำของนายเอาไว้ ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากฉัน แล้วนายกล้าหนี ฉันจะทำให้นายเสียใจ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 209 ทักทายถามไถ่

 

 

มองดูรถของหลูจื้อค่อยๆ ห่างไกลออกไป ชุยหังยืนกอดอกอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

แรงที่มีอยู่ทั้งกายถูกดึงออกไปจนว่างเปล่า ฤดูหนาวของเมืองเอ้อ มืดครึ้มหนาวเย็นและชื้นแฉะ ความหนาวเย็นทั้งหมดแทบจะทะลุกระดูกไปแล้ว

 

 

แน่นอนยังมีในหัวใจด้วย

 

 

ยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ชุยหังมองดูรถที่รีบรุดกลับบ้าน รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ถูกโลกลืมอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ยิ่งเป็นเวลานี้ ยิ่งคิดถึงคนในครอบครัว

 

 

แต่ว่าเพื่อหลูจื้อคำเดียว เขาเคยได้พูดกับคนที่บ้านไปแล้วว่าตัวเองไม่สามารถกลับไปได้ ต้องอยู่ข้างนอกทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย

 

 

เมื่อสายของซย่าอวี้ชิวโทรเข้ามา เขายืนจนขาชาอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย

 

 

“หังหัง นายกำลังทำอะไรอยู่เหรอ” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยถามไปตรงๆ

 

 

ชุยหังฝืนยิ้มไม่ไหว ก่อนจะเอ่ยไป “ฉันกำลังหั่นไตอยู่ นายล่ะ ไม่อยู่บ้านฉลองปีใหม่ดีๆ ยังจะมากวนฉันอีกเหรอ”

 

 

“ใช่ไง คิดถึงนายแล้วสิ นายเป็นยังไงบ้าง ที่มหา’ ลัยเงียบเหงามากเลยสินะ” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังเอ่ยตอบ “อืม ยังโอเค คณบดีชวนพวกเรากินข้าว แล้วยังส่งของทานเล่นขนมมาให้ด้วยไม่น้อยเลย ไหนจะอั่งเปาอีก”

 

 

“โห อะไรจะดีงามขนาดนี้ งั้นปีหน้าฉันไม่กลับมาแล้ว อยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนนาย โอเคเปล่า” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังบอกไป “นี่นายไม่ได้จะอยู่เพื่อเป็นเพื่อนฉัน แต่เพื่ออั่งเปาสินะ”

 

 

“ไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้ว คณะของพวกเรากับคณะของพวกนายไม่เหมือนกันสักหน่อย คณบดีของพวกเราขี้เหนียว แทบอยากจะหาเงินจากร่างกายพวกเราแล้ว” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยแซว

 

 

“อยู่บ้านเป็นยังไงบ้าง อ้วนขึ้นหรือเปล่านี่” ชุยหังเอ่ยถาม

 

 

ที่จริงเวลานี้ มีสักคนมาพูดคุยกับเขาอย่างนี้ช่างดีมากจริงๆ อย่างน้อยก็ทำให้เขาลืมบทสนทนาของตัวเองกับหลูจื้อได้ชั่วคราว แล้วไม่ต้องไปคิดมากขนาดนั้นด้วย

 

 

“ยังโอเคมั้ง แม่ฉันทำอาหารอร่อยๆ กองใหญ่ให้ฉัน ทำเหมือนกับว่าฉันอยู่มหา’ ลัยโดนทารุณ ทุกวันสารพัดเนื้อ” ไม่รู้ว่าซย่าอวี้ชิวกำลังโม้หรือว่าบ่นกันแน่

 

 

ชุยหังเองก็คิดถึงอาหารที่แม่ทำ แต่ว่าเขากลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ

 

 

“ดีมากเลย นายก็รู้จักพอใจในสิ่งที่มีเถอะ ฉันไม่ได้กลับไปเลย อยากกินอาหารที่แม่ทำก็กินไม่ได้”

 

 

“งั้นฉันหิ้วกลับไปให้นายแล้วกัน นายอยากกินอะไร ฉันจะให้แม่ฉันทำให้นาย” ซย่าอวี้ชิวบอกไป

 

 

ชุยหังครุ่นคิด พลางเอ่ย “ไม่ต้องดีกว่า ไกลขนาดนั้น ลำบากเปล่าๆ เดิมทีฉันก็ไม่ใช่คนกินเก่งอะไร ก็แค่ฉันคิดถึงแม่”

 

 

“งั้นนายก็โทรหาครอบครัว กลับไปไม่ได้ก็โทรหาได้ตลอดใช่ไหมล่ะ” ซย่าอวี้ชิวพูดขึ้น

 

 

ยังไม่ได้รอให้ชุยหังพูดอะไร ทางนั้นเหมือนจะมีคนกำลังเรียกซย่าอวี้ชิวกินข้าว หลังจากนั้นซย่าอวี้ชิวก็รีบเร่งกำชับกับเขา ให้เขาดูแลตัวเองดีๆ แล้วก็ตัดสายไปทันที

 

 

ชุยหังคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของซย่าอวี้ชิว คิดดูแล้วที่จริงเขาก็พูดถูก ในเมื่อตัวเองกลับไปไม่ได้ การโทรศัพท์ยังเป็นสิ่งที่ควรทำ

 

 

ยังไม่ทันที่เขาจะกดโทรออกไป เขาก็ได้รับข้อความหนึ่งเป็นข้อความที่ซ่งไข่ส่งเข้ามา

 

 

[ฉลองปีใหม่เป็นยังไงบ้าง คนที่บ้านสบายดีไหม]

 

 

ดูท่าว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้าน

 

 

ในเมื่อไม่รู้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใจบอกเขาไปพิเศษ

 

 

ชุยหังตอบกลับไป [สบายดีมากเลยครับ ขอบคุณครูฝึกซ่งที่นึกถึงครับ]

 

 

[นายไม่ได้กลับบ้านก็รู้ว่าพวกเขาสบายดีมากเลย?] ข้อความต่อไปของซ่งไข่ทำให้ชุยหังมึนไปทีเดียว

 

 

ที่แท้เขารู้ แต่เมื่อครู่แสร้งทำเป็นไม่รู้

 

 

[เมื่อกี้โทรหาแล้วครับ พวกเขาอยู่บ้านกันสบายดี] เขาทำได้เพียงอธิบายอย่างนี้ไป ตัวเองโกหกแล้ว อย่างไรก็ต้องตามน้ำต่อไป

 

 

[วางแผนจะฉลองตรุษจีนยังไงเหรอ หลูจื้อมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนนายไหม]

 

 

[ไม่รู้ ถึงเวลาค่อยว่ากัน]

 

 

ชุยหังเพิ่งจะส่งข้อความไปเสร็จ หลูจื้อก็โทรเข้ามา

 

 

“ฮัลโหล ชุยหัง นายอยู่ไหน”

 

 

“ยังอยู่ที่หน้าประตูมหา’ ลัย มีอะไรเหรอ”

 

 

“นายโง่เหรอ ฉันออกมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว นายยังยืนอยู่ตรงนั้นอีก นายไม่กลัวหนาวหรือไง” หลูจื้อเอ่ยอย่างเห็นใจและตำหนิ

 

 

ชุยหังยิ้มหัวเราะพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร นายถึงกองทัพแล้ว?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

[นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ 208 ปล่อยตามธรรมชาติกะผีสิ / 209 ทักทายถามไถ่

Now you are reading [นิยายวาย] เมื่อบุหรี่ตกหลุมรักไม้ขีดไฟ Chapter 208 ปล่อยตามธรรมชาติกะผีสิ / 209 ทักทายถามไถ่ at นิยาย นิยายออนไลน์ นิยายวาย นิยาย pdf OreNovel.Com.

ตอนที่ 208 ปล่อยตามธรรมชาติกะผีสิ

 

 

สำหรับคำตอบของหลูจื้อ ชุยหังไม่รู้ว่าควรจะพอใจหรือว่าไม่พอใจ

 

 

ความรักแบบนี้ของพวกเขาพอมาปะทะกับความเป็นจริง ถ้าพวกเขาไม่เลือดออกหัว ความเป็นจริงก็ถูกพวกเขาฉีกออกเป็นช่องทางให้พอเห็นแสงสว่างรำไรได้

 

 

แต่ว่าความเป็นไปได้นั้นช่างเลือนราง อีกอย่างในขณะเดียวกันก็จำเป็นต้องให้ทั้งสองคนทุ่มเทไปด้วย

 

 

ขอเพียงแต่มีคนหนึ่งปล่อยมือไป ถ้าอย่างนั้นปากทางนี้ก็จะต้องฉีกออกจากกันไม่ได้แน่

 

 

คิดดูแล้ว ชุยหังก็พูดขึ้น “ถ้าเธอเห็นดีเห็นงามด้วยล่ะ”

 

 

หลูจื้อชะงักไปทันที ก่อนจะเอ่ย “เป็นไปไม่ได้ ฉันบอกเธอไปตรงๆ ว่าไม่ชอบเธอแล้ว เธอยังจะเห็นดีด้วยอีก เธอเป็นคนโง่เหรอ”

 

 

ชุยหังพูดขึ้น “อาจจะแบบคนเขาชอบนาย รู้สึกว่าเวลาจะเอาชนะทุกอย่างนี้ได้ แล้วนายก็จะค่อยๆ ชอบเธอได้”

 

 

หลูจื้อพูดต่อ “ทั้งใจฉันอยู่กับนายตรงนี้ไง นายคิดอะไรอยู่”

 

 

“ฉันไม่ได้คิดอะไร ก็แค่คิดถึงปัญหาที่อิงความเป็นจริงเป็นพิเศษ นายเองก็ต้องเรียนรู้ที่จะเผชิญปัญหาให้เป็นด้วย” ชุยหังเอ่ยด้วยท่าทีสงบนิ่ง

 

 

เวลานี้ไม่ใช่เวลามาป้อนคำหวาน หรือมาฟังคำหวานแล้วสูญเสียแรงในการตัดสินชี้ขาดไป

 

 

ท่าทีของหลูจื้อชี้ชัดแล้วถึงเรื่องที่เขายังต้องทำ

 

 

เป็นอย่างที่คิดไว้ พอหลูจื้อเห็นสีหน้าของชุยหัง เขาก็ไม่มีทางจะผ่อนคลายเหมือนเมื่อครู่นี้ขนาดนั้นได้อีกแล้ว

 

 

แกล้งทำเป็นผ่อนคลายแบบนั้น จำเป็นต้องให้ความร่วมมือกันด้วยถึงจะรักษาให้คงอยู่ไว้ได้

 

 

แต่ว่าก็เห็นได้ชัดว่าชุยหังไม่อยากจะให้ความร่วมมือ

 

 

“ก็ต้องพูดก่อนถึงจะรู้ ถึงยังไงฉันก็ไม่มีทางจะชอบเธอหรอก นายเชื่อฉันไหม” หลูจื้อเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังครุ่นคิด หลังจากนั้นก็พยักหน้า

 

 

“งั้นก็โอเคแล้ว ขอเพียงแต่นายยินดีที่จะเชื่อฉัน ฉันก็จะสู้พยายามเพื่อนาย” หลูจื้อกล่าว

 

 

ที่จริงชุยหังรู้สึกเศร้าใจไม่เบา แม้กระทั่งได้ยินประโยคนี้ เขาก็มีความรู้สึกละอายใจ

 

 

ถ้าไม่ใช่เพราะว่าเจอตัวเอง หลูจื้อก็ควรจะยังเป็นชายแท้คนหนึ่งอยู่มั้ง

 

 

ไม่ว่าครอบครัวจะจัดใครมาให้ เขาก็จะไม่ขัด แล้วเข้าสู่ประตูวิวาห์ได้เหมือนกับคนทั่วไป จากนั้นก็เลี้ยงดูลูกชายลูกสาว

 

 

อาจจะใช้ชีวิตแบบไม่ได้มีความตื่นเต้นอะไร แล้วทุกวันก็เทียวไปเทียวมาระหว่างกองทัพกับที่บ้าน ให้ภรรยาเป็นแม่บ้านทหาร ตัวเองยังรักษาตำแหน่งตัวเองไว้ ได้หยอกล้อกับเพื่อนร่วมสมรภูมิด้วยกัน แล้วรอสร้างผลงานในการปฏิบัติหน้าที่ทางราชการก็พอแล้ว เพิ่มค่าอยู่ตลอด

 

 

แต่ตัวเองจะพบเจอกับคนแบบไหนได้อีกล่ะ เป็นคนของกรมเจ้าท่า หรือว่ากะลาสีเรือ หรือเป็นคนที่ไม่ได้มีสาขาอาชีพเกี่ยวกับสาขาวิชาของตัวเองเลย หรือแม้กระทั่งคนว่างงานในสังคม

 

 

สรุปคือถ้าในตอนนั้นยามที่พวกเขาเดินเฉียดไหล่ผ่านกัน ถ้าไม่ได้หันกลับมามอง แล้วต่างฝ่ายต่างมองกันนานขนาดที่ว่ายืนยันผ่านสายตาได้ว่าคนตรงหน้าคือคนที่ใจต้องการ ก็จะไม่เกิดเรื่องราวทำนองนี้ขึ้น ทั้งยังเป็นเรื่องที่ร้อยเรียงต่อกันมาอีก

 

 

“ดูท่าว่าฉันควรจะกลับไปแล้ว” หลูจื้อพูดขึ้น

 

 

ชุยหังมองดูสีท้องฟ้าข้างนอก เขาอยู่ที่นี่ต่อไม่ได้จริงๆ แล้ว

 

 

ไม่ว่ากับผู้หญิงคนนั้นจะทำสำเร็จได้หรือเปล่า อย่างไรก็ต้องพูดกับอีกฝ่าย

 

 

ถึงอย่างไรเป็นคนที่ย่าเขาชอบ

 

 

ที่จริงชุยหังกำลังรู้สึกสงสัย ย่าของหลูจื้ออายุมากเกินไปหรือเปล่า ดังนั้นไม่ว่าหลูจื้อจะพาคนแบบไหนกลับไป ท่านก็จะชอบหมด

 

 

แน่นอนเงื่อนไขแรกจำเป็นต้องเป็นผู้หญิง ผู้หญิงที่ให้กำเนิดหลานและเลี้ยงลูกให้ท่านได้

 

 

“อืม กลับไปเถอะ เดินทางระวังด้วย ไม่ต้องคิดมากเกินไป ปล่อยไปตามธรรมชาติ” ชุยหังเอ่ยบอก

 

 

หลูจื้อพูดต่อ “ธรรมชาติกะผีนายสิ ปล่อยธรรมชาติอีก เมียฉันก็ไม่มีแล้ว”

 

 

ชุยหังฝืนยิ้มอย่างขมขื่นพลางเอ่ย “ไม่ได้หรอก ฉันก็อยู่ตรงนี้ไง จะหนียังไงก็หนีไม่พ้นวันยังค่ำ”

 

 

“จำคำของนายเอาไว้ ถ้าไม่มีคำอนุญาตจากฉัน แล้วนายกล้าหนี ฉันจะทำให้นายเสียใจ”

 

 

 

 

 

 

ตอนที่ 209 ทักทายถามไถ่

 

 

มองดูรถของหลูจื้อค่อยๆ ห่างไกลออกไป ชุยหังยืนกอดอกอยู่ที่เดิม รู้สึกเหมือนว่าตัวเองไม่มีอะไรสักอย่าง

 

 

แรงที่มีอยู่ทั้งกายถูกดึงออกไปจนว่างเปล่า ฤดูหนาวของเมืองเอ้อ มืดครึ้มหนาวเย็นและชื้นแฉะ ความหนาวเย็นทั้งหมดแทบจะทะลุกระดูกไปแล้ว

 

 

แน่นอนยังมีในหัวใจด้วย

 

 

ยืนอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย ชุยหังมองดูรถที่รีบรุดกลับบ้าน รู้สึกว่าตัวเองเป็นคนที่ถูกโลกลืมอย่างไรอย่างนั้น

 

 

ยิ่งเป็นเวลานี้ ยิ่งคิดถึงคนในครอบครัว

 

 

แต่ว่าเพื่อหลูจื้อคำเดียว เขาเคยได้พูดกับคนที่บ้านไปแล้วว่าตัวเองไม่สามารถกลับไปได้ ต้องอยู่ข้างนอกทำงานไปด้วย เรียนไปด้วย

 

 

เมื่อสายของซย่าอวี้ชิวโทรเข้ามา เขายืนจนขาชาอยู่หน้าประตูมหาวิทยาลัย

 

 

“หังหัง นายกำลังทำอะไรอยู่เหรอ” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยถามไปตรงๆ

 

 

ชุยหังฝืนยิ้มไม่ไหว ก่อนจะเอ่ยไป “ฉันกำลังหั่นไตอยู่ นายล่ะ ไม่อยู่บ้านฉลองปีใหม่ดีๆ ยังจะมากวนฉันอีกเหรอ”

 

 

“ใช่ไง คิดถึงนายแล้วสิ นายเป็นยังไงบ้าง ที่มหา’ ลัยเงียบเหงามากเลยสินะ” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังเอ่ยตอบ “อืม ยังโอเค คณบดีชวนพวกเรากินข้าว แล้วยังส่งของทานเล่นขนมมาให้ด้วยไม่น้อยเลย ไหนจะอั่งเปาอีก”

 

 

“โห อะไรจะดีงามขนาดนี้ งั้นปีหน้าฉันไม่กลับมาแล้ว อยู่ที่นั่นเป็นเพื่อนนาย โอเคเปล่า” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยถาม

 

 

ชุยหังบอกไป “นี่นายไม่ได้จะอยู่เพื่อเป็นเพื่อนฉัน แต่เพื่ออั่งเปาสินะ”

 

 

“ไม่ใช่แน่นอนอยู่แล้ว คณะของพวกเรากับคณะของพวกนายไม่เหมือนกันสักหน่อย คณบดีของพวกเราขี้เหนียว แทบอยากจะหาเงินจากร่างกายพวกเราแล้ว” ซย่าอวี้ชิวเอ่ยแซว

 

 

“อยู่บ้านเป็นยังไงบ้าง อ้วนขึ้นหรือเปล่านี่” ชุยหังเอ่ยถาม

 

 

ที่จริงเวลานี้ มีสักคนมาพูดคุยกับเขาอย่างนี้ช่างดีมากจริงๆ อย่างน้อยก็ทำให้เขาลืมบทสนทนาของตัวเองกับหลูจื้อได้ชั่วคราว แล้วไม่ต้องไปคิดมากขนาดนั้นด้วย

 

 

“ยังโอเคมั้ง แม่ฉันทำอาหารอร่อยๆ กองใหญ่ให้ฉัน ทำเหมือนกับว่าฉันอยู่มหา’ ลัยโดนทารุณ ทุกวันสารพัดเนื้อ” ไม่รู้ว่าซย่าอวี้ชิวกำลังโม้หรือว่าบ่นกันแน่

 

 

ชุยหังเองก็คิดถึงอาหารที่แม่ทำ แต่ว่าเขากลับไปไม่ได้แล้วจริงๆ

 

 

“ดีมากเลย นายก็รู้จักพอใจในสิ่งที่มีเถอะ ฉันไม่ได้กลับไปเลย อยากกินอาหารที่แม่ทำก็กินไม่ได้”

 

 

“งั้นฉันหิ้วกลับไปให้นายแล้วกัน นายอยากกินอะไร ฉันจะให้แม่ฉันทำให้นาย” ซย่าอวี้ชิวบอกไป

 

 

ชุยหังครุ่นคิด พลางเอ่ย “ไม่ต้องดีกว่า ไกลขนาดนั้น ลำบากเปล่าๆ เดิมทีฉันก็ไม่ใช่คนกินเก่งอะไร ก็แค่ฉันคิดถึงแม่”

 

 

“งั้นนายก็โทรหาครอบครัว กลับไปไม่ได้ก็โทรหาได้ตลอดใช่ไหมล่ะ” ซย่าอวี้ชิวพูดขึ้น

 

 

ยังไม่ได้รอให้ชุยหังพูดอะไร ทางนั้นเหมือนจะมีคนกำลังเรียกซย่าอวี้ชิวกินข้าว หลังจากนั้นซย่าอวี้ชิวก็รีบเร่งกำชับกับเขา ให้เขาดูแลตัวเองดีๆ แล้วก็ตัดสายไปทันที

 

 

ชุยหังคิดถึงคำพูดเมื่อครู่นี้ของซย่าอวี้ชิว คิดดูแล้วที่จริงเขาก็พูดถูก ในเมื่อตัวเองกลับไปไม่ได้ การโทรศัพท์ยังเป็นสิ่งที่ควรทำ

 

 

ยังไม่ทันที่เขาจะกดโทรออกไป เขาก็ได้รับข้อความหนึ่งเป็นข้อความที่ซ่งไข่ส่งเข้ามา

 

 

[ฉลองปีใหม่เป็นยังไงบ้าง คนที่บ้านสบายดีไหม]

 

 

ดูท่าว่าเขาจะไม่รู้ว่าตัวเองไม่ได้กลับบ้าน

 

 

ในเมื่อไม่รู้ ตัวเองก็ไม่จำเป็นต้องตั้งใจบอกเขาไปพิเศษ

 

 

ชุยหังตอบกลับไป [สบายดีมากเลยครับ ขอบคุณครูฝึกซ่งที่นึกถึงครับ]

 

 

[นายไม่ได้กลับบ้านก็รู้ว่าพวกเขาสบายดีมากเลย?] ข้อความต่อไปของซ่งไข่ทำให้ชุยหังมึนไปทีเดียว

 

 

ที่แท้เขารู้ แต่เมื่อครู่แสร้งทำเป็นไม่รู้

 

 

[เมื่อกี้โทรหาแล้วครับ พวกเขาอยู่บ้านกันสบายดี] เขาทำได้เพียงอธิบายอย่างนี้ไป ตัวเองโกหกแล้ว อย่างไรก็ต้องตามน้ำต่อไป

 

 

[วางแผนจะฉลองตรุษจีนยังไงเหรอ หลูจื้อมีเวลามาอยู่เป็นเพื่อนนายไหม]

 

 

[ไม่รู้ ถึงเวลาค่อยว่ากัน]

 

 

ชุยหังเพิ่งจะส่งข้อความไปเสร็จ หลูจื้อก็โทรเข้ามา

 

 

“ฮัลโหล ชุยหัง นายอยู่ไหน”

 

 

“ยังอยู่ที่หน้าประตูมหา’ ลัย มีอะไรเหรอ”

 

 

“นายโง่เหรอ ฉันออกมาตั้งครึ่งชั่วโมงแล้ว นายยังยืนอยู่ตรงนั้นอีก นายไม่กลัวหนาวหรือไง” หลูจื้อเอ่ยอย่างเห็นใจและตำหนิ

 

 

ชุยหังยิ้มหัวเราะพลางเอ่ย “ไม่เป็นไร นายถึงกองทัพแล้ว?”

Related

Comments

การแสดงความเห็นถูกปิด

×

Pengaturan Membaca

Background :

Size :

A-16A+